คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ม. 15

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 206 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5118/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันในคดียาเสพติด: การลงโทษและจำนวนกรรม
คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ (ก) เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2552 เวลากลางวัน ถึงวันที่ 18 มีนาคม 2552 เวลากลางวัน ต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งสองร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 98 เม็ด (หน่วยการใช้) โดย 8 เม็ด (หน่วยการใช้) น้ำหนักสุทธิ 0.71 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์จำนวนเท่าใดไม่ปรากฏชัดและ 90 เม็ด (หน่วยการใช้) น้ำหนักสุทธิ 7.99 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 1.206 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย (ข) วันที่ 18 มีนาคม 2552 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 8 เม็ด (หน่วยการใช้) ดังกล่าวให้แก่ ช. ในราคา 1,600 บาทและ (ค) วันที่ 18 มีนาคม 2552 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยทั้งสองร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 90 เม็ด (หน่วยการใช้) ดังกล่าวให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อในราคา 18,000 บาท ดังนี้ฟ้องโจทก์แสดงโดยชัดเจนแล้วว่า จำเลยกระทำความผิดสามกรรมต่างวาระกัน ซึ่งเป็นกรณีที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยทั้งสองทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป เมื่อจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพตามฟ้อง เท่ากับจำเลยยอมรับแล้วว่า ได้กระทำความผิดสามกรรมต่างกัน การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4302/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำกัดขอบเขตการฟ้อง โจทก์ฟ้องครอบครองเพื่อจำหน่าย ศาลอุทธรณ์ลงโทษสนับสนุนพยายามจำหน่าย เป็นการนอกเหนือฟ้อง ห้ามตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามฟ้อง การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่ฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้ช่วยเหลือติดต่อในการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวและพิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางแล้วลงโทษจำเลยในความผิดฐานดังกล่าวนั้น ถือว่าศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายกฟ้องในความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นด้วย การที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษฐานร่วมกันมีแมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายอีก จึงต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 220
คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย มิได้บรรยายฟ้องไว้ว่า จำเลยร่วมกันจำหน่ายหรือพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางให้แก่บุคคลใด แสดงว่าโจทก์มิได้ประสงค์จะให้ศาลลงโทษจำเลยในความผิดฐานดังกล่าว เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงแห่งคดียังไม่พอฟังว่าจำเลยมีส่วนเกี่ยวข้องครอบครองหรือมีอำนาจตัดสินใจสามารถจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางได้โดยตรง ก็ชอบที่จะพิพากษายกฟ้อง จะฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นผู้สนับสนุนการพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลาง เป็นข้อเท็จจริงที่แตกต่างไปจากที่โจทก์กล่าวในฟ้องและถือว่าโจทก์มิได้ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสี่ ประกอบมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11833/2554

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนำยาเสพติดเข้าประเทศ ความผิดสำเร็จไม่ใช่พยายาม พิธีการศุลกากรไม่ใช่ขั้นตอนการพยายาม
บุคคลที่เดินทางจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทยจะต้องผ่านพิธีการตรวจโดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองก่อน เมื่อผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองแล้ว ถือว่าบุคคลนั้นเดินทางเข้ามาในประเทศไทยแล้ว หลังจากนั้นจึงมาผ่านขั้นตอนของเจ้าหน้าที่ศุลกากรที่จะต้องตรวจสิ่งของต้องห้ามต่อไป การที่จำเลยนั่งรถยนต์รับจ้างจากประเทศมาเลเซียเข้ามาในประเทศไทยบริเวณด่านศุลกากรสะเดา ตำบลสำนักขาม อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา จึงถือว่าจำเลยเดินทางเข้ามาในประเทศไทยแล้ว เมื่อจำเลยถูกนายตรวจศุลกากรตรวจค้นและพบเมทแอมเฟตามีนของกลางบรรจุอยู่ภายในซองพลาสติกใสใส่ไว้ในกระปุกครีมใส่ผมในกระเป๋าสะพายของจำเลย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานนำยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 เข้ามาในราชอาณาจักร หาใช่เป็นเพียงความผิดฐานพยายามนำยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 เข้ามาในราชอาณาจักรไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11527/2554

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปรับบทลงโทษคดียาเสพติด: กฎหมายใหม่ไม่เป็นคุณแก่จำเลย แม้มีการแก้ไขโทษ
จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องขอให้ศาลปรับบทลงโทษและกำหนดโทษใหม่ โดยอ้างว่าเมื่อคดีถึงที่สุดและระหว่างที่จำเลยที่ 3 ต้องโทษมี พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2545 มาตรา 19 ยกเลิกความในมาตรา 65 และมาตรา 66 กฎหมายที่แก้ไขใหม่เป็นคุณแก่จำเลยที่ 3 ตาม ป.อ. มาตรา 3 (1) ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยจึงมีเพียงว่าศาลจะปรับบทลงโทษและกำหนดโทษจำเลยที่ 3 ใหม่ตาม ป.อ. มาตรา 3 (1) ได้หรือไม่ เท่านั้น ส่วนประเด็นที่ว่าฟ้องโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จำเลยที่ 3 มีเฮโรอีนคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เท่าใดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและร่วมกันผลิตเฮโรอีนเพื่อจำหน่ายคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เท่าใดยุติไปตามคำพิพากษาศาลฎีกาซึ่งถึงที่สุดแล้ว จำเลยที่ 3 จะยกประเด็นดังกล่าวขึ้นมาในคำร้องขอกำหนดโทษใหม่อีกไม่ได้
เฮโรอีนของกลางที่จำเลยที่ 3 ร่วมกันผลิตเพื่อจำหน่ายโดยการแบ่งบรรจุ คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 130.4 กรัม เฮโรอีนของกลางจึงมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ตั้งแต่สามร้อยเจ็ดสิบห้ามิลลิกรัมขึ้นไป ตามมาตรา 15 วรรคสาม (2) ที่แก้ไขใหม่ การกระทำความผิดของจำเลยที่ 3 ไม่ต้องด้วยบทกำหนดโทษในมาตรา 65 วรรคสามและวรรคสี่ ที่แก้ไขใหม่ แต่ต้องด้วยบทกำหนดโทษมาตรา 65 วรรคสอง ที่แก้ไขใหม่ ซึ่งมีระวางโทษประหารชีวิต ส่วนมาตรา 65 วรรคสอง เดิม ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในขณะจำเลยที่ 3 กระทำความผิด มีระวางโทษประหารชีวิตเช่นเดียวกัน โทษตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่ จึงไม่เป็นคุณแก่จำเลยที่ 3 คำร้องของจำเลยที่ 3 ไม่ต้องด้วย ป.อ. มาตรา 3 (1) ที่ศาลจะกำหนดโทษใหม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8646/2554

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจำหน่ายและครอบครองยาเสพติดเพื่อจำหน่าย ความผิดหลายกรรมต่างกันและการลดโทษ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยจำหน่ายโดยการขายเมทแอมเฟตามีนจำนวน 20 เม็ด อันเป็นส่วนหนึ่งของเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยมีไว้เพื่อจำหน่ายให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อไปในราคา 7,500 บาท จำเลยลงมือกระทำความผิดแล้ว แต่กระทำไปไม่ตลอดยังไม่ได้ส่งมอบเมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับ เนื่องจากถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมได้ก่อน เป็นการบรรยายการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาในความผิดฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนได้ดีแล้ว ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5)
จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 26 เม็ด คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 0.531 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายแล้วจำเลยแบ่งจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวรวม 3 ครั้ง คือ จำหน่ายให้แก่สายลับ 3 เม็ด จำหน่ายให้แก่ ว. 3 เม็ด และจำหน่ายให้แก่สายลับ 20 เม็ด แต่ในครั้งหลังที่จำเลยยังไม่ได้ส่งมอบเมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับเนื่องจากถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมได้ก่อน การกระทำของจำเลยในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีน 26 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเป็นความผิดสำเร็จแต่แรกแล้ว 1 กรรม เมื่อจำเลยนำเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวออกจำหน่ายรวม 3 ครั้ง ก็เป็นความผิดต่างกรรมอีก 3 กรรม แม้จำเลยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับ 1 ครั้ง และพยายามจำหน่ายให้แก่สายลับซึ่งอาจเป็นบุคคลเดียวกัน แต่การจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนและพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของจำเลยในแต่ละครั้งเป็นการกระทำต่างวาระกันและมีเจตนาต่างกัน จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยมีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายอีกกระทงหนึ่ง และความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายมีโทษทั้งจำคุกและปรับ การที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยเพียงอย่างเดียวเป็นการไม่ชอบ โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ทำนองขอให้ลงโทษจำเลยหนักขึ้นในความผิดฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ลงโทษจำคุกจำเลยในความผิดฐานดังกล่าว 5 ปี เป็นลงโทษจำคุก 6 ปี จึงเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 212

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3465/2554

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสนับสนุนการจำหน่ายยาเสพติด: การยินยอมให้ใช้บ้านเป็นสถานที่กระทำผิด
ในการซื้อเมทแอมเฟตามีน อ.ตกลงกับจำเลยที่ 2 โดยนำแหวนเงินไปแลกเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ตีราคาแลกเปลี่ยนแหวนเป็นเมทแอมเฟตามีน 9 เม็ด และหยิบเมทแอมเฟตามีนซึ่งวางอยู่บนหน้าตักของจำเลยที่ 2 ให้แก่ อ. ในขณะที่ อ. เจรจาแลกแหวนกับเมทแอมเฟตามีนกับจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 เดินออกไปนอกบ้าน ไม่ได้อยู่ด้วย การตีราคาแหวนจำเลยที่ 2 เป็นผู้ตัดสินใจแต่เพียงลำพัง น่าเชื่อว่าเมทแอมเฟตามีนเป็นของจำเลยที่ 2 แต่การที่จำเลยที่ 1 ยินยอมให้จำเลยที่ 2 ใช้บ้านเป็นสถานที่ติดต่อจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายของจำเลยที่ 2 แม้โจทก์จะมิได้ฟ้องในข้อหานี้ ศาลก็มีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานเป็นผู้สนับสนุนได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14286/2553

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานมีและจำหน่ายยาเสพติดเป็นกรรมเดียว ศาลฎีกาแก้ไขโทษจำคุก
การที่จำเลยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 1 เม็ด ให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อแล้วก็ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมทันที เจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นตัวจำเลยพบผงเมทแอมเฟตามีนติดอยู่ในปลอกปากกาที่จำเลยใช้บรรจุเมทแอมเฟตามีน ผงเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวมีลักษณะเป็นคราบติดอยู่ด้านใน น้ำหนัก 0.01 กรัม ซึ่งมีจำนวนน้อยมาก ไม่ชัดแจ้งว่าเป็นเศษของเมทแอมเฟตามีนจำนวนอื่น ต้องฟังเป็นคุณแก่จำเลยว่าเป็นผงเมทแอมเฟตามีนจากเมทแอมเฟตามีน 1 เม็ด ที่จำเลยจำหน่ายให้แก่สายลับ ดังนี้เมื่อจำเลยมีผงเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตซึ่งเป็นจำนวนเดียวกันกับเมทแอมเฟตามีน 1 เม็ด ที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายไป จึงเป็นความผิดกรรมเดียวกัน ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าเป็นความผิดหลายกรรมไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
การที่พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาแก่จำเลยว่ามีผงเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ถือว่าได้ทำการสอบสวนในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้ว ทั้งความผิดฐานมีผงเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามที่โจทก์ฟ้องได้รวมการกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตซึ่งเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง ศาลย่อมลงโทษจำเลยตามที่พิจารณาได้ความได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11868/2553

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจำหน่ายและครอบครองยาเสพติดเพื่อจำหน่าย ศาลฎีกาพิพากษาเพิ่มโทษจากคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
เมื่อจำเลยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 2 เม็ด ให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อ จำเลยมีความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนและเมื่อเข้าตรวจค้นยังพบเมทแอมเฟตามีนอยู่ในความครอบครองของจำเลยอีกจำนวนหนึ่ง ย่อมเป็นข้อบ่งชี้ว่าเมทแอมเฟตามีน 2 เม็ด ที่จำเลยจำหน่ายให้สายลับเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยมีไว้เพื่อจำหน่าย ฟังได้ว่าเมทแอมเฟตามีน 24 เม็ด ที่จำเลยมีไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นเป็นการมีไว้เพื่อจำหน่าย สำหรับเมทแอมเฟตามีน 90 เม็ดของกลางซึ่งค้นได้ที่หัวเตียงในบ้านของ พ. ที่ร้อยตำรวจเอก น. กับพวกไปตรวจค้นพบภายหลังการล่อซื้อและจับกุมจำเลยโดยมิได้ตรวจค้นพบเสียแต่ในคราวแรกที่เข้าตรวจค้นบ้านของ พ. ย่อมมีเหตุผลให้น่าเชื่อว่าเป็นเพราะร้อยตำรวจเอก น. กับพวกได้ทราบข้อเท็จจริงจากคำให้การของจำเลยนั้นเอง หากจำเลยมิได้เกี่ยวข้องและเมทแอมเฟตามีนมิใช่เป็นของจำเลยย่อมเป็นไปได้ยากที่จำเลยจะสามารถทราบถึงที่ซ่อนของเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวได้ ฟังได้ว่าเมทแอมเฟตามีน 90 เม็ด ของกลางเป็นส่วนหนึ่งของเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยมีไว้เพื่อจำหน่ายเช่นกัน จำเลยจึงมีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายอีกกระทงหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9536/2553

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการลงโทษฐานครอบครองเพื่อจำหน่ายเมื่อมีการจำหน่ายส่วนหนึ่งของยาเสพติด
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกับพวกร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีน 45 เม็ด คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 0.872 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำเลยกับพวกร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวจำนวน 10 เม็ด คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 0.193 กรัม อันเป็นส่วนหนึ่งของเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยกับพวกมีไว้เพื่อจำหน่าย ดังนี้ เมทแอมเฟตามีน 10 เม็ด จึงเป็นส่วนหนึ่งในเมทแอมเฟตามีน 45 เม็ด ที่โจทก์ได้บรรยายฟ้องขอให้ลงโทษในความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายแล้ว ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีน 10 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง เพราะไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้องและมิใช่เรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7014/2553

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปรับแก้บทลงโทษหลังคดีถึงที่สุด ศาลไม่อำนาจแก้ไขคำพิพากษา แม้กฎหมายเปลี่ยนแปลง
ขณะจำเลยที่ 3 กระทำความผิดคดีนี้ มาตรา 15 และ มาตรา 66 แห่ง พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2545 ใช้บังคับแล้ว กรณีจึงมิใช่เรื่องกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิดตามบทบัญญัติใน ป.อ. มาตรา 3 แต่เป็นกรณีบังคับใช้กฎหมายลงโทษจำเลยที่ 3 เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วหากจำเลยที่ 3 เห็นว่าศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษจำเลยที่ 3 ไม่ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนดไว้ จำเลยที่ 3 ชอบที่ใช้สิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 193 แต่จำเลยที่ 3 มิได้ใช้สิทธิดังกล่าวจนคดีถึงที่สุดไปนานแล้ว จำเลยที่ 3 จึงมายื่นคำร้องขอให้ศาลปรับบทลงโทษและกำหนดโทษจำเลยที่ 3 ใหม่ โดยอ้างข้อกฎหมายตาม ป.อ. มาตรา 3 ดังนี้หากศาลฟังข้อกฎหมายตามที่จำเลยที่ 3 อ้างแล้ววินิจฉัยปรับบทลงโทษและกำหนดโทษจำเลยที่ 3 ใหม่ ย่อมมีผลเป็นการแก้ไขคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแล้วขัดต่อ ป.วิ.อ. มาตรา 190 ซึ่งห้ามมิให้แก้ไขคำพิพากษาหรือคำสั่งซึ่งอ่านแล้วนอกจากถ้อยคำที่เขียนหรือพิมพ์ผิดพลาด
of 21