พบผลลัพธ์ทั้งหมด 229 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1659/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษจำเลยในคดีลักทรัพย์หลายกรรม ฟ้องไม่บรรยายรายละเอียดครบถ้วน ศาลลงโทษทุกกรรมเรียงกระทงมิได้
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำผิดกฎหมายต่างกรรมต่างวาระกัน คือ ได้บังอาจลักทรัพย์รวม 49 รายการ โดยลักไปครั้งละ 1 และ 2 รายการ จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องแล้วศาลสอบโจทก์ โจทก์แถลงว่า ตามทางสอบสวนได้ความว่าจำเลยลักเอาทรัพย์รายนี้ไปรวม 40 ครั้ง และศาลสอบจำเลย ๆ ก็รับว่าลักไปรวม 40 ครั้งจริง ดังนี้ ศาลก็ลงโทษจำเลยทุกกรรมเรียงกระทงรวม 40 กระทงมิได้ เพราะฟ้องโจทก์มิได้บรรยายไว้ดังคำแถลงของโจทก์ และแม้คำฟ้องนี้จะมิได้ระบุให้ชัดเจนว่าจำเลยลักทรัพย์รายนี้รวมกี่ครั้ง ครั้งไหนกี่รายการ และครั้งไหนจำเลยลักอะไร แต่เมื่อจำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี มิได้หลงต่อสู้แล้ว ฟ้องโจทก์มิใช่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1659/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษจำเลยในความผิดหลายกรรม ฟ้องต้องบรรยายรายละเอียดชัดเจน แม้จำเลยรับสารภาพนอกฟ้องก็ลงโทษรวมไม่ได้
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำผิดกฎหมายต่างกรรมต่างวาระกันคือได้บังอาจลักทรัพย์รวม 49 รายการ โดยลักไปครั้งละ 1 และ 2 รายการ จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง แล้วศาลสอบโจทก์ โจทก์แถลงว่าตามทางสอบสวนได้ความว่าจำเลยลักเอาทรัพย์รายนี้ไปรวม40 ครั้ง และศาลสอบจำเลยจำเลยก็รับว่าลักไปรวม 40 ครั้งจริง ดังนี้ศาลก็ลงโทษจำเลยทุกกรรมเรียงกระทงรวม 40 กระทงมิได้ เพราะฟ้องโจทก์มิได้บรรยายไว้ดังคำแถลงของโจทก์ และแม้คำฟ้องนี้จะมิได้ระบุให้ชัดเจนว่า จำเลยลักทรัพย์รายนี้รวมกี่ครั้ง ครั้งไหนกี่รายการ และครั้งไหนจำเลยลักอะไร แต่เมื่อจำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี มิได้หลงต่อสู้แล้ว ฟ้องโจทก์ก็มิใช่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 825/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารสิทธิชำระหนี้, อำนาจสอบสวนคดีอาญา
จำเลยขำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้เพียง 10,000 บาทแล้วจำเลยแก้ไขจำนวนเงินในใบรับเงินที่เจ้าหนี้เซ็นชื่อเป็นผู้รับเงิน โดยแก้ 10,000 บาท เป็ฯ 70,0100 บาท ต่อมาจำเลยคัดสำเนาใบรับเงินที่ปลอมนั้นมาแสดงต่อศาลทำให้เจ้าหนี้ได้รับความเสียหาย เพราถ้าศาลหลงเชื่อว่าเป็ฯเอาสารที่แ้จริงแล้ว เจ้าหนี้จะต้องขาดเงินที่ควรได้รับชำระหนี้ไป 60,000 บาท การปลอมของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 264 แล้ว และเอกสารนี้เป็นใบรับเงินชำระหนี้ แสดงว่าสิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้ในจำนวนเงินนี้ระงับไปแล้ว จำเลยจึงมีความผิดฐานปลอมเอาสารสิทธิตามมาตรา 265 และการที่จำเลยคัดสำเนาเอกสารที่ปลอมแสดงต่อศาลเป็นการอ้างถึงเอกสารที่ปลอม จึงเป็นความผิดตามมาตรา 268 ด้วย ต้องลงโทษจำเลยตามมาตรา 268 ตามอัตราโทษในมาตรา 265
คำบรรยายฟ้องที่แสดงว่าวันเวลาที่ระบุไว้นั้นหมายถึงวันเวลาที่ทำปลอมกับที่ใช้เอกสารปลอมด้วย
จำเลยที่ 2 ชำระเงินให้เจ้าหนี้และเจ้าหนี้ออกใบรับเงินให้ที่บ้านในท้องที่บุบผาราม จำเลยที่ 1 และที่ 2 อยู่ที่เทเวศร์ จำเลยที่ 1 ปลอมใบรับเงินนั้นที่ไหนไม่ปรากฎ แต่เอามาใช้อ้างที่ศาลแพ่ง จำเลยที่ 1 ถูกจับในท้องที่นางเลิ้ง ส่วนจำเลยที่ 2 ถูกจับที่สถานีตำรวจบุบผาราม เมื่อเป็นการไม่แน่ว่าการกระทำผิดได้กระทำในท้องที่ใด แต่จำเลยที่ 2 ถูกจับที่สถานีตำรวจบุบผารามเช่นนี้พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจบุบผารามจึงมีอำนาจสอบสวนคดีนี้ได้ และย่อมสอบสวนจำเลยที่ 1 ได้ด้วย เพราะมีข้อหาว่าร่วมกันกระทำผิดในคดีนี้ด้วย.
คำบรรยายฟ้องที่แสดงว่าวันเวลาที่ระบุไว้นั้นหมายถึงวันเวลาที่ทำปลอมกับที่ใช้เอกสารปลอมด้วย
จำเลยที่ 2 ชำระเงินให้เจ้าหนี้และเจ้าหนี้ออกใบรับเงินให้ที่บ้านในท้องที่บุบผาราม จำเลยที่ 1 และที่ 2 อยู่ที่เทเวศร์ จำเลยที่ 1 ปลอมใบรับเงินนั้นที่ไหนไม่ปรากฎ แต่เอามาใช้อ้างที่ศาลแพ่ง จำเลยที่ 1 ถูกจับในท้องที่นางเลิ้ง ส่วนจำเลยที่ 2 ถูกจับที่สถานีตำรวจบุบผาราม เมื่อเป็นการไม่แน่ว่าการกระทำผิดได้กระทำในท้องที่ใด แต่จำเลยที่ 2 ถูกจับที่สถานีตำรวจบุบผารามเช่นนี้พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจบุบผารามจึงมีอำนาจสอบสวนคดีนี้ได้ และย่อมสอบสวนจำเลยที่ 1 ได้ด้วย เพราะมีข้อหาว่าร่วมกันกระทำผิดในคดีนี้ด้วย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 825/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารสิทธิเพื่อหลีกเลี่ยงหนี้สิน การกำหนดอำนาจสอบสวน
จำเลยชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้เพียง 10,000 บาทแล้วจำเลยแก้ไขจำนวนเงินในใบรับเงินที่เจ้าหนี้เซ็นชื่อเป็นผู้รับเงิน โดยแก้ 10,000 บาท เป็น 70,000 บาท ต่อมาจำเลยคัดสำเนาใบรับเงินที่ปลอมนั้นมาแสดงต่อศาลทำให้เจ้าหนี้ได้รับความเสียหายเพราะถ้าศาลหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงแล้ว เจ้าหนี้จะต้องขาดเงินที่ควรได้รับชำระหนี้ไป 60,000 บาทการปลอมของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 264 แล้ว และเอกสารนี้เป็นใบรับเงินชำระหนี้แสดงว่าสิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้ในจำนวนเงินนี้ระงับไปแล้วจำเลยจึงมีความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิตามมาตรา 265 และการที่จำเลยคัดสำเนาเอกสารที่ปลอมแสดงต่อศาลเป็นการอ้างถึงเอกสารที่ปลอม จึงเป็นความผิดตามมาตรา 268 ด้วยต้องลงโทษจำเลยตามมาตรา 268 ตามอัตราโทษในมาตรา 265
คำบรรยายฟ้องที่แสดงว่าวันเวลาที่ระบุไว้นั้นหมายถึงวันเวลาที่ปลอมกับที่ใช้เอกสารปลอมด้วย
จำเลยที่ 2 ชำระเงินให้เจ้าหนี้และเจ้าหนี้ออกใบรับเงินที่บ้านในท้องที่บุบผาราม.จำเลยที่1และที่2อยู่ที่เทเวศร์ จำเลยที่ 1 ปลอมใบรับเงินนั้นที่ไหนไม่ปรากฏ แต่เอามาใช้อ้างที่ศาลแพ่ง จำเลยที่ 1 ถูกจับในท้องที่นางเลิ้งส่วนจำเลยที่2ถูกจับที่สถานีตำรวจบุบผาราม เมื่อเป็นการไม่แน่ว่าการกระทำผิดได้กระทำในท้องที่ใด แต่จำเลยที่ 2 ถูกจับที่สถานีตำรวจบุบผารามเช่นนี้พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจบุบผารามจึงมีอำนาจสอบสวนคดีนี้ได้และย่อมสอบสวนจำเลยที่ 1 ได้ด้วย เพราะมีข้อหาว่าร่วมกันกระทำผิดในคดีนี้ด้วย
คำบรรยายฟ้องที่แสดงว่าวันเวลาที่ระบุไว้นั้นหมายถึงวันเวลาที่ปลอมกับที่ใช้เอกสารปลอมด้วย
จำเลยที่ 2 ชำระเงินให้เจ้าหนี้และเจ้าหนี้ออกใบรับเงินที่บ้านในท้องที่บุบผาราม.จำเลยที่1และที่2อยู่ที่เทเวศร์ จำเลยที่ 1 ปลอมใบรับเงินนั้นที่ไหนไม่ปรากฏ แต่เอามาใช้อ้างที่ศาลแพ่ง จำเลยที่ 1 ถูกจับในท้องที่นางเลิ้งส่วนจำเลยที่2ถูกจับที่สถานีตำรวจบุบผาราม เมื่อเป็นการไม่แน่ว่าการกระทำผิดได้กระทำในท้องที่ใด แต่จำเลยที่ 2 ถูกจับที่สถานีตำรวจบุบผารามเช่นนี้พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจบุบผารามจึงมีอำนาจสอบสวนคดีนี้ได้และย่อมสอบสวนจำเลยที่ 1 ได้ด้วย เพราะมีข้อหาว่าร่วมกันกระทำผิดในคดีนี้ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 695/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบของกลาง (เกวียนและโค) ที่ใช้ในการกระทำความผิดฐานมีไม้แปรรูปโดยไม่ได้รับอนุญาต
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีไม้แปรรูปไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต และขอให้ริบไม้และเกวียนโคของกลางด้วย คดีได้ความตามฟ้องและคำรับสารภาพว่า เจ้าพนักงานจับจำเลยได้ขณะที่จำเลยเอาไม้บรรทุกใส่เกวียนเทียมโค เห็นได้ว่าจำเลยใช้โคและเกวียนของกลางเป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำผิด คือ การมีไม้รายนี้ไว้โดยมิได้รับอนุญาต โคและเกวียนจึงเป็นสิ่งพึงต้องริบด้วย
โจทก์บรรยายฟ้องด้วยว่า เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยไม่เหียบซึ่งจำเลยมีไว้ในขณะที่จำเลยบรรทุกใส่เกวียนเทียมโค อันเป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำผิดเป็นของกลาง และขอให้ริบไม้กับเกวียนโคของกลางด้วย เมื่อจำเลยรับสารภาพตามฟ้อง ดังนี้ แม้ศาลชั้นต้นจะให้คืนเกวียนและโคโดยเห็นว่าไม่เกี่ยวกับการมีไม้ ก็เป็นเพียงคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น ไม่ผูกมัดศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีอำนาจวินิจฉัยว่าจำเลยได้ใช้เกวียนและโคเป็นอุปกรณ์ในการมีไม้ไว้ในครอบครองแล้วให้ริบเสียด้วยได้ จำเลยจะอ้างว่าเป็นข้อเท็จจริงอันถึงที่สุดแล้วหาได้ไม่
โจทก์บรรยายฟ้องด้วยว่า เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยไม่เหียบซึ่งจำเลยมีไว้ในขณะที่จำเลยบรรทุกใส่เกวียนเทียมโค อันเป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำผิดเป็นของกลาง และขอให้ริบไม้กับเกวียนโคของกลางด้วย เมื่อจำเลยรับสารภาพตามฟ้อง ดังนี้ แม้ศาลชั้นต้นจะให้คืนเกวียนและโคโดยเห็นว่าไม่เกี่ยวกับการมีไม้ ก็เป็นเพียงคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น ไม่ผูกมัดศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีอำนาจวินิจฉัยว่าจำเลยได้ใช้เกวียนและโคเป็นอุปกรณ์ในการมีไม้ไว้ในครอบครองแล้วให้ริบเสียด้วยได้ จำเลยจะอ้างว่าเป็นข้อเท็จจริงอันถึงที่สุดแล้วหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 695/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบของกลาง (เกวียนและโค) ที่ใช้ในการกระทำผิดฐานมีไม้แปรรูปโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลอุทธรณ์มีอำนาจแก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีไม้แปรรูปไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตและขอให้ริบไม้และเกวียนโคของกลางด้วยคดีได้ความตามฟ้องและคำรับสารภาพว่าเจ้าพนักงานจับจำเลยได้ขณะที่จำเลยเอาไม้บรรทุกใส่เกวียนเทียมโคเห็นได้ว่าจำเลยได้ใช้โคและเกวียนของกลางเป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำผิดคือ การมีไม้รายนี้ไว้โดยมิได้รับอนุญาต โคและเกวียนจึงเป็นสิ่งพึงต้องริบด้วย
โจทก์บรรยายฟ้องด้วยว่าเจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยไม้เหียงซึ่งจำเลยมีไว้ในขณะที่จำเลยบรรทุกใส่เกวียนเทียมโคอันเป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำผิดเป็นของกลาง และขอให้ริบไม้กับเกวียนโคของกลางด้วยเมื่อจำเลยรับสารภาพตามฟ้อง ดังนี้ แม้ศาลชั้นต้นจะให้คืนเกวียนและโคโดยเห็นว่าไม่เกี่ยวกับการมีไม้ ก็เป็นเพียงคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นไม่ผูกมัดศาลอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์มีอำนาจวินิจฉัยว่าจำเลยได้ใช้เกวียนและโคเป็นอุปกรณ์ในการมีไม้ไว้ในครอบครองแล้วให้ริบเสียด้วยได้จำเลยจะอ้างว่าเป็นข้อเท็จจริงอันถึงที่สุดแล้วหาได้ไม่
โจทก์บรรยายฟ้องด้วยว่าเจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยไม้เหียงซึ่งจำเลยมีไว้ในขณะที่จำเลยบรรทุกใส่เกวียนเทียมโคอันเป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำผิดเป็นของกลาง และขอให้ริบไม้กับเกวียนโคของกลางด้วยเมื่อจำเลยรับสารภาพตามฟ้อง ดังนี้ แม้ศาลชั้นต้นจะให้คืนเกวียนและโคโดยเห็นว่าไม่เกี่ยวกับการมีไม้ ก็เป็นเพียงคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นไม่ผูกมัดศาลอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์มีอำนาจวินิจฉัยว่าจำเลยได้ใช้เกวียนและโคเป็นอุปกรณ์ในการมีไม้ไว้ในครอบครองแล้วให้ริบเสียด้วยได้จำเลยจะอ้างว่าเป็นข้อเท็จจริงอันถึงที่สุดแล้วหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 605/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสมบูรณ์ของฟ้องอาญา กรณีเทศบัญญัติยังมิได้ประกาศตามขั้นตอน แต่จำเลยทราบและไม่โต้แย้ง
การบรรยายฟ้องว่า อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 46 แห่งพระราชบัญญัติสาธารณสุข พ.ศ. 2484 เทศบาล
ได้ตราเทศบัญญัติเรื่องการจัดตั้งตลาดเอกชน พ.ศ. 2485 ไว้ตามสำเนาท้ายฟ้องและหาว่าจำเลยจัดตั้งตลาดเอกชนในเขตเทศบาลนั้นโดยมิได้รับอนุญาต ดังนี้ แม้จะไม่ได้บรรยายว่ามีประกาศเทศบัญญัตินี้โดยเปิดเผยที่สำนักงานเทศบาล 7 วันแล้ว ดังที่กำหนดไว้ในเทศบัญญัติ ก็ถือว่าเป็นฟ้องที่สมบูรณ์แล้ว
ได้ตราเทศบัญญัติเรื่องการจัดตั้งตลาดเอกชน พ.ศ. 2485 ไว้ตามสำเนาท้ายฟ้องและหาว่าจำเลยจัดตั้งตลาดเอกชนในเขตเทศบาลนั้นโดยมิได้รับอนุญาต ดังนี้ แม้จะไม่ได้บรรยายว่ามีประกาศเทศบัญญัตินี้โดยเปิดเผยที่สำนักงานเทศบาล 7 วันแล้ว ดังที่กำหนดไว้ในเทศบัญญัติ ก็ถือว่าเป็นฟ้องที่สมบูรณ์แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 605/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องอาญาฐานจัดตั้งตลาดโดยไม่ได้รับอนุญาต แม้ไม่มีการระบุการประกาศเทศบัญญัติ ก็ถือเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ได้ หากจำเลยทราบและไม่ได้ยกประเด็นต่อสู้
การบรรยายฟ้องว่า อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 46 แห่งพระราชบัญญัติสาธารณสุข พ.ศ.2484 เทศบาลได้ตราเทศบัญญัติเรื่องการจัดตั้งตลาดเอกชน พ.ศ.2485 ไว้ ตามสำเนาท้ายฟ้องและหาว่าจำเลยจัดตั้งตลาดเอกชนในเขตเทศบาลนั้นโดยมิได้รับใบอนุญาตดังนี้ แม้จะไม่ได้บรรยายว่ามีการประกาศเทศบัญญัตินี้โดยเปิดเผยที่สำนักงานเทศบาล 7 วันแล้วดังที่กำหนดไว้ในเทศบัญญัติ ก็ถือว่าเป็นฟ้องที่สมบูรณ์แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 766/2504 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีอาญาต้องมีตัวจำเลยมาศาล แม้จำเลยถูกกักขังในคดีอื่น
จำเลยต้องกักขังตามอำนาจศาลอยู่ในคดีหนึ่ง แล้วหลบหนีไป ต่อมาอัยการจะมาฟ้องจำเลยผู้นั้นในอีกคดีหนึ่งโดยไม่มีตัวจำเลยมาส่งศาลพร้อมฟ้องนั้นไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1062-1065/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปฏิเสธความผิดและการนำสืบพยาน: เมื่อโจทก์นำสืบพยานไม่พอฟัง ศาลไม่ต้องฟังพยานจำเลย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน จำเลยให้การว่า คำสั่งของนายอำเภอ ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังนี้ ถือว่าจำเลยให้การปฏิเสธว่ามิได้ กระทำผิด
เมื่อศาลเห็นว่า พยานโจทก์ที่นำสืบมาแล้ว ไม่พอฟัง ลงโทษจำเลยได้ ศาลก็ไม่จำต้องฟังคำพยาน จำเลย ต่อไป
เมื่อศาลเห็นว่า พยานโจทก์ที่นำสืบมาแล้ว ไม่พอฟัง ลงโทษจำเลยได้ ศาลก็ไม่จำต้องฟังคำพยาน จำเลย ต่อไป