พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,443 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 307/2549 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
องค์ประกอบความผิดเช็ค: ต้องมีหนี้ที่บังคับได้ตามกฎหมาย การรับสภาพหนี้ไม่สร้างหนี้ใหม่
ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ มาตรา 4 การออกเช็คที่จะเป็นความผิดนั้นจะต้องเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายด้วย ข้อเท็จจริงที่ว่าการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย จึงเป็นองค์ประกอบการกระทำความผิดหาได้เป็นเพียงรายละเอียดที่สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาไม่ การที่โจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่าจำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้ตามสัญญารับสภาพหนี้และแนบสำเนาสัญญารับสภาพหนี้มาท้ายฟ้อง จึงเป็นการบรรยายฟ้องที่ขาดองค์ประกอบความผิดตามบทบัญญัติดังกล่าว เพราะการรับสภาพหนี้มิได้ก่อให้เกิดมูลหนี้ขึ้นใหม่ เพียงแต่เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/14 (1) เท่านั้น คำฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 224/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การมอบยาเสพติดเพื่อเสพร่วมกัน ไม่ถือเป็นความผิดฐานจำหน่าย
จำเลยมอบเมทแอมเฟตามีนให้ ส. เพื่อให้ ส. เตรียมเมทแอมเฟตามีนให้อยู่ในสภาพพร้อมเสพ แล้วจำเลยและ ส. เสพด้วยกันในเวลาต่อเนื่องกับที่ ส. ได้รับเมทแอมเฟตามีนมา แสดงว่าจำเลยมีเจตนาจะเสพเมทแอมเฟตามีน แต่เนื่องจาก ส. มีอุปกรณ์การเสพแล้วจึงมีเจตนาเสพเมทแอมเฟตามีนด้วยกันในภายหลัง จำเลยจึงให้ ส. ช่วยดำเนินการให้เท่านั้น เป็นการมอบเมทแอมเฟตามีนให้แก่ผู้กระทำความผิดด้วยกัน มิใช่เรื่องที่จำเลยมีเจตนาแจกจ่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่ ส. การกระทำของจำเลยจึงหาได้อยู่ในความหมายของคำว่า "จำหน่าย" ตามความในมาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 133/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งหมายนัดที่ไม่ชอบเนื่องจากผู้รับย้ายภูมิลำเนา ศาลต้องไต่สวนข้อเท็จจริงก่อนมีคำสั่ง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า การส่งหมายนัดและสำเนาคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดของโจทก์ไม่ชอบ เนื่องจากผู้ร้องย้ายภูมิลำเนาไปก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ปิดหมาย ตามแถลงของโจทก์นับว่ามีเหตุที่จะต้องทำการไต่สวนให้ได้ข้อเท็จจริงเป็นที่แน่ชัดเสียก่อนว่า ผู้ร้องมีภูมิลำเนาอยู่ ณ บ้านที่มีการส่งหมายหรือไม่เพราะหากข้อเท็จจริงได้ความตามคำร้อง การส่งหมายก็จะไม่ชอบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 74 (2) ย่อมเป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบและทำให้ผู้ร้องเสียหายเพราะไม่มีโอกาสได้คัดค้านคำร้อง ซึ่งศาลมีอำนาจที่จะมีคำสั่งให้เพิกถอนได้ตามมาตรา 27 การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องโดยไม่ทำการไต่สวนจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยไม่ชอบ ศาลฎีกาพิพากษายกคำสั่งดังกล่าวตามาตรา 243 (1) และมาตรา 27 ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247 ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนคำร้องแล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 133/2549 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งหมายนัดไต่สวนที่ไม่ถูกต้องตามภูมิลำเนาของผู้รับหมาย ทำให้ผู้รับหมายไม่ได้รับโอกาสคัดค้านกระบวนการพิจารณา
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 วรรคหนึ่ง โดยมีสำเนาทะเบียนบ้านแนบท้ายคำร้องซึ่งมีข้อความระบุว่าผู้ร้องย้ายภูมิลำเนาจากบ้านเลขที่ 17/115 ไปที่บ้านเลขที่ 30/5 ก่อนวันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ปิดหมายตามคำแถลงของโจทก์ นอกจากนี้ตามบันทึกการปิดหมายของเจ้าหน้าที่ศาลก็ระบุว่า เจ้าหน้าที่ศาลได้รับแจ้งจากบุคคลใกล้เคียงว่า ผู้ร้องได้ย้ายบ้านใหม่แล้ว กรณีเช่นว่านี้นับว่ามีเหตุผลตามสมควรที่ศาลชั้นต้นจะทำการไต่สวนให้ได้ข้อเท็จจริงที่แน่ชัดเสียก่อนว่าในขณะที่มีการส่งหมายนัดไต่สวนนั้น ผู้ร้องมีภูมิลำเนาอยู่ ณ บ้านที่มีการส่งหมายนัดและสำเนาคำร้องหรือไม่ เพราะหากข้อเท็จจริงได้ความตามคำร้องย่อมเป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบและทำให้ผู้ร้องเสียหายเพราะไม่มีโอกาสได้คัดค้านคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดของโจทก์ การที่ศาลชั้นต้นด่วนมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องโดยไม่ทำการไต่สวนคำร้องให้ทราบข้อเท็จริงแน่ชัดเสียก่อนเช่นนี้ เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 132/2549 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คำสั่งศาลที่ไม่อนุญาตเลื่อนคดี และหน้าที่การวางเงินค่าธรรมเนียมตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229
การที่จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งสี่เลื่อนคดีโดยขอให้ศาลอุทธรณ์ยกคำสั่งของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานจำเลยทั้งสี่ต่อไปแล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดีนั้น อาจทำให้คำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่บังคับให้จำเลยทั้งสี่ชำระหนี้แก่โจทก์ถูกยกเลิกเพิกถอนไปได้หากอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่ฟังขึ้น กรณีจึงอยู่ภายใต้บังคับของ ป.วิ.พ. มาตรา 229 ที่ผู้อุทธรณ์ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ด้วย
เมื่อจำเลยทั้งสี่ยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งสี่เลื่อนคดี โดยมิได้วางเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ ศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะสั่งไม่รับอุทธรณ์ได้ทันที การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยทั้งสี่นำเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวมาวางศาลภายในเวลาที่กำหนดเท่ากับศาลชั้นต้นเปิดโอกาสให้จำเลยทั้งสี่ปฏิบัติให้ถูกต้องอีกครั้งหนึ่งก่อนที่จะพิจารณาสั่งอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่ว่าจะให้ส่งหรือปฏิเสธไม่ส่งอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่ไปยังศาลอุทธรณ์อันเป็นกระบวนพิจารณาในชั้นตรวจคำฟ้องอุทธรณ์ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 232 ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลชั้นต้นโดยเฉพาะ คำสั่งของศาลชั้นต้นเช่นนี้จำเลยทั้งสี่ยังไม่มีสิทธิอุทธรณ์ได้ เพราะมิใช่คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ซึ่งผู้อุทธรณ์อาจอุทธรณ์คำสั่งนั้นไปยังศาลอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 234 คดีนี้แม้จำเลยทั้งสี่จะมิได้อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยทั้งสี่วางเงินค่าธรรมเนียมโดยตรง โดยกล่าวมาในอุทธรณ์ว่าขออุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวตามคำร้องของจำเลยทั้งสี่ก็ตาม แต่ศาลชั้นต้นก็ยกคำร้องเพราะเห็นว่าไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม อันเป็นการยืนยันให้จำเลยทั้งสี่ปฏิบัติตามคำสั่งเดิมที่ให้จำเลยทั้งสี่นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์มาวางศาล ทั้งอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่ก็ขอให้ศาลอุทธรณ์ยกเลิกเพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยทั้งสี่วางเงินค่าธรรมเนียมนั้นเสีย จึงมีผลเท่ากับเป็นการอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นในเรื่องที่ให้จำเลยทั้งสี่นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์มาวางศาลนั้นเอง จำเลยทั้งสี่จึงยังไม่มีสิทธิอุทธรณ์
เมื่อจำเลยทั้งสี่ยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งสี่เลื่อนคดี โดยมิได้วางเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ ศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะสั่งไม่รับอุทธรณ์ได้ทันที การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยทั้งสี่นำเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวมาวางศาลภายในเวลาที่กำหนดเท่ากับศาลชั้นต้นเปิดโอกาสให้จำเลยทั้งสี่ปฏิบัติให้ถูกต้องอีกครั้งหนึ่งก่อนที่จะพิจารณาสั่งอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่ว่าจะให้ส่งหรือปฏิเสธไม่ส่งอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่ไปยังศาลอุทธรณ์อันเป็นกระบวนพิจารณาในชั้นตรวจคำฟ้องอุทธรณ์ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 232 ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลชั้นต้นโดยเฉพาะ คำสั่งของศาลชั้นต้นเช่นนี้จำเลยทั้งสี่ยังไม่มีสิทธิอุทธรณ์ได้ เพราะมิใช่คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ซึ่งผู้อุทธรณ์อาจอุทธรณ์คำสั่งนั้นไปยังศาลอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 234 คดีนี้แม้จำเลยทั้งสี่จะมิได้อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยทั้งสี่วางเงินค่าธรรมเนียมโดยตรง โดยกล่าวมาในอุทธรณ์ว่าขออุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวตามคำร้องของจำเลยทั้งสี่ก็ตาม แต่ศาลชั้นต้นก็ยกคำร้องเพราะเห็นว่าไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม อันเป็นการยืนยันให้จำเลยทั้งสี่ปฏิบัติตามคำสั่งเดิมที่ให้จำเลยทั้งสี่นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์มาวางศาล ทั้งอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่ก็ขอให้ศาลอุทธรณ์ยกเลิกเพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยทั้งสี่วางเงินค่าธรรมเนียมนั้นเสีย จึงมีผลเท่ากับเป็นการอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นในเรื่องที่ให้จำเลยทั้งสี่นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์มาวางศาลนั้นเอง จำเลยทั้งสี่จึงยังไม่มีสิทธิอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 132/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่วางเงินค่าธรรมเนียมเมื่ออุทธรณ์ ทำให้ศาลชั้นต้นชอบที่จะสั่งไม่รับอุทธรณ์ได้ และจำเลยยังไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้น
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดี โดยขอให้ศาลอุทธรณ์ยกคำสั่งของศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นสืบพยานต่อไปแล้วมีคำพิพากษาใหม่ จึงอยู่ภายใต้บังคับ ป.วิ.พ. มาตรา 229 เมื่อจำเลยมิได้วางเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ ศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะสั่งไม่รับอุทธรณ์ได้ทันที การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยนำเงินดังกล่าวมาวางศาลภายในเวลาที่กำหนดเท่ากับเปิดโอกาสให้จำเลยปฏิบัติให้ถูกต้องอีกครั้งหนึ่งก่อนที่จะพิจารณาสั่งอุทธรณ์ว่าจะให้ส่งหรือปฏิเสธไม่ส่งอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์ตามมาตรา 232 ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลชั้นต้นโดยเฉพาะ คำสั่งของศาลชั้นต้นเช่นนี้จำเลยยังไม่มีสิทธิอุทธรณ์ เพราะมิใช่คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ตามมาตรา 234 แม้จำเลยจะมิได้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวโดยตรง โดยกล่าวมาในอุทธรณ์ว่าขออุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวตามคำร้องของจำเลย แต่ศาลชั้นต้นก็ยกคำร้องเพราะเห็นว่าไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม อันเป็นการยืนยันให้จำเลยปฏิบัติตามคำสั่งเดิม ทั้งในอุทธรณ์ก็ขอให้ศาลอุทธรณ์ยกเลิกเพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์มาวางศาลนั่นเอง จำเลยจึงยังไม่มีสิทธิอุทธรณ์ ดังนั้นแม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยก็เป็นการไม่ชอบ การที่จำเลยฎีกาต่อมา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 131/2549 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินราคาทรัพย์สินในการบังคับคดี: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการประเมินราคาเป็นเพียงราคาเริ่มต้น ผู้เข้าสู้ราคามีสิทธิเสนอราคาที่สูงกว่า
การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาทรัพย์สินที่ยึดมา เป็นเพียงการประมาณราคาในชั้นต้นตามความเห็นของเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อประโยชน์ในการขายทอดตลาดต่อไปเท่านั้น ราคาที่ประเมินดังกล่าวจึงอาจไม่ตรงกับราคาที่แท้จริง ซึ่งหากจำเลยไม่เห็นด้วย จำเลยก็ชอบที่จะหาผู้เข้าสู้ราคาหรือคัดค้านการขายทอดตลาดได้ และไม่มีหลักเกณฑ์ใดผูกมัดว่าการขายทอดตลาดจะต้องเป็นไปตามราคาที่ประเมิน แต่ขึ้นอยู่กับผู้เข้าสู้ราคาว่าจะให้ราคาสูงสุดเพียงใด จึงถือไม่ได้ว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อกฎหมาย และถือไม่ได้ว่ามีข้อโตแย้งสิทธิของจำเลยที่จะร้องขอต่อศาลตาม ป.พ.พ. มาตรา 296 วรรคสอง เพื่อให้เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาทรัพย์สินที่ยึดใหม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 131/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินราคาทรัพย์สินในการบังคับคดี: เจ้าพนักงานมีอำนาจประเมินราคาเบื้องต้นเพื่อขายทอดตลาด ผู้ซื้อมีสิทธิสู้ราคา
การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาทรัพย์สินที่ยึด เป็นเพียงการประมาณราคาในชั้นต้น เพื่อประโยชน์ในการขายทอดตลาดต่อไปเท่านั้น ราคาที่ประเมินจึงอาจไม่ตรงกับราคาที่แท้จริงก็ได้ แม้จำเลยจะไม่เห็นด้วย จำเลยก็ชอบที่จะหาผู้เข้าสู้ราคาหรือคัดค้านการขายทอดตลาดได้ และไม่มีหลักเกณฑ์ใดผูกมัดว่าการขายทอดตลาดจะต้องเป็นไปตามราคาที่ประเมิน จึงถือไม่ได้ว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อกฎหมาย และถือไม่ได้ว่ามีข้อโต้แย้งสิทธิของจำเลยที่จะร้องขอต่าศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง เพื่อให้เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาใหม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 114/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่อนุญาตเลื่อนการสอบสวนคำขอรับชำระหนี้ ไม่ทำให้เกิดความเสียหายตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย
ในกระบวนการขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายนั้นให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดำเนินการสอบสวนพยานหลักฐานต่าง ๆ แล้วทำความเห็นส่งสำนวนคำขอรับชำระหนี้ต่อศาลตาม พ.ร.บ.ล้มละลายฯ มาตรา 105 เพื่อศาลจะได้มีคำสั่งตามมาตรา 106 และมาตรา 107 ต่อไป การที่ผู้ร้องทั้งเจ็ดได้คัดค้านคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้รายที่ 51 เมื่อผู้คัดค้านหมายนัดให้ผู้ร้องทั้งเจ็ดนำพยานมาให้ทำการสอบสวนประกอบคำคัดค้าน ผู้ร้องทั้งเจ็ดขอเลื่อนการสอบสวน ผู้คัดค้านมีคำสั่งยกคำร้อง กรณีเป็นการกระทำในขั้นตอนของการสอบสวนคำขอรับชำระหนี้ซึ่งยังไม่แน่ว่าผู้คัดค้านจะทำความเห็นเสนอศาลอย่างไร จะฟังตามคำคัดค้านของผู้ร้องทั้งเจ็ดหรือไม่ และเมื่อผู้คัดค้านทำความเห็นเสนอศาลแล้ว ลำพังความเห็นของผู้คัดค้านก็หามีผลแต่อย่างใดไม่ ทั้งเมื่อศาลพิจารณาตามมาตรา 106 หรือมาตรา 107 แล้วก็อาจมีคำสั่งเป็นอย่างอื่นได้ คำสั่งของผู้คัดค้านที่ไม่อนุญาตให้เลื่อนการสอบสวนดังกล่าวจึงไม่เป็นการกระทำหรือคำวินิจฉัยที่ทำให้ผู้ร้องทั้งเจ็ดได้รับความเสียหายตามมาตรา 146 ผู้ร้องทั้งเจ็ดยังไม่มีสิทธิที่จะยื่นคำร้องขอให้ศาลกลับคำวินิจฉัยของผู้คัดค้านได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 35/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบอกเลิกสัญญาจ้างรักษาความปลอดภัยหลังหมดอายุสัญญา การบอกเลิกชอบด้วยกฎหมายตาม ป.พ.พ. มาตรา 386
จำเลยที่ 1 ทำสัญญาว่าจ้างโจทก์รักษาความปลอดภัยแก่ทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 ปี หลังจากครบกำหนด จำเลยที่ 1 ยังคงจ้างโจทก์ต่อมาโดยถือบังคับตามสัญญาเดิม โดยสัญญาว่าจ้างรักษาความปลอดภัยนี้มีกำหนดระยะ 1 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายน 2539 และสิ้นสุดสัญญาว่าจ้างในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2540 ในกรณีที่สัญญาครบกำหนดแล้วยังไม่มีฝ่ายใดบอกเลิกสัญญา ให้ถือว่าสัญญายังมีผลใช้บังคับต่อไปได้อีก อนึ่งสัญญาฉบับนี้อาจถูกบอกเลิกการจ้างก่อนครบกำหนดระยะเวลาโดยฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดก็ได้ แต่ทั้งนี้จะต้องแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน ดังนี้ การบอกเลิกสัญญาตามสัญญาข้อนี้จึงมีผลใช้บังคับในระหว่างอายุสัญญาเท่านั้น กล่าวคือ ระหว่างวันที่ 20 พฤศจิกายน 2539 ถึงวันที่ 19 พฤศจิกายน 2540 แม้หลังจากครบกำหนดตามอายุสัญญาแล้ว จำเลยที่ 1 ยังคงว่าจ้างโจทก์ต่อมาโดยให้ถือว่าสัญญายังมีผลบังคับใช้ต่อไปได้อีกก็ตาม แต่กรณีเป็นสัญญาที่ไม่มีกำหนดเวลาไว้และตามสัญญามิได้กำหนดเงื่อนไขในการบอกเลิกสัญญากันไว้ที่อื่น การที่จำเลยที่ 1 มีหนังสือบอกเลิกสัญญาแก่โจทก์เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2543 โดยมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2543 การบอกเลิกสัญญาของจำเลยที่ 1 จึงชอบด้วยกฎหมายตาม ป.พ.พ มาตรา 386 แล้ว