พบผลลัพธ์ทั้งหมด 103 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14071-14072/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางอาญาและแพ่งจากการร่วมกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่น การชดใช้ค่าสินไหมทดแทน และค่าธรรมเนียมศาล
กรณีที่ผู้เสียหายยื่นคำร้องต่อศาลที่พิจารณาคดีอาญาขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ตนตาม ป.วิ.อ. มาตรา 44/1 นั้น มาตรา 253 วรรคหนึ่ง มิให้เรียกค่าธรรมเนียม ส่วนที่มาตรา 253 วรรคสอง บัญญัติว่า ในกรณีที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์สิน หรือค่าสินไหมทดแทนตามวรรคหนึ่ง ถ้าศาลยังต้องจัดการอะไรอีกเพื่อการบังคับ ผู้ที่จะได้รับคืนทรัพย์สินหรือราคาหรือค่าสินไหมทดแทน จักต้องเสียค่าธรรมเนียมดังคดีแพ่งสำหรับการต่อไปนั้น หมายถึงค่าธรรมเนียมในชั้นบังคับคดี และที่มาตรา 255 บัญญัติว่า ในคดีดังบัญญัติในมาตรา 253 วรรคสอง และมาตรา 254 ถ้ามีคำขอ ศาลมีอำนาจสั่งให้ฝ่ายที่แพ้คดีใช้ค่าธรรมเนียมแทนอีกฝ่ายหนึ่งได้ หมายถึงค่าธรรมเนียมในชั้นบังคับคดีตามมาตรา 253 วรรคสอง หรือค่าธรรมเนียมในคดีที่ผู้เสียหายซึ่งเป็นโจทก์ตามมาตรา 254 และต้องมีคำขอทั้งสองกรณี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11720/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจออกหมายจับของผู้พิพากษา และสิทธิอุทธรณ์ฎีกาเมื่อศาลชั้นต้นปฏิเสธยกเลิกหมายจับ
เมื่อมีการกล่าวหาว่าบุคคลใดกระทำความผิดอาญา บุคคลนั้นย่อมตกอยู่ในฐานะเป็นผู้ต้องหาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (2) พนักงานสอบสวนย่อมยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายจับผู้ต้องหาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 66 เพื่อให้ได้ตัวมาสอบสวนตาม ป.วิ.อ. มาตรา 134 ซึ่งตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 24 (1) กำหนดให้ผู้พิพากษาคนหนึ่งมีอำนาจออกหมายจับได้ ประกอบกับ ป.วิ.อ. มาตรา 59 วรรคสี่ ตอนท้าย กำหนดให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงหมายจับได้หากความปรากฏต่อศาลในภายหลังว่า มีการออกหมายจับไปโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมาย และมาตรา 68 กำหนดให้หมายจับคงใช้ได้อยู่จนกว่าจะจับได้ เว้นแต่ความผิดอาญาตามหมายนั้นขาดอายุความหรือศาลซึ่งออกหมายนั้นได้ถอนหมายคืน ดังนี้ อำนาจในการออกหมายจับผู้ต้องหาจึงเป็นอำนาจเฉพาะตัวของผู้พิพากษาศาลชั้นต้น เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นยกเลิกหรือเพิกถอนหมายจับ และศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ผู้ร้องจะอุทธรณ์หรือฎีกาอีกไม่ได้
ปัญหาว่าผู้ร้องมีอำนาจอุทธรณ์ฎีกาหรือไม่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
ปัญหาว่าผู้ร้องมีอำนาจอุทธรณ์ฎีกาหรือไม่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9898-9899/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางสัญญาซื้อขายและการเบิกจ่ายเงินของหน่วยงานราชการ การพิสูจน์ความเสียหายและจำนวนค่าปรับ
จำเลยที่ 7 ออกหนังสือถึง ส.ป.จ. ต่าง ๆ ตามเอกสารหมาย จ.6 ว่าจำเลยที่ 1 ผู้ขายจะนำโต๊ะเก้าอี้นักเรียนไปส่งให้โรงเรียนเอง ก็หาใช่เป็นการสั่งให้เปลี่ยนแปลงสถานที่ส่งมอบโต๊ะเก้าอี้นักเรียนขัดต่อข้อตกลงในสัญญาซื้อขายตามที่โจทก์กล่าวอ้างไม่ เพราะในหนังสือดังกล่าวจำเลยที่ 1 แจ้งด้วยว่า ขอให้ ส.ป.จ. เหล่านั้นติดตามดูแลให้ผู้ขายนำโต๊ะเก้าอี้นักเรียนส่งโรงเรียนตามบัญชีจัดสรรของ ส.ป.จ. นั้น ๆ ด้วย ซึ่งจำเลยที่ 1 ก็ยังคงต้องนำโต๊ะเก้าอี้นักเรียนไปส่งมอบ ณ ส.ป.จ. ต่าง ๆ ตามสัญญา แล้ว ส.ป.จ. ต่าง ๆ จะเป็นผู้ติดตามดูแลให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้นำโต๊ะเก้าอี้นักเรียนไปส่งยังโรงเรียนในสังกัด ส.ป.จ. นั้นแทน อันเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายของโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9368/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องหมิ่นประมาทต้องมีการร้องทุกข์ชัดเจนในแต่ละกรรมความผิด หากไม่มีโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน โดยบรรยายฟ้องว่าจำเลยใส่ความโจทก์ร่วมต่อบุคคลที่สามโดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์ร่วมเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น และถูกเกลียดชังตามฟ้องข้อ 1.1 ถึง 1.3 แต่ละข้อวันเวลาเกิดเหตุต่างกันและบุคคลที่สามต่างรายกัน เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ร่วมไม่ได้ร้องทุกข์ในความผิดฐานหมิ่นประมาทตามฟ้องข้อ 1.1 ซึ่งความผิดฐานหมิ่นประมาทตาม ป.อ. มาตรา 326 ตามที่โจทก์ฟ้องเป็นความผิดอันยอมความได้ตาม ป.อ. มาตรา 333 โจทก์ร่วมอ้างว่ามีผู้กระทำความผิดเกิดขึ้น แม้จำเลยผู้เดียวกระทำความผิด แต่กระทำความผิดหลายกรรม โจทก์ร่วมต้องร้องทุกข์ทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป เมื่อโจทก์ร่วมไม่ได้ร้องทุกข์ในความผิดตามฟ้องข้อ 1.1 ห้ามมิให้ทำการสอบสวนเว้นแต่จะมีคำร้องทุกข์ตามระเบียบ และห้ามมิให้พนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีใดต่อศาล โดยมิได้มีการสอบสวนในความผิดนั้นก่อนตาม ป.วิ.อ. มาตรา 121 วรรคสอง, 120 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องตามฟ้องข้อ 1.1
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8405/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในคดีริบของกลาง: ความผิดเกี่ยวกับการคนเข้าเมืองไม่ใช่คดีเกี่ยวกับยาเสพติด
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีนแล้วขับขี่รถจักรยานยนต์ ฐานนำและพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร และฐานให้ที่พักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ ให้คนต่างด้าวพ้นจากการจับกุม และขอให้ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง ซึ่งความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีนแล้วขับขี่รถจักรยานยนต์เป็นความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด แต่ศาลชั้นต้นริบรถจักรยานยนต์ของกลางซึ่งจำเลยใช้เป็นยานพาหนะในการพาบุคคลต่างด้าวหลบหนี อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มิใช่ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดอันอยู่ในบังคับของ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 15 เมื่อโจทก์อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นซึ่งมีคำสั่งให้คืนรถจักรยานยนต์ของกลางแก่ผู้ร้อง จึงเป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ที่จะพิจารณาพิพากษาคดี การที่ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิจารณาพิพากษาจึงเป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8120/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องกรณีเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์: หลังปลดจากล้มละลาย โจทก์ต้องฟ้องลูกหนี้โดยตรง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ว. เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2535 ในคดีหมายเลขแดงที่ ล.376/2535 และ ว. ได้รับการปลดจากล้มละลายแล้วตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2547 ก่อนวันที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ คือวันที่ 24 พฤษภาคม 2549 ดังนั้น เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของ ว. จึงไม่มีอำนาจต่อสู้คดีใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของ ว. ลูกหนี้อีกต่อไป โจทก์ชอบที่จะฟ้อง ว. เป็นจำเลยโดยตรง การที่โจทก์มาฟ้อง ว. โดยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของ ว. เป็นจำเลยที่ 1 นั้น เป็นการฟ้องเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เป็นจำเลยแทนลูกหนี้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7740/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายสิทธิครอบครองที่ดิน - เลิกสัญญา - คืนเงินมัดจำ - สิทธิครอบครอง
ที่ดินพิพาทมีเพียงสิทธิครอบครอง โจทก์ผู้จะขายทำสัญญากับจำเลยทั้งสองผู้จะซื้อว่า ที่ดินพิพาทราคา 1,500,000 บาท จะทำการโอนที่ดินใบ ภ.บ.ท.5 ให้แก่จำเลยทั้งสองและจำเลยทั้งสองได้วางมัดจำให้โจทก์ไว้เป็นเงิน 730,000 บาท ตามหนังสือสัญญาจะซื้อขายหรือสัญญาวางมัดจำเป็นแบบพิมพ์สำเร็จรูปซึ่งมีการกรอกข้อความไปตามรายการในแบบพิมพ์เพื่อให้เป็นหลักฐานเท่านั้น แต่โดยเจตนาของโจทก์และจำเลยทั้งสองแท้จริงแล้ว เป็นการทำสัญญาซื้อขายสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทกัน เพราะที่ดินพิพาทไม่มีเอกสารแสดงสิทธิใดๆ คงมีเพียงสิทธิครอบครองโดยการยึดถือเท่านั้น จึงสามารถโอนการครอบครองแก่กันได้ด้วยวิธีส่งมอบที่ดินที่ครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1378 เมื่อโจทก์ส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้จำเลยทั้งสองแล้ว จึงเป็นการปฏิบัติการชำระหนี้ตามสัญญาครบถ้วน จำเลยทั้งสองย่อมมีหน้าที่ชำระราคาส่วนที่เหลือให้แก่โจทก์และเมื่อจำเลยทั้งสองไม่ชำระราคาส่วนที่เหลือ แทนที่โจทก์จะฟ้องบังคับให้จำเลยทั้งสองชำระเงินตามสัญญา แต่โจทก์กลับมาฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ และจำเลยที่ 2 ก็ฟ้องแย้งขอให้โจทก์คืนเงินค่าที่ดินที่รับไว้จำนวน 730,000 บาท กรณีจึงถือได้ว่าคู่สัญญาต่างสมัครใจเลิกสัญญาซื้อขายสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทต่อกัน คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7520/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสนับสนุนการกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่น: การยุยงหลังการยิงครั้งแรก และการพิพากษาลงโทษผู้สนับสนุน
หลังจากจำเลยที่ 1 ยิงผู้ตาย 1 นัด จำเลยที่ 2 พูดว่า ยิงมันอีกนัดเอาให้ตาย จากนั้นจำเลยที่ 1 เดินไปที่รถจักรยานยนต์เปิดท้ายรถหากระสุนปืนแต่ไม่มีกระสุนปืน การที่จำเลยที่ 2 พูดยุยงให้จำเลยที่ 1 ยิงผู้ตายซ้ำหลังจากจำเลยที่ 1 ยิงผู้ตายไปแล้ว จำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นผู้ก่อให้จำเลยที่ 1 กระทำความผิด เพราะจำเลยที่ 1 ได้ลงมือกระทำความผิดไปแล้ว คำยุยงของจำเลยที่ 2 เป็นเพียงสนับสนุนเร้าใจให้จำเลยที่ 1 ยิงผู้ตายซ้ำให้ถึงแก่ความตายหนักแน่นขึ้น การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ซึ่งศาลลงโทษจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานดังกล่าวได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 215 และ 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7344/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การผลิตยาเสพติด (เมทแอมเฟตามีน) แม้ไม่มีพยานเห็นโดยตรง แต่มีหลักฐานเชื่อมโยงถึงการผสมและอัดเม็ดเพื่อจำหน่าย
จำเลยนำผงยาพาราเซตามอลปรุงแต่งสีและกลิ่นผสมกับผงเมทแอมเฟตามีนและใช้อุปกรณ์คล้ายจุกเติมลมยางรถยนต์ที่มีตัวอักษร wy พร้อมด้วยตะเกียบบดอัดเป็นเม็ด การกระทำของจำเลยต้องด้วย พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4 ที่นิยามคำว่า "ผลิต" ไว้หมายความว่า ทำ ผสม ปรุง แปรสภาพ การกระทำของจำเลยเป็นการผสม ปรุง แปรสภาพ ซึ่งถือได้ว่าเป็นการผลิตเมทแอมเฟตามีนตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวแล้ว และมีลักษณะเป็นการเพิ่มจำนวนในการแพร่กระจายเมทแอมเฟตามีน เมื่อจำเลยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนที่ผลิตขึ้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นการผลิตเมทแอมเฟตามีนเพื่อจำหน่าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5729/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานหลักฐานไม่เพียงพอ ฟ้องค้าประเวณี-ค้ามนุษย์ จำเลยยกฟ้อง
พยานหลักฐานของโจทก์คงมีเพียงคำให้การในชั้นสอบสวนของผู้เสียหายที่ 1 และแถบบันทึกภาพ (วิดีโอ) การสอบสวนผู้เสียหายที่ 1 แม้ศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานดังกล่าวเสมือนหนึ่งเป็นคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 ในชั้นพิจารณาของศาลได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 172 ตรี วรรคสี่ แต่โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสืบประกอบให้รับฟังได้ว่า คำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายที่ 1 และแถบบันทึกภาพ (วิดีโอ) การสอบสวนผู้เสียหายที่ 1 ดังกล่าวน่าเชื่อถือ พยานหลักฐานของโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังลงโทษจำเลยได้