พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,139 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2039/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อพิพาทสัญญาซื้อขายที่ดินเงินผ่อน vs. สัญญาเช่าซื้อ ศาลวินิจฉัยเจตนาคู่สัญญาและแก้ไขคำพิพากษา
สัญญาระบุว่าเป็นสัญญาซื้อขายที่ดินเงินผ่อน ชื่อที่เรียกคู่สัญญาในสัญญาทุกข้อระบุว่าผู้ซื้อและผู้ขาย แม้มีสัญญาข้อหนึ่งว่าผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อเข้าครอบครองใช้สิทธิปลูกสร้างในที่ดินได้ ก็มีเงื่อนไขว่านับตั้งแต่วันที่ผู้ขายกรุยดินยกถนนผ่านที่ดินเรียบร้อยแล้ว อันมีความหมายชัดว่าผู้ขายไม่ได้มอบที่ดินให้ผู้ซื้อทันที โจทก์ผู้ซื้อจึงไม่ได้ใช้และรับประโยชน์จากที่ดินพิพาทในวันทำสัญญาแต่ประการใด แสดงให้เห็นเจตนาของคู่สัญญาที่จะทำสัญญาจะซื้อขายกัน ซึ่งต่างกับสัญญาเช่าซื้อที่จำเลยจะต้องนำที่ดินมาให้โจทก์เช่า หรือส่งมอบที่ดินให้โจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ หรือได้รับประโยชน์จากที่ดินนั้นโดยมีคำมั่นว่าจะขาย แม้คำบรรยายฟ้องมีว่า โจทก์ได้ตกลงเช่าซื้อที่พิพาท แต่ก็อ้างหนังสือสัญญาท้ายคำฟ้องซึ่งตรงกับหนังสือสัญญาดังกล่าวที่ส่งศาลและโจทก์ฟ้องคดีนี้โดยอาศัยสัญญาดังกล่าวเป็นหลัก ศาลจึงมีอำนาจวินิจฉัยว่า สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาท
จำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดจึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์
ศาลล่างเขียนหรือพิมพ์คำพิพากษาผิดพลาดไป ว่าให้จำเลยเสียดอกเบี้ยตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2514 (ที่ถูกคือ 2515) ศาลฎีกาแก้ไขได้เองให้ถูกต้อง โดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 143 โดยพิพากษายืน แต่ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2515
จำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดจึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์
ศาลล่างเขียนหรือพิมพ์คำพิพากษาผิดพลาดไป ว่าให้จำเลยเสียดอกเบี้ยตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2514 (ที่ถูกคือ 2515) ศาลฎีกาแก้ไขได้เองให้ถูกต้อง โดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 143 โดยพิพากษายืน แต่ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2515
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1915/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจะซื้อขายและการครอบครองโดยอาศัยสิทธิของผู้อื่น ไม่ทำให้ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครอง
โจทก์ฟ้องว่า ในการซื้อขายที่พิพาท ได้ตกลงกันว่าจำเลยจะต้องไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ด้วย โดยจำเลยจะไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์หลังจากที่จำเลยแบ่งแยกที่พิพาทออกจากโฉนดแล้ว ดังนี้ การซื้อขายที่พิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยมิใช่เป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาด แต่เป็นเพียงสัญญาจะซื้อขาย
การที่โจทก์และจำเลยตกลงจะซื้อจะขายที่พิพาทกันแล้วโจทก์เข้าครอบครองที่พิพาทนั้น เป็นการครอบครองโดยอาศัยสิทธิของจำเลยตามสัญญาจะซื้อขาย อันเป็นการยึดถือที่พิพาทแทนจำเลย มิใช่เป็นการ ยึดถือในฐานะเป็นเจ้าของ ทั้งไม่ปรากฏว่าต่อมาโจทก์เปลี่ยนแปลงลักษณะ แห่งการยึดถือโดยบอกกล่าวไปยังจำเลยว่าไม่เจตนาจะยึดถือที่พิพาทแทนจำเลยต่อไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 ดังนั้น แม้จะฟังว่าโจทก์ครอบครองที่พิพาทติดต่อกันเป็นเวลาเกิน 10 ปี โจทก์ ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382
การที่โจทก์และจำเลยตกลงจะซื้อจะขายที่พิพาทกันแล้วโจทก์เข้าครอบครองที่พิพาทนั้น เป็นการครอบครองโดยอาศัยสิทธิของจำเลยตามสัญญาจะซื้อขาย อันเป็นการยึดถือที่พิพาทแทนจำเลย มิใช่เป็นการ ยึดถือในฐานะเป็นเจ้าของ ทั้งไม่ปรากฏว่าต่อมาโจทก์เปลี่ยนแปลงลักษณะ แห่งการยึดถือโดยบอกกล่าวไปยังจำเลยว่าไม่เจตนาจะยึดถือที่พิพาทแทนจำเลยต่อไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 ดังนั้น แม้จะฟังว่าโจทก์ครอบครองที่พิพาทติดต่อกันเป็นเวลาเกิน 10 ปี โจทก์ ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1802/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาขายฝากและสัญญาจะซื้อคืน: ความรับผิดของลูกหนี้เมื่อไม่ไถ่ถอน
จำเลยค้างชำระหนี้แก่มารดาโจทก์ จำเลยขายฝากที่ดินแก่โจทก์ตามราคาที่ค้างชำระ และทำสัญญาจะซื้อที่ดินนั้นคืนตามราคาที่ขายฝากโดยมีข้อสัญญาว่าถ้าจำเลยไม่ซื้อคืนในกำหนดเวลาเดียวกับเวลาไถ่คืนจำเลยยอมให้โจทก์ขายที่ดินแก่ผู้อื่น ได้เงินเท่าใดจำเลยรับใช้เงินที่ยังขาดดังนี้ สัญญาจะซื้อขายเป็นสัญญาต่างหากจากการขายฝากจำเลยไม่ไถ่คืน จำเลยต้องใช้เงินที่โจทก์ขายที่ดินนั้นได้ขาดจำนวนที่จำเลยต้องชำระแก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1730/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันคำพิพากษาคดีอาญาต่อคดีแพ่งเกี่ยวเนื่อง และการชำระหนี้โดยการส่งมอบทรัพย์
เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาฐานฉ้อโกง ศาลฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยซื้อหยกไปจากโจทก์ โจทก์ส่งมอบให้จำเลยแล้วจำเลยยังไม่ชำระราคา เป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่ง ไม่ผิดฐานฉ้อโกง พิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุด โจทก์มาฟ้องทางแพ่งให้จำเลยชำระราคาหยก ในคดีอาญาดังกล่าวศาลได้ยกประเด็นว่าจำเลยซื้อหยกไปจากโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ขึ้นวินิจฉัยก่อน เมื่อฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยซื้อหยกไปจากโจทก์แล้วไม่ชำระราคา จึงวินิจฉัยต่อไปว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฉ้อโกงหรือไม่ ประเด็นว่าจำเลยซื้อหยกไปจากโจทก์ตามฟ้องหรือไม่จึงเป็นประเด็นโดยตรงที่ศาลหยิบยกขึ้นวินิจฉัยในคดีอาญา ฉะนั้นในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาว่าจำเลยได้ซื้อหยกไปจริงและยังไม่ได้ชำระราคาให้โจทก์ตามฟ้อง
แม้ว่าการซื้อขายหยกจะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ แต่โจทก์มอบหยกให้จำเลยรับไปแล้ว ถือได้ว่ามีการชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 แล้วจึงไม่จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกราคาหยกจากจำเลยได้
แม้ว่าการซื้อขายหยกจะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ แต่โจทก์มอบหยกให้จำเลยรับไปแล้ว ถือได้ว่ามีการชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 แล้วจึงไม่จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกราคาหยกจากจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1530/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายบ้านไม่จดทะเบียนเป็นโมฆะ แม้จะชำระราคาครบถ้วนแล้ว
สัญญาซื้อขายบ้านมีข้อความว่า โจทก์จำเลยตกลงซื้อขายบ้านพร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างทั้งหมด ผู้ซื้อชำระราคาให้ผู้ขายตามจำนวนที่ตกลงครบถ้วนแล้วในวันทำสัญญาได้ลงลายมือชื่อไว้เป็นสำคัญ ดังนี้ สัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด ไม่มีข้อความใดที่จะแสดงให้เห็นว่าเป็นเพียงสัญญาจะซื้อจะขายซึ่งคู่กรณีจะต้องปฏิบัติกันต่อไปอีก เมื่อไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 โจทก์จะอ้างโมฆะกรรมมาเป็นมูลฟ้องร้องไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1018/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับของแทนแล้วผูกมัดผู้ซื้อ แม้ราคาเกิน 500 บาท
ผู้ที่จำเลยแสดงออกว่าเป็นตัวแทนลงชื่อรับของที่จำเลยซื้อจากโจทก์ไว้แล้ว แม้ราคาเกินกว่า 500 บาท โจทก์ก็ฟ้องบังคับจำเลยให้ใช้ราคาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 636/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสละมรดกและการทำสัญญาจะขายที่ดินมรดก ทำให้สิทธิในการเรียกร้องแบ่งมรดกสิ้นสุดลง
โจทก์จำเลยเป็นพี่น้องกัน ต่างเป็นทายาทมีสิทธิได้รับมรดกที่ดินพิพาทแต่โจทก์ได้ทำสัญญาจะขายที่ดินมรดกส่วนของตนให้จำเลยจนได้มีการโอนโฉนดเป็นชื่อจำเลยไปแล้วโจทก์จะมาฟ้องขอแบ่งที่ดินมรดกนั้นอีกไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 636/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำสัญญาจะขายที่ดินมรดกแล้ว ย่อมไม่สามารถฟ้องขอแบ่งมรดกได้อีก
โจทก์จำเลยเป็นพี่น้องกัน ต่างเป็นทายาทมีสิทธิได้รับมรดกที่ดินพิพาท แต่โจทก์ได้ทำสัญญาจะขายที่ดินมรดกส่วนของตนให้จำเลยจนได้มีการโอนโฉนดเป็นชื่อจำเลยไปแล้ว โจทก์จะมาฟ้องขอแบ่งที่ดินมรดกนั้นอีกไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2750/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์, สัญญาต่างตอบแทน, การบอกเลิกสัญญา, การอยู่โดยละเมิด
จำเลยซื้อตึกและเช่าที่ดินที่ตึกนั้นตั้งอยู่ จึงมีนิติกรรมสองรายซึ่งแยกจากกันได้ คือนิติกรรมซื้อขายกับนิติกรรมเช่าที่ดิน นิติกรรมซื้อขายตึกเป็นสัญญาต่างตอบแทน ส่วนการเช่าที่ดินเมื่อจำเลยมิได้ให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อย่างใด ๆ แก่โจทก์เป็นพิเศษจึงเป็นสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ธรรมดา มิใช่สัญญาต่างตอบแทนพิเศษนอกเหนือจากสัญญษเช่าธรรมดาและตกอยู่ภายใต้บังคับของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538
เมื่อครบกำหนดการเช่าแล้ว จำเลยยังครองที่ดินอยู่โดยโจทก์มิได้ทักท้วง ถือว่าคู่สัญญาเป็นอันได้ทำสัญญากันต่อไปไม่มีกำหนดเวลา ก็ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 566 เมื่อโจทก์ได้แจ้งบอกเลิกการเช่าให้จำเลยทราบไว้ถูกต้องตามบทบัญญัติดังกล่าวแล้ว สัญญาเช่าที่ดินพิพาทเป็นอันสิ้นสุดลงและจำเลยไม่มีสิทธิ์ที่จะอยู่ในที่ดินพิพาทในฐานะผู้เช่าต่อไปได้อีก หลังจากนั้นจึงเป็นการอยู่โดยละเมิดอันจะต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์
เมื่อครบกำหนดการเช่าแล้ว จำเลยยังครองที่ดินอยู่โดยโจทก์มิได้ทักท้วง ถือว่าคู่สัญญาเป็นอันได้ทำสัญญากันต่อไปไม่มีกำหนดเวลา ก็ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 566 เมื่อโจทก์ได้แจ้งบอกเลิกการเช่าให้จำเลยทราบไว้ถูกต้องตามบทบัญญัติดังกล่าวแล้ว สัญญาเช่าที่ดินพิพาทเป็นอันสิ้นสุดลงและจำเลยไม่มีสิทธิ์ที่จะอยู่ในที่ดินพิพาทในฐานะผู้เช่าต่อไปได้อีก หลังจากนั้นจึงเป็นการอยู่โดยละเมิดอันจะต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2750/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์: สิทธิและหน้าที่ของผู้เช่าเมื่อสัญญาหมดอายุ และการบอกเลิกสัญญา
จำเลยซื้อตึกและเช่าที่ดินที่ตึกนั้นตั้งอยู่ จึงมีนิติกรรมสองรายซึ่งแยกจากกันได้ คือนิติกรรมซื้อขายกับนิติกรรมเช่าที่ดิน นิติกรรมซื้อขายตึกเป็นสัญญาต่างตอบแทนส่วนการเช่าที่ดินเมื่อจำเลยมิได้ให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อย่างใดๆ แก่โจทก์เป็นพิเศษจึงเป็นสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ธรรมดา มิใช่สัญญาต่างตอบแทนพิเศษนอกเหนือจากสัญญาเช่าธรรมดาและตกอยู่ภายใต้บังคับของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538
เมื่อครบกำหนดการเช่าแล้ว จำเลยยังครองที่ดินอยู่โดยโจทก์มิได้ทักท้วงถือว่าคู่สัญญาเป็นอันได้ทำสัญญากันต่อไปไม่มีกำหนดเวลา ก็ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 566 เมื่อโจทก์ได้แจ้งบอกเลิกการเช่าให้จำเลยทราบไว้ถูกต้องตามบทบัญญัติดังกล่าวแล้ว สัญญาเช่าที่ดินพิพาทเป็นอันสิ้นสุดลงและจำเลยไม่มีสิทธิที่จะอยู่ในที่ดินพิพาทในฐานะผู้เช่าต่อไปได้อีก หลังจากนั้นจึงเป็นการอยู่โดยละเมิดอันจะต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์
เมื่อครบกำหนดการเช่าแล้ว จำเลยยังครองที่ดินอยู่โดยโจทก์มิได้ทักท้วงถือว่าคู่สัญญาเป็นอันได้ทำสัญญากันต่อไปไม่มีกำหนดเวลา ก็ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 566 เมื่อโจทก์ได้แจ้งบอกเลิกการเช่าให้จำเลยทราบไว้ถูกต้องตามบทบัญญัติดังกล่าวแล้ว สัญญาเช่าที่ดินพิพาทเป็นอันสิ้นสุดลงและจำเลยไม่มีสิทธิที่จะอยู่ในที่ดินพิพาทในฐานะผู้เช่าต่อไปได้อีก หลังจากนั้นจึงเป็นการอยู่โดยละเมิดอันจะต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์