พบผลลัพธ์ทั้งหมด 191 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3218/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าธรรมเนียมรวบรวมทรัพย์สินในคดีล้มละลายเมื่อถอนฟ้อง ผู้ใดเป็นผู้รับผิดและอัตราค่าธรรมเนียมที่ถูกต้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าจำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย และยื่นคำร้องขอให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยชั่วคราว เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยชั่วคราวแล้ว โจทก์ก็เป็นผู้ติดตามแจ้งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดำเนินการเรียกทรัพย์สินของลูกหนี้ผู้เป็นจำเลยจากกองบังคับคดีแพ่งมารวบรวมไว้ในคดีล้มละลาย ต่อมาโจทก์ถอนฟ้อง ซึ่งศาลอนุญาตและจำหน่ายคดีไปแล้ว บรรดากิจการที่ได้ดำเนินมาย่อมต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม เงินจำนวนที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้รับมาก็ต้องคืนให้กองบังคับคดีแพ่ง และถือไม่ได้ว่าเป็นทรัพย์สินของลูกหนี้ในคดีล้มละลายที่จะนำมาใช้จ่ายได้ โจทก์จึงต้องเป็นผู้รับผิดในค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการดำเนินกระบวนพิจารณาของโจทก์เองตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 155 แต่การคิดค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สิน เมื่อเงินที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้รับมาต้องส่งคืนไป ไม่มีการจำหน่ายจึงต้องคิดค่าธรรมเนียมในอัตราร้อยละสามครึ่งของราคาทรัพย์สินตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 179(3)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1466/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องซ้ำคดีภาษีหลังถอนฟ้องเดิม สิทธิฟ้องเป็นไปตามกรอบเวลาที่กฎหมายกำหนด
โจทก์เคยใช้สิทธิอุทธรณ์ต่อศาลขอให้ศาลชี้ขาดเกี่ยวกับคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ที่ให้โจทก์ชำระภาษีเงินได้ แต่แล้วขอถอนฟ้องไป ต่อมาโจทก์ยื่นฟ้องขอให้ศาลชี้ขาดเกี่ยวกับคำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าวอีก แต่เกินกำหนดเวลาสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์แล้วคดีของโจทก์จึงต้องห้ามตามมาตรา 30(2) แห่งประมวลรัษฎากรโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง แม้จะปรากฏว่าในคดีก่อนโจทก์ได้ยื่นฟ้องไว้ภายใน 30 วัน ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30(2) ก็ตาม ก็ไม่ทำให้โจทก์มีอำนาจมาฟ้องใหม่ได้อีก เพราะการถอนคำฟ้องของโจทก์ในคดีก่อนเป็นการลบล้างผลแห่งการยื่นฟ้อง กระทำให้โจทก์จำเลยกลับคืนสู่ฐานะเดิมเสมือนหนึ่งมิได้มีการยื่นฟ้องเลย ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 176
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1466/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องซ้ำหลังถอนฟ้องคดีภาษีอากร ทำให้สิทธิฟ้องหมดไปตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30(2)
โจทก์เคยใช้สิทธิอุทธรณ์ต่อศาลขอให้ศาลชี้ขาดเกี่ยวกับคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ที่ให้โจทก์ชำระภาษีเงินได้ แต่แล้วขอถอนฟ้องไป ต่อมาโจทก์ยื่นฟ้องขอให้ศาลชี้ขาดเกี่ยวกับคำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าวอีก แต่เกินกำหนดเวลาสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์แล้ว คดีของโจทก์จึงต้องห้ามตามมาตรา30(2) แห่งประมวลรัษฎากร โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง แม้จะปรากฏว่าในคดีก่อนโจทก์ได้ยื่นฟ้องไว้ภายใน 30 วันตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30(2) ก็ตาม ก็ไม่ทำให้โจทก์มีอำนาจมาฟ้องใหม่ได้อีก เพราะการถอนคำฟ้องของโจทก์ในคดีก่อนเป็นการลบล้างผลแห่งการยื่นฟ้อง กระทำให้โจทก์จำเลยกลับคืนสู่ฐานะเดิม เสมือนหนึ่งมิได้มีการยื่นฟ้องเลยตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 176
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2240/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การผูกพันตามคำท้าสาบานและการฟ้องซ้ำในประเด็นเดิม
โจทก์เคยฟ้องจำเลยขอให้จดทะเบียนรับรอง ก. เป็นบุตรแล้วตกลงท้าสาบานกันโดยถ้าจำเลยสาบานได้ ต้องฟังว่าก. ไม่ใช่บุตรของจำเลย จำเลยสาบานได้ตามคำท้า โจทก์จึงขอถอนฟ้อง และแถลงต่อศาลว่า ไม่ติดใจดำเนินคดีแก่จำเลยอีก ศาลสั่งอนุญาต คำแถลงของโจทก์เช่นนี้เป็นการยอมสละสิทธิของตนที่มีอยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 176 ซึ่งบัญญัติมิให้โจทก์มีสิทธินำคดีมาฟ้องจำเลยได้ใหม่ จึงผูกมัดตัวโจทก์ตามคำท้า โจทก์จะนำคดีมาฟ้องจำเลยขอให้จดทะเบียนรับ ก. เป็นบุตร อันมีประเด็นอย่างเดียวกันอีกหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความในคดีล้มละลาย: การฟ้องคดีล้มละลายสะดุดอายุความ การจำหน่ายคดีเริ่มต้นนับอายุความใหม่
การฟ้องคดีล้มละลายเป็นการฟ้องเพื่อตั้งหลักฐานสิทธิเรียกร้องด้วยไม่ใช่เป็นเพียงการฟ้องเพื่อให้จัดการทรัพย์สินของลูกหนี้ผู้ล้มละลายแต่อย่างเดียว จึงมีผลให้อายุความสะดุดหยุดลง
การที่ศาลสั่งจำหน่ายคดีตามคำแถลงของโจทก์คดีล้มละลายเพื่อโจทก์จะไปขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายสำนวนอื่นนั้น กรณีไม่เข้ามาตรา 174 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ อายุความจึงเริ่มนับใหม่ตั้งแต่วันที่ศาลสั่งจำหน่ายคดี
การที่ศาลสั่งจำหน่ายคดีตามคำแถลงของโจทก์คดีล้มละลายเพื่อโจทก์จะไปขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายสำนวนอื่นนั้น กรณีไม่เข้ามาตรา 174 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ อายุความจึงเริ่มนับใหม่ตั้งแต่วันที่ศาลสั่งจำหน่ายคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1809/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การระบุตัวเจ้าของทรัพย์ในคดีลักทรัพย์: ฟ้องไม่เคลือบคลุมหากระบุได้ว่าทรัพย์เป็นของบุคคลกลุ่มที่ชัดเจน และการรับสารภาพของผู้ต้องหา
ฟ้องว่าจำเลยบังอาจอาศัยโอกาสที่มีเพลิงไหม้ลักกระปุกอัดจารบีโรงสีเล็ก 1 อัน ราคา 80 บาท ของผู้ขนย้ายสิ่งของหนีไฟ โดยทุจริต ดังนี้ พอที่จะเข้าใจได้ว่าทรัพย์เป็นของคนใดคนหนึ่ง ในพวกขนของหนีไฟ แล้วจำเลยบังอาจลักเอาไป เท่ากับฟ้องระบุตัวเจ้าทรัพย์ไว้พอสมควรที่จำเลยต่อต่อสู้คดีได้ ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
เมื่อจำเลยรับสารภาพแล้วว่าได้ลักของกลางของผู้ขนของหนีไฟ ศาลย่อมพิพากษาลงโทษไปได้ตามข้อเท็จจริงที่จำเลยรับสารภาพนั้น ศาลจะยกเอาข้อสงสัยว่า ที่จำเลยรับอาจไม่ใช่ความจริงมาเป็นเหตุยกฟ้องหาได้ไม่
เมื่อจำเลยรับสารภาพแล้วว่าได้ลักของกลางของผู้ขนของหนีไฟ ศาลย่อมพิพากษาลงโทษไปได้ตามข้อเท็จจริงที่จำเลยรับสารภาพนั้น ศาลจะยกเอาข้อสงสัยว่า ที่จำเลยรับอาจไม่ใช่ความจริงมาเป็นเหตุยกฟ้องหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2002/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนฟ้องแล้วนำคดีมาฟ้องใหม่ และผลกระทบต่อสิทธิของผู้ซื้อที่ดินจากจำเลยเดิม
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสี่ว่า ละเมิดบุกรุกที่พิพาทของโจทก์ แต่ปรากฏว่าโจทก์ได้เคยฟ้องจำเลยทั้งสี่นี้ในประเด็นและที่พิพาทรายเดียวกันนี้มาก่อนแล้วและได้ถอนฟ้องไปโดยแถลงต่อศาลไว้ว่าจะไม่นำคดีมาฟ้องจำเลยเกี่ยวกับที่พิพาทนี้อีก ดังนี้ คำแถลงของโจทก์ในคดีก่อนซึ่งยอมสละสิทธินำคดีเรื่องนี้มาฟ้องใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 176 จึงเป็นกระบวนพิจารณาที่โจทก์ในคดีนั้นได้ทำต่อศาลและต่อคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งและย่อมผูกมัดโจทก์ โจทก์จะนำคดีมาฟ้องจำเลยทั้งสี่นี้อีกไม่ได้
ส่วนจำเลยที่ 5 และ 6 เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 1ได้แบ่งขายที่พิพาทให้ก่อนที่โจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่1 ถึง 4 ในคดีก่อนดังกล่าว สิทธิของจำเลยที่ 1 ผู้ขายมีอยู่อย่างไรย่อมตกเป็นสิทธิของจำเลยที่ 5และ 6 ผู้ซื้อด้วย เมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 ได้อีกแล้ว ก็จะฟ้องจำเลยที่ 5 และ 6ไม่ได้ด้วย
ส่วนจำเลยที่ 5 และ 6 เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 1ได้แบ่งขายที่พิพาทให้ก่อนที่โจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่1 ถึง 4 ในคดีก่อนดังกล่าว สิทธิของจำเลยที่ 1 ผู้ขายมีอยู่อย่างไรย่อมตกเป็นสิทธิของจำเลยที่ 5และ 6 ผู้ซื้อด้วย เมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 ได้อีกแล้ว ก็จะฟ้องจำเลยที่ 5 และ 6ไม่ได้ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2002/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยอมสละสิทธิฟ้องคดี และผลกระทบต่อสิทธิของผู้อื่นที่ได้มาซึ่งสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสี่ว่า ละเมิดบุกรุกที่พิพาทของโจทก์แต่ปรากฏว่าโจทก์ได้เคยฟ้องจำเลยทั้งสี่นี้ในประเด็นและที่พิพาทรายเดียวกันนี้มาก่อนแล้วและได้ถอนฟ้องไป โดยแถลงต่อศาลไว้ว่าจะไม่นำคดีมาฟ้องจำเลยเกี่ยวกับที่พิพาทนี้อีก ดังนี้ คำแถลงของโจทก์ในคดีก่อนซึ่งยอมสละสิทธินำคดีเรื่องนี้มาฟ้องใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 176 จึงเป็นกระบวนพิจารณาที่โจทก์ในคดีนั้นได้ทำต่อศาลและต่อคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งและย่อมผูกมัดโจทก์ โจทก์จะนำคดีมาฟ้องจำเลยทั้งสี่นี้อีกไม่ได้
ส่วนจำเลยที่ 5 และ 6 เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้แบ่งขายที่พิพาทให้ก่อนที่โจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 ถึง 4 ในคดีก่อนดังกล่าว สิทธิของจำเลยที่ 1 ผู้ขายมีอยู่อย่างไรย่อมตกเป็นสิทธิของจำเลยที่ 5 และ 6 ผู้ซื้อด้วย เมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 ได้อีกแล้ว ก็จะฟ้องจำเลยที่ 5 และ 6 ไม่ได้ด้วย
ส่วนจำเลยที่ 5 และ 6 เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้แบ่งขายที่พิพาทให้ก่อนที่โจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 ถึง 4 ในคดีก่อนดังกล่าว สิทธิของจำเลยที่ 1 ผู้ขายมีอยู่อย่างไรย่อมตกเป็นสิทธิของจำเลยที่ 5 และ 6 ผู้ซื้อด้วย เมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 ได้อีกแล้ว ก็จะฟ้องจำเลยที่ 5 และ 6 ไม่ได้ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2002/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนฟ้องแล้วนำคดีมาฟ้องใหม่ และการโอนสิทธิในที่ดินมีผลต่อสิทธิการฟ้องร้อง
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสี่ว่า ละเมิดบุกรุกที่พิพาทของโจทก์. แต่ปรากฏว่าโจทก์ได้เคยฟ้องจำเลยทั้งสี่นี้ในประเด็นและที่พิพาทรายเดียวกันนี้มาก่อนแล้วและได้ถอนฟ้องไป.โดยแถลงต่อศาลไว้ว่าจะไม่นำคดีมาฟ้องจำเลยเกี่ยวกับที่พิพาทนี้อีก. ดังนี้ คำแถลงของโจทก์ในคดีก่อนซึ่งยอมสละสิทธินำคดีเรื่องนี้มาฟ้องใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 176. จึงเป็นกระบวนพิจารณาที่โจทก์ในคดีนั้นได้ทำต่อศาลและต่อคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งและย่อมผูกมัดโจทก์. โจทก์จะนำคดีมาฟ้องจำเลยทั้งสี่นี้อีกไม่ได้.
ส่วนจำเลยที่ 5 และ 6 เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 1ได้แบ่งขายที่พิพาทให้ก่อนที่โจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่1 ถึง 4 ในคดีก่อนดังกล่าว. สิทธิของจำเลยที่ 1ผู้ขายมีอยู่อย่างไรย่อมตกเป็นสิทธิของจำเลยที่ 5และ 6 ผู้ซื้อด้วย. เมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 ได้อีกแล้ว. ก็จะฟ้องจำเลยที่ 5 และ 6ไม่ได้ด้วย.
ส่วนจำเลยที่ 5 และ 6 เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 1ได้แบ่งขายที่พิพาทให้ก่อนที่โจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่1 ถึง 4 ในคดีก่อนดังกล่าว. สิทธิของจำเลยที่ 1ผู้ขายมีอยู่อย่างไรย่อมตกเป็นสิทธิของจำเลยที่ 5และ 6 ผู้ซื้อด้วย. เมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 ได้อีกแล้ว. ก็จะฟ้องจำเลยที่ 5 และ 6ไม่ได้ด้วย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 802/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายไม้สมบูรณ์ แม้ไม้ถูกยึด เหตุวัตถุประสงค์ไม่ขัดกฎหมาย จำเลยต้องคืนเงินมัดจำ
จำเลยทำสัญญาจะขายไม้ให้แก่โจทก์แม้จะปรากฏว่าไม้ที่จำเลยทำสัญญาจะขายนั้นเป็นไม้ที่ถูกเจ้าพนักงานจับและยึดไว้เป็นของกลางเพราะใบอนุญาตขาดอายุ สัญญาจะซื้อขายไม้ดังกล่าวนั้นก็สมบูรณ์ไม่เป็นโมฆะเพราะวัตถุประสงค์ของสัญญานั้น คือการจะขายไม้ไม่ได้ถูกต้องห้ามโดยกฎหมายหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนแต่อย่างไร