คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524 ม. 56 วรรคหนึ่ง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 5 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4804/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีเช่าที่ดิน: ต้องรอคำวินิจฉัย คชก.ตำบลก่อน จึงค่อยฟ้องคู่กรณี หรือฟ้องบังคับ คชก.ตำบล
พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524มาตรา54วรรคสอง,56วรรคหนึ่ง,57กำหนดขั้นตอนในกรณีที่ผู้รับโอนไม่ยอมขายนาให้แก่ผู้เช่านาว่าผู้เช่านาต้องร้องขอต่อคชก.ตำบลเพื่อวินิจฉัยก่อนเมื่อคชก.ตำบลวินิจฉัยแล้วคู่กรณีไม่พอใจก็อุทธรณ์ต่อคชก.จังหวัดและเมื่อคชก.จังหวัดวินิจฉัยแล้วยังไม่พอใจจึงมีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาลได้เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่ายื่นคำร้องต่อคชก.ตำบลภายในกำหนดแล้วโจทก์ย่อมมีสิทธิได้รับคำวินิจฉัยจากคชก.ตำบลตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524มาตรา13และมาตรา54หากคชก.ตำบลไม่วินิจฉัยในเวลาอันควรก็เป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องไปฟ้องบังคับให้คชก.ตำบลวินิจฉัยเสียก่อนมิใช่มาฟ้องคู่กรณีโจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์ยื่นคำร้องต่อคชก.ตำบลแล้วแต่คชก.ตำบลยังมิได้มีคำวินิจฉัยดังนี้โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2403/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีเช่าที่ดิน: ต้องรอผลการพิจารณาของ คชก. ให้เสร็จสิ้นก่อน
กรณีพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยเกี่ยวกับการเช่าทำนาในที่ดินพิพาทเป็นการพิพาทกันในข้อที่ว่าจำเลยมีสิทธิเช่าที่ดินพิพาททำนาต่อไปหรือไม่จึงเป็นข้อพิพาทอันเกิดจากการเช่าที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมประเภทที่การเช่าที่ดินเพื่อการนั้นมีการควบคุมตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524ซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของคชก.ตำบลจะเป็นผู้วินิจฉัยตามมาตรา13(2)แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวและการเสนอคดีต่อศาลเกี่ยวกับข้อพิพาทในเรื่องนี้พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524ได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะเป็นขั้นตอนแล้วตามมาตรา56วรรคหนึ่งและมาตรา57วรรคหนึ่งซึ่งก็มีการดำเนินการตามบทบัญญัติดังกล่าวในกรณีนี้โดยเมื่อคชก.ตำบลวินิจฉัยให้จำเลยมีสิทธิเช่าที่ดินพิพาททำนาต่อไปแล้วโจทก์ได้อุทธรณ์คำวินิจฉัยต่อคชก.จังหวัดซึ่งวินิจฉัยว่าจำเลยมีสิทธิเช่าที่ดินทำนาต่อไปและโจทก์อุทธรณ์คำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดต่อศาลโดยการฟ้องคชก.จังหวัดต่อศาลแล้วแต่ก่อนคดีดังกล่าวจะถึงที่สุดประการใดโจทก์ก็มาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้เมื่อการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524ยังไม่เสร็จสิ้นโจทก์จึงยังไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้เรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้แม้จำเลยจะมิได้ยกเป็นข้อต่อสู้หรือฎีกาขึ้นมาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142(5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2403/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีเช่าที่ดินทำนาต้องรอผลการพิจารณาของ คชก. หากยังไม่สิ้นสุด โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
กรณีพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยเกี่ยวกับการเช่าทำนาในที่ดินพิพาทเป็นการพิพาทกันในข้อที่ว่าจำเลยมีสิทธิเช่าที่ดินพิพาททำนาต่อไปหรือไม่จึงเป็นข้อพิพาทอันเกิดจากการเช่าที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมประเภทที่การเช่าที่ดินเพื่อการนั้นมีการควบคุมตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524ซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของคชก.ตำบลจะเป็นผู้วินิจฉัยตามมาตรา13(2)แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวและการเสนอคดีต่อศาลเกี่ยวกับข้อพิพาทในเรื่องนี้พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524ได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะเป็นขั้นตอนแล้วตามมาตรา56วรรคหนึ่งและมาตรา57วรรคหนึ่งซึ่งก็มีการดำเนินการตามบทบัญญัติดังกล่าวในกรณีนี้โดยเมื่อคชก.ตำบลวินิจฉัยให้จำเลยมีสิทธิเช่าที่ดินพิพาททำนาต่อไปแล้วโจทก์ได้อุทธรณ์คำวินิจฉัยต่อคชก.จังหวัดซึ่งวินิจฉัยว่าจำเลยมีสิทธิเช่าที่ดินทำนาต่อไปและโจทก์อุทธรณ์คำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดต่อศาลโดยการฟ้องคชก.จังหวัดต่อศาลแล้วแต่ก่อนคดีดังกล่าวจะถึงที่สุดประการใดโจทก์ก็มาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้เมื่อการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524ยังไม่เสร็จสิ้นโจทก์จึงยังไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้เรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้แม้จำเลยจะมิได้ยกเป็นข้อต่อสู้หรือฎีกาขึ้นมาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142(5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2403/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีเช่าที่ดินเกษตรกรรม: ต้องรอผลการพิจารณาของ คชก. ให้เสร็จสิ้นก่อน
กรณีพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยเกี่ยวกับการเช่าทำนาในที่ดินพิพาทเป็นการพิพาทกันในข้อที่ว่าจำเลยมีสิทธิเช่าที่ดินพิพาททำนาต่อไปหรือไม่ จึงเป็นข้อพิพาทอันเกิดจากการเช่าที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมประเภทที่การเช่าที่ดินเพื่อการนั้นมีการควบคุมตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 ซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของ คชก.ตำบลจะเป็นผู้วินิจฉัยตามมาตรา 13(2)แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว และการเสนอคดีต่อศาลเกี่ยวกับข้อพิพาทในเรื่องนี้ พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 ได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะเป็นขั้นตอนแล้วตามมาตรา 56 วรรคหนึ่ง และมาตรา 57 วรรคหนึ่ง ซึ่งก็มีการดำเนินการตามบทบัญญัติดังกล่าวในกรณีนี้ โดยเมื่อ คชก.ตำบลวินิจฉัยให้จำเลยมีสิทธิเช่าที่ดินพิพาททำนาต่อไปแล้วโจทก์ได้อุทธรณ์คำวินิจฉัยต่อ คชก.จังหวัด ซึ่งวินิจฉัยว่าจำเลยมีสิทธิเช่าที่ดินทำนาต่อไป และโจทก์อุทธรณ์คำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดต่อศาลโดยการฟ้อง คชก.จังหวัดต่อศาลแล้วแต่ก่อนคดีดังกล่าวจะถึงที่สุดประการใด โจทก์ก็มาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ เมื่อการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 ยังไม่เสร็จสิ้นโจทก์จึงยังไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ เรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้แม้จำเลยจะมิได้ยกเป็นข้อต่อสู้หรือฎีกาขึ้นมาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 803/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีซื้อขายที่ดินเช่าเกษตรกรรม ต้องรอคำวินิจฉัย คจก.ถึงที่สุดก่อน
กรณีพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นการพิพาทกันในข้อที่ว่าโจทก์ในฐานะผู้เช่านามีสิทธิให้จำเลยผู้รับโอนขายที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่นาที่โจทก์ได้เช่าทำนาขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ตาม พ.ร.บ. การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง หรือไม่ พ.ร.บ. ดังกล่าวได้บัญญัติขั้นตอนและวิธีปฏิบัติไว้ในมาตรา 54 วรรคสอง ว่าถ้าผู้รับโอนตามวรรคหนึ่งไม่ยอมขายนาให้แก่ผู้เช่านา ผู้เช่านาจะร้องขอต่อ คจก. ตำบลเพื่อให้ผู้นั้นขายนาได้ เมื่อคจก. ตำบลวินิจฉัยอย่างไรแล้วคู่กรณีมีสิทธิตามมาตรา 56 วรรคหนึ่ง คืออาจอุทธรณ์คำวินิจฉัยของ คจก. ตำบลต่อ คจก. จังหวัดได้ โดยทำเป็นหนังสือยื่นต่อประธาน คจก. ตำบลภายในกำหนด 30 วัน นับแต่วันที่ทราบคำวินิจฉัยดังกล่าวแต่ต้องไม่เกิน 60 วัน นับแต่วันที่ คจก. ตำบลมีคำวินิจฉัยดังกล่าว และวรรคสองบัญญัติว่า คำวินิจฉัยของ คจก. ตำบลที่มิได้อุทธรณ์ตามวรรคหนึ่งให้เป็นที่สุด ในกรณีที่มีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม ผู้มีส่วนได้เสียชอบที่จะร้องขอต่อศาลให้บังคับการให้เป็นไปตามคำวินิจฉัยดังกล่าวดุจเป็นคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการตามมาตรา 58 วรรคหนึ่ง ตามฟ้องของโจทก์ปรากฏว่า คจก. ตำบลข้าวงามได้วินิจฉัยเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2531 ให้จำเลยโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ตามคำร้องของโจทก์ ต่อมาวันที่ 15 เมษายน 2531 โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลในขณะที่ยังไม่พ้นกำหนดเวลาที่จำเลยซึ่งเป็นผู้มีสิทธิอุทธรณ์คัดค้านคำวินิจฉัยของ คจก. ตำบลข้าวงามซึ่งยังไม่ถึงที่สุด โจทก์ฟ้องคดีโดยไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ. การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 กำหนดไว้ โจทก์จึงยังไม่มีอำนาจฟ้อง