พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6365/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนหุ้น, ข้อบังคับบริษัท, ประเด็นข้อพิพาท, การกำหนดค่าเสียหาย, การอุทธรณ์
ที่จำเลยขอเพิ่มเติมประเด็นแห่งคดีว่า "การซื้อขายหุ้นได้ทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยและโจทก์ทั้งสามและมีพยาน 2 คน ลงลายมือชื่อรับรองตามข้อบังคับของบริษัท ท.หรือไม่ และสัญญาซื้อขายหุ้นเป็นโมฆะหรือไม่"นั้น ปัญหาที่จำเลยยกขึ้นอ้างดังกล่าวเป็นวิธีปฏิบัติในการโอนหุ้นตามข้อบังคับของบริษัทซึ่งเป็นรายละเอียดที่คู่ความจะต้องนำสืบในชั้นพิจารณาเพื่อให้ได้ความตามประเด็นข้อพิพาทที่ว่า จำเลยได้ตกลงขายหุ้นของจำเลยที่ถืออยู่ในบริษัท ท. ให้แก่โจทก์ทั้งสามหรือไม่ ปัญหาดังกล่าวจึงรวมอยู่ในประเด็นข้อพิพาทแล้ว กรณีย่อมไม่จำต้องกำหนดปัญหานี้เป็นประเด็นข้อพิพาทซ้ำซ้อนขึ้นอีก
จำเลยได้ขายหุ้นของจำเลยที่ถืออยู่ในบริษัท ท.ให้แก่โจทก์และรับเงินค่าหุ้นจากโจทก์แล้ว เมื่อการโอนหุ้นพิพาทเป็นการโอนระหว่างผู้ถือหุ้นด้วยกัน โดยบริษัทยังไม่ได้ออกใบหุ้น จึงไม่อยู่ในบังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือและพยานลงลายมือชื่อ 2 คน ตามข้อบังคับของบริษัท และถือว่าการโอนหุ้นสมบูรณ์จำเลยต้องผูกพันตามสัญญา
จำเลยได้อุทธรณ์กล่าวอ้างว่า ศาลชั้นต้นได้นำสัญญาซื้อขายหุ้นเอกสารหมาย ล.10 มากำหนดค่าเสียหายหุ้นละ 88.09 บาท เป็นการมิชอบโดยจำเลยกล่าวอ้างในอุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายสูงเกินความเป็นจริงถือได้ว่า จำเลยได้อุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนนี้แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยมิได้กล่าวอ้างในอุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายไม่ชอบหรือกำหนดค่าเสียหายเกินกว่าพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งการประพฤติผิดสัญญาอย่างไรบ้างจึงไม่เป็นประเด็นข้อพิพาทในชั้นอุทธรณ์อันพึงวินิจฉัย ย่อมเป็นการไม่ชอบและศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหานี้ไปทีเดียวโดยไม่ย้อนสำนวน
จำเลยได้ขายหุ้นของจำเลยที่ถืออยู่ในบริษัท ท.ให้แก่โจทก์และรับเงินค่าหุ้นจากโจทก์แล้ว เมื่อการโอนหุ้นพิพาทเป็นการโอนระหว่างผู้ถือหุ้นด้วยกัน โดยบริษัทยังไม่ได้ออกใบหุ้น จึงไม่อยู่ในบังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือและพยานลงลายมือชื่อ 2 คน ตามข้อบังคับของบริษัท และถือว่าการโอนหุ้นสมบูรณ์จำเลยต้องผูกพันตามสัญญา
จำเลยได้อุทธรณ์กล่าวอ้างว่า ศาลชั้นต้นได้นำสัญญาซื้อขายหุ้นเอกสารหมาย ล.10 มากำหนดค่าเสียหายหุ้นละ 88.09 บาท เป็นการมิชอบโดยจำเลยกล่าวอ้างในอุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายสูงเกินความเป็นจริงถือได้ว่า จำเลยได้อุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนนี้แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยมิได้กล่าวอ้างในอุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายไม่ชอบหรือกำหนดค่าเสียหายเกินกว่าพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งการประพฤติผิดสัญญาอย่างไรบ้างจึงไม่เป็นประเด็นข้อพิพาทในชั้นอุทธรณ์อันพึงวินิจฉัย ย่อมเป็นการไม่ชอบและศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหานี้ไปทีเดียวโดยไม่ย้อนสำนวน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8338/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การให้สัตยาบันสัญญาซื้อขายและการมอบหมายตัวแทน โดยการรับสินค้าและนำไปใช้ประโยชน์
โจทก์ได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่า เหตุที่ไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานภายในกำหนดเวลานั้น สาเหตุมาจากความเจ็บป่วยของทนายโจทก์คนเดิม โดยโจทก์มีแพทย์ ผู้ตรวจร่างกายทนายโจทก์คนเดิมเบิกความยืนยัน โดยโจทก์ไม่จำต้องนำเอกสารประวัติคนไข้มาสืบประกอบ และเมื่อศาลชั้นต้นรับฟังคำเบิกความของพยานแล้วเห็นว่า ทนายโจทก์คนเดิมป่วยจริง ความบกพร่องไม่ได้เกิดจากการจงใจหรือประมาทเลินเล่อที่ไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยาน และข้ออ้างของทนายโจทก์มีเหตุอันสมควรที่จะรับบัญชีระบุพยานของโจทก์ไว้เพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดในข้อสำคัญแห่งประเด็นเป็นไปด้วยความเที่ยงธรรม ดังนี้ จึงชอบที่ศาลชั้นต้นจะอนุญาตให้โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานนั้นได้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 183 ทวิ วรรคสอง ซึ่งบังคับใช้ในขณะนั้น
จำเลยได้ทราบและมีส่วนเกี่ยวข้องในการที่บริษัท ม.สั่งซื้อเหล็กหล่อเพื่อนำมาใช้ในการก่อสร้างชั้นใต้ดินของอาคาร บ. ยิ่งกว่านั้นในช่วงที่โจทก์ส่งเหล็กหล่อมาให้ตามสถานที่ก่อสร้างนั้น จำเลยได้เข้ามารับช่วงงานก่อสร้างต่อแล้ว และวัสดุก่อสร้างทุกอย่างที่ส่งมาภายหลังจำเลยก็เป็นผู้ใช้ประโยชน์ทั้งหมดดังนี้ เมื่อโจทก์ส่งเหล็กหล่อมาให้จำเลยและจำเลยได้รับไว้ใช้ประโยชน์ทั้งหมดโดยมิได้อิดเอื้อนหรือส่งคืนแก่โจทก์ ถือได้ว่าการรับสินค้าของจำเลยเป็นการให้สัตยาบันแก่การนั้น ย่อมผูกพันจำเลยในฐานะตัวการว่าได้มอบหมายให้บริษัท ม.เป็นตัวแทนสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์แล้ว สำหรับบันทึกข้อตกลงที่จำเลยกำหนดให้บริษัท ภ.ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการอาคาร บ.จะต้องมีหน้าที่จัดหาเหล็กก่อสร้างให้ไม่เกิน200 ตัน มอบแก่จำเลย เป็นเรื่องระหว่างจำเลยกับ ภ.เท่านั้น หาได้มีผลผูกพันโจทก์แต่อย่างใดไม่ เมื่อโจทก์ส่งเหล็กมาให้จำเลย จำเลยรับไว้แล้วนำไปใช้ในกิจการของจำเลยหมด จำเลยจึงมีนิติสัมพันธ์กับโจทก์โดยเข้ามาให้สัตยาบันแก่การนั้น
จำเลยได้ทราบและมีส่วนเกี่ยวข้องในการที่บริษัท ม.สั่งซื้อเหล็กหล่อเพื่อนำมาใช้ในการก่อสร้างชั้นใต้ดินของอาคาร บ. ยิ่งกว่านั้นในช่วงที่โจทก์ส่งเหล็กหล่อมาให้ตามสถานที่ก่อสร้างนั้น จำเลยได้เข้ามารับช่วงงานก่อสร้างต่อแล้ว และวัสดุก่อสร้างทุกอย่างที่ส่งมาภายหลังจำเลยก็เป็นผู้ใช้ประโยชน์ทั้งหมดดังนี้ เมื่อโจทก์ส่งเหล็กหล่อมาให้จำเลยและจำเลยได้รับไว้ใช้ประโยชน์ทั้งหมดโดยมิได้อิดเอื้อนหรือส่งคืนแก่โจทก์ ถือได้ว่าการรับสินค้าของจำเลยเป็นการให้สัตยาบันแก่การนั้น ย่อมผูกพันจำเลยในฐานะตัวการว่าได้มอบหมายให้บริษัท ม.เป็นตัวแทนสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์แล้ว สำหรับบันทึกข้อตกลงที่จำเลยกำหนดให้บริษัท ภ.ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการอาคาร บ.จะต้องมีหน้าที่จัดหาเหล็กก่อสร้างให้ไม่เกิน200 ตัน มอบแก่จำเลย เป็นเรื่องระหว่างจำเลยกับ ภ.เท่านั้น หาได้มีผลผูกพันโจทก์แต่อย่างใดไม่ เมื่อโจทก์ส่งเหล็กมาให้จำเลย จำเลยรับไว้แล้วนำไปใช้ในกิจการของจำเลยหมด จำเลยจึงมีนิติสัมพันธ์กับโจทก์โดยเข้ามาให้สัตยาบันแก่การนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9373/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นพยานหลักฐานล่าช้าและการเลิกสัญญาเช่าซื้อ
แม้การที่โจทก์ไม่ได้ยื่นต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจให้ทำสัญญาเช่าซื้อและหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีซึ่งเป็นพยานเอกสารต่อศาลชั้นต้นในวันชี้สองสถานเพื่อให้จำเลยทั้งสองตรวจสอบ เป็นการฝ่าฝืน ป.วิ.พ.มาตรา 183วรรคหนึ่ง ก็ตาม แต่ตามมาตรา 183 ทวิ วรรคสอง ถ้าศาลเห็นว่าพยานหลักฐานดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นที่จะต้องนำพยานหลักฐานดังกล่าวมาสืบ ศาลย่อมมีอำนาจใช้ดุลพินิจอนุญาตให้โจทก์ยื่นต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจภายหลังได้ และคดีได้ความว่าหนังสือมอบอำนาจที่โจทก์ได้อ้างเป็นพยานหลักฐานนี้เป็นเอกสารสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญเรื่องอำนาจฟ้องในคดี และต่อมาโจทก์ได้ยื่นหนังสือมอบอำนาจในวันเดียวกันกับวันที่ศาลชั้นต้นชี้สองสถานตามคำสั่งของศาลชั้นต้นก่อนวันสืบพยานนัดแรกเป็นเวลากว่า 1 เดือน จำเลยทั้งสองมีโอกาสตรวจสอบเอกสารดังกล่าวก่อนวันสืบพยานได้อยู่แล้ว ดังนี้ ที่โจทก์มิได้ส่งต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจต่อศาลในวันชี้สองสถานนั้น จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการเอาเปรียบจำเลยทั้งสองแต่ประการใด ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ยื่นต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจและศาลล่างทั้งสองรับฟังต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจที่โจทก์นำสืบเป็นพยานหลักฐานมานั้นจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
สัญญาเช่าซื้อที่ระบุว่า ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดหนึ่งงวดใด...ฯลฯ ถือว่าสัญญาเช่าซื้อเลิกกันทันทีโดยเจ้าของไม่ต้องบอกกล่าวก่อน...ฯลฯ เป็นสัญญาเพื่อรักษาผลประโยชน์ของเจ้าของผู้ให้เช่าซื้อเมื่อผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนใช้บังคับกันได้ จำเลยที่ 1ค้างชำระค่าเช่าซื้อเป็นเวลาหลายงวด จึงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาเช่าซื้อตามข้อสัญญาดังกล่าวแล้ว สัญญาเช่าซื้อจึงเลิกกันทันทีโดยโจทก์มิต้องบอกกล่าว
สัญญาเช่าซื้อที่ระบุว่า ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดหนึ่งงวดใด...ฯลฯ ถือว่าสัญญาเช่าซื้อเลิกกันทันทีโดยเจ้าของไม่ต้องบอกกล่าวก่อน...ฯลฯ เป็นสัญญาเพื่อรักษาผลประโยชน์ของเจ้าของผู้ให้เช่าซื้อเมื่อผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนใช้บังคับกันได้ จำเลยที่ 1ค้างชำระค่าเช่าซื้อเป็นเวลาหลายงวด จึงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาเช่าซื้อตามข้อสัญญาดังกล่าวแล้ว สัญญาเช่าซื้อจึงเลิกกันทันทีโดยโจทก์มิต้องบอกกล่าว