พบผลลัพธ์ทั้งหมด 389 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 484/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลำดับการชำระหนี้: โอนที่ดินก่อนชดใช้ค่าเสียหาย - มิใช่สิทธิเลือก
ในคดีที่ศาลพิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินให้โจทก์ก่อน ถ้าไม่สามารถโอนจึงให้ใช้ค่าเสียหายแทนนั้น การชำระหนี้ต้องเป็นไปตามลำดับ เพราะมิใช่กรณีให้สิทธิเลือกชำระหนี้ ดังนั้น เมื่อการโอนที่ดินยังอาจปฏิบัติได้ จำเลยจึงจะขอชดใช้ค่าเสียหายแทนโดยโจทก์มิได้ยินยอมหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3968/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเรียกร้องหนี้จากการซื้อขายและการมิใช่พ่อค้าในการบังคับอายุความ
เมื่อลูกหนี้ละเลยไม่ชำระหนี้ เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิฟ้องร้องต่อศาลให้สั่งบังคับชำระหนี้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213
โจทก์ประกอบการค้าปลาและสัตว์ทะเล มิได้ประกอบการค้าขายรถยนต์การที่โจทก์ฟ้องเรียกหนี้ค่ารถยนต์จากจำเลยจึงมิใช่บุคคลผู้เป็นพ่อค้าเรียกเอาค่าที่ได้ส่งมอบของตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165 (1) จะนำอายุความตามมาตราดังกล่าวมาใช้บังคับมิได้
โจทก์ประกอบการค้าปลาและสัตว์ทะเล มิได้ประกอบการค้าขายรถยนต์การที่โจทก์ฟ้องเรียกหนี้ค่ารถยนต์จากจำเลยจึงมิใช่บุคคลผู้เป็นพ่อค้าเรียกเอาค่าที่ได้ส่งมอบของตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165 (1) จะนำอายุความตามมาตราดังกล่าวมาใช้บังคับมิได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3968/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเรียกร้องหนี้และการบังคับชำระหนี้ โดยไม่ใช้บังคับอายุความตามมาตรา 165(1) หากไม่ใช่การค้าขาย
เมื่อลูกหนี้ละเลยไม่ชำระหนี้ เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิฟ้องร้องต่อศาลให้สั่งบังคับชำระหนี้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213
โจทก์ประกอบการค้าปลาและสัตว์ทะเล มิได้ประกอบการค้าขายรถยนต์การที่โจทก์ฟ้องเรียกหนี้ค่ารถยนต์จากจำเลยจึงมิใช่บุคคลผู้เป็นพ่อค้าเรียกเอาค่าที่ได้ส่งมอบของตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1) จะนำอายุความตามมาตราดังกล่าวมาใช้บังคับมิได้
โจทก์ประกอบการค้าปลาและสัตว์ทะเล มิได้ประกอบการค้าขายรถยนต์การที่โจทก์ฟ้องเรียกหนี้ค่ารถยนต์จากจำเลยจึงมิใช่บุคคลผู้เป็นพ่อค้าเรียกเอาค่าที่ได้ส่งมอบของตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1) จะนำอายุความตามมาตราดังกล่าวมาใช้บังคับมิได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3821/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงเบี้ยปรับในสัญญาซื้อขายสิทธิการเช่า ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรม
จำเลยทำสัญญาจะขายสิทธิการเช่าตึกแถวแก่โจทก์โดยมีข้อตกลงว่าถ้าจำเลยผิดสัญญาไม่ไปทำหนังสือสัญญาและจดทะเบียนขายตามกำหนดจำเลยยอมให้โจทก์ฟ้องศาลบังคับให้เป็นไปตามสัญญาและ ยอมใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ 650,000 บาท อีกส่วนหนึ่งด้วยนั้น เป็นข้อตกลงที่โจทก์จำเลยสมัครใจตกลงกันไว้ แม้การผิดสัญญาของจำเลยนอกจากจำเลยจะถูกฟ้องศาลบังคับให้ปฏิบัติตามสัญญาแล้ว จำเลยยังจะต้องใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์อีก 650,000 บาท ก็ตาม การบังคับให้ปฏิบัติตามสัญญาก็คือการเรียกใช้ชำระหนี้ตามสัญญา และค่าเสียหายที่กำหนดจำนวนไว้ล่วงหน้าก็คือเบี้ยปรับนั่นเอง โจทก์จำเลยจึงอาจตกลงกันได้ ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 381 วรรคหนึ่ง ข้อตกลงดังกล่าวจึงไม่เป็นโมฆะ เพราะขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรม อันดีของประชาชน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2545/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความ: ระงับข้อพิพาทละเมิด สิทธิเรียกร้องสิ้นสุด
จำเลยขับรถยนต์ประมาทชนรถยนต์โจทก์เสียหายโจทก์จำเลยได้ตกลงเกี่ยวกับค่าเสียหายซึ่งพนักงานสอบสวนได้บันทึกไว้และโจทก์จำเลยได้ลงลายมือชื่อแล้วข้อตกลงมีความว่าจำเลยยินยอมซ่อมรถยนต์ของโจทก์ให้อยู่ในสภาพเดิมและจำเลยยอมชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์วันละ 400 บาท จนกว่าจะซ่อมรถยนต์เสร็จจึงเป็นการทำสัญญาประนีประนอมยอมความระงับข้อพิพาทอันเกิดจากมูลละเมิดให้เสร็จไปถึงแม้จะกำหนดให้จำเลยจัดการซ่อมรถยนต์ของโจทก์แทนที่จะให้รับผิดชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินโดยตรงก็เป็นการตกลงกันให้จำเลยชำระหนี้ด้วยการกระทำซึ่งอาจมีการบังคับชำระหนี้กันได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา194,213
เมื่อข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความสิทธิเรียกร้องของโจทก์ในมูลละเมิดย่อมสิ้นไปชอบที่โจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องตามสัญญาประนีประนอมยอมความจะฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยในมูลละเมิดอีกหาได้ไม่
เมื่อข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความสิทธิเรียกร้องของโจทก์ในมูลละเมิดย่อมสิ้นไปชอบที่โจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องตามสัญญาประนีประนอมยอมความจะฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยในมูลละเมิดอีกหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2276-2277/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลสั่งรื้อถอนอาคารแทนจำเลยและให้จำเลยรับผิดชอบค่าใช้จ่าย เป็นการบังคับตามคำพิพากษา
คำพิพากษาที่ว่าหากจำเลยไม่รื้อถอนอาคารไป ก็ให้โจทก์รื้อถอนแทน โดยให้จำเลยเสียค่าใช้จ่าย เป็นวิธีการบังคับจำเลยให้ปฏิบัติตามคำพิพากษา ที่ให้จำเลยรื้อถอนอาคารไป ดังที่บัญญัติไว้ ใน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213 คำพิพากษาจึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 213/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของตัวแทนธนาคารต่อหนี้ของผู้กู้ และการเลิกสัญญากับตัวแทนที่ฝ่าฝืนสัญญา
ตัวแทนธนาคารยอมรับผิดต่อธนาคาร ในกรณีที่ผู้กู้และผู้ค้ำประกันหนี้ของธนาคารไม่ใช้หนี้แก่ธนาคาร โดยธนาคารไม่ต้องฟ้องลูกหนี้ ก่อนตัวแทนล้มละลาย ธนาคารขอรับชำระหนี้ได้ทันทีไม่ต้องรอจนธนาคารฟ้องลูกค้าซึ่งเป็นลูกหนี้ของธนาคารก่อน เพราะจะพ้นเวลายื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายแต่ถ้าธนาคารได้รับชำระหนี้จากลูกค้าเท่าใด ตัวแทนก็พ้นความรับผิดเพียงนั้นธนาคารจะได้รับชำระหนี้ไม่เกินจำนวนหนี้ที่มีอยู่จริง
สัญญาตั้งตัวแทนธนาคารห้ามมิให้ตัวแทนกู้ยืมเงินจากธนาคารตัวแทนฝ่าฝืนข้อสัญญาและกู้เงินจากธนาคาร ธนาคารเลิกสัญญาได้ แต่ไม่ทำให้ตัวแทนไม่ต้องรับผิดในหนี้ที่กู้เงินจากธนาคาร
สัญญาตั้งตัวแทนธนาคารห้ามมิให้ตัวแทนกู้ยืมเงินจากธนาคารตัวแทนฝ่าฝืนข้อสัญญาและกู้เงินจากธนาคาร ธนาคารเลิกสัญญาได้ แต่ไม่ทำให้ตัวแทนไม่ต้องรับผิดในหนี้ที่กู้เงินจากธนาคาร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3094-3117/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องขับไล่ผู้บุกรุกในที่ดินวัดและประเด็นการเกินคำขอ/นอกฟ้อง ศาลฎีกาวินิจฉัยยืนตามศาลชั้นต้น
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยซึ่งได้บุกรุกเข้าไปปลูกอาคารไม้เป็นที่อยู่อาศัยในที่ดินของวัด อันเป็นศาสนสมบัติซึ่งอยู่ในความดูแลของโจทก์ แม้โจทก์จะไม่บรรยายฟ้องว่าที่พิพาทตรงที่จำเลยบุกรุกแต่ละสำนวนนั้น อาจให้เช่าได้เดือนละเท่าใด แต่โจทก์ก็เรียกค่าเสียหายมาในแต่ละสำนวนเดือนละ 1,000 บาท เมื่อเทียบกับจำนวนค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องดังกล่าวพอฟังได้ว่าที่พิพาทแต่ละสำนวนโจทก์อาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ 1,000 บาท เท่ากับอัตราค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องมา จำเลยแต่ละสำนวนมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ขับไล่จำเลยแต่ละสำนวนออกไปจากที่พิพาทคดีแต่ละสำนวนจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 258
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยแต่ละสำนวนเข้าไปปลูกอาคารไม้ในที่พิพาทโดยโจทก์ไม่ทราบและมิได้ให้คำยินยอม การที่โจทก์ขอบังคับให้จำเลยแต่ละสำนวนอพยพขนย้ายออกไป จากอาคาร ไม้ที่จำเลยแต่ละสำนวนปลูกอยุ่ในที่พิพาทนั้น ย่อมหมายถึงขอให้ขับไล่จำเลยออกไปจากที่พิพาทซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคารนั้นด้วย ได้ความว่าอาคารไม้พิพาทเป็นของจำเลย เมื่อโจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยอยู่ในที่พิพาทต่อไปแล้ว จำเลยก็จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับที่พิพาทอีกไม่ได้ทรัพย์สินใดๆ ของจำเลยซึ่งอยู่ในที่พิพาท จำเลยจึงต้องเอาออกไปให้พ้นที่พิพาท ฉะนั้น ที่ศาลพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนอาคารพิพาทออกไปเสียด้วยจึงไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือนอกฟ้องแต่อย่างใด (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1141-1157/2509 และ 2337/2522)
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยแต่ละสำนวนเข้าไปปลูกอาคารไม้ในที่พิพาทโดยโจทก์ไม่ทราบและมิได้ให้คำยินยอม การที่โจทก์ขอบังคับให้จำเลยแต่ละสำนวนอพยพขนย้ายออกไป จากอาคาร ไม้ที่จำเลยแต่ละสำนวนปลูกอยุ่ในที่พิพาทนั้น ย่อมหมายถึงขอให้ขับไล่จำเลยออกไปจากที่พิพาทซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคารนั้นด้วย ได้ความว่าอาคารไม้พิพาทเป็นของจำเลย เมื่อโจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยอยู่ในที่พิพาทต่อไปแล้ว จำเลยก็จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับที่พิพาทอีกไม่ได้ทรัพย์สินใดๆ ของจำเลยซึ่งอยู่ในที่พิพาท จำเลยจึงต้องเอาออกไปให้พ้นที่พิพาท ฉะนั้น ที่ศาลพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนอาคารพิพาทออกไปเสียด้วยจึงไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือนอกฟ้องแต่อย่างใด (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1141-1157/2509 และ 2337/2522)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1422-1423/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิอาศัย-การซื้อขายที่ดิน: ผลของการไม่จดทะเบียนสิทธิอาศัย และการเพิกถอนการซื้อขาย
ที่พิพาทเป็นที่ดินมี น.ส.3. เดิมเมื่อ พ.ศ. 2511 บ. เคยฟ้อง ม. แล้วทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดย บ. ยอมรับว่าที่พิพาทเป็นของ ม. และ ม. ยินยอมให้ บ. อาศัยในเรือนของ บ. ที่ปลูกในที่พิพาท และให้ใช้คอกกระบือเดิมในที่พิพาทที่เคยใช้มาแล้วต่อไป ศาลพิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุดแต่ บ. ไม่ได้จดทะเบียนสิทธิอาศัยตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ต่อมา พ.ศ. 2516 ม. ขายที่พิพาทให้ ช. โดยทำหนังสือสัญญาซื้อขายและจดทะเบียนแล้วมีคดีพิพาทกันต่อมา 2 คดี คือ คดีแรก ช. เป็นโจทก์ฟ้อง บ. เป็นจำเลยว่า โจทก์ซื้อที่พิพาทจาก ม. เมื่อ พ.ศ. 2516 จำเลยได้มาปลูกคอกกระบือในที่พิพาทของโจทก์ ขอให้ขับไล่ คดีหลัง บ. เป็นโจทก์ฟ้อง ม. และ ช. ว่า ม. จดทะเบียนขายที่พิพาทให้ ช. โดยไม่มีค่าตอบแทนและไม่สุจริต ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนและให้ ม. จดทะเบียนสิทธิอาศัยให้โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความคดีทั้งสองขึ้นมาสู่ศาลฎีกาแยกกัน ศาลฎีกามีคำสั่งให้พิจารณาพิพากษารวมกันตามที่คู่ความขอ
ดังนี้ สำหรับคดีแรก การที่จำเลยให้การว่าคอกกระบือนั้นเป็นคอกกระบือเดิมที่ ม. ทำสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยใช้ต่อไปเท่ากับจำเลยปฏิเสธว่าจำเลยมิได้เข้าปลูกคอกกระบือในที่ดินของโจทก์เมื่อ พ.ศ. 2517 เป็นหน้าที่ของโจทก์ต้องนำสืบให้ได้ความตามฟ้อง การที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์จำเลยเสียแล้ววินิจฉัยว่า สิทธิของจำเลยได้มาตามสัญญาประนีประนอมยอมความยังมิได้จดทะเบียนไม่บริบูรณ์พิพากษาให้จำเลยรื้อคอกกระบือออกไป เป็นการงดสืบพยานไม่ชอบ แต่เมื่อคดีหลังได้มีการสืบพยานทั้งสองฝ่ายเสร็จสิ้นกระแสความแล้วศาลฎีกาชอบที่จะ ไม่ยกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองแล้วให้สืบพยานต่อไป แต่ย่อมนำ พยานหลักฐานในคดีหลังมาวินิจฉัยได้ และเมื่อวินิจฉัยแล้วฟังไม่ได้ว่า จำเลยได้เข้าปลูกคอกกระบือในที่ดินของโจทก์เมื่อ พ.ศ. 2517 ศาลย่อม พิพากษายกฟ้องโจทก์คดีแรกเสีย
สำหรับคดีหลัง เมื่อที่พิพาทยังเป็นของ ม. อยู่ ม. จึงมีสิทธิขายให้ ช. ได้ บ. โจทก์ไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนการโอนขายที่พิพาทระหว่างจำเลยทั้งสอง ทั้งเมื่อ ม. ขายที่พิพาท และมอบการครอบครองให้ ช. ไปแล้วโจทก์ย่อมฟ้องขอให้บังคับ ม. ไปจดทะเบียนสิทธิตามคำพิพากษาตามยอมอีกมิได้ เพราะที่พิพาทไม่ได้เป็นของ ม. แล้วศาลย่อมพิพากษายกฟ้อง คดีหลังด้วย
ดังนี้ สำหรับคดีแรก การที่จำเลยให้การว่าคอกกระบือนั้นเป็นคอกกระบือเดิมที่ ม. ทำสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยใช้ต่อไปเท่ากับจำเลยปฏิเสธว่าจำเลยมิได้เข้าปลูกคอกกระบือในที่ดินของโจทก์เมื่อ พ.ศ. 2517 เป็นหน้าที่ของโจทก์ต้องนำสืบให้ได้ความตามฟ้อง การที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์จำเลยเสียแล้ววินิจฉัยว่า สิทธิของจำเลยได้มาตามสัญญาประนีประนอมยอมความยังมิได้จดทะเบียนไม่บริบูรณ์พิพากษาให้จำเลยรื้อคอกกระบือออกไป เป็นการงดสืบพยานไม่ชอบ แต่เมื่อคดีหลังได้มีการสืบพยานทั้งสองฝ่ายเสร็จสิ้นกระแสความแล้วศาลฎีกาชอบที่จะ ไม่ยกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองแล้วให้สืบพยานต่อไป แต่ย่อมนำ พยานหลักฐานในคดีหลังมาวินิจฉัยได้ และเมื่อวินิจฉัยแล้วฟังไม่ได้ว่า จำเลยได้เข้าปลูกคอกกระบือในที่ดินของโจทก์เมื่อ พ.ศ. 2517 ศาลย่อม พิพากษายกฟ้องโจทก์คดีแรกเสีย
สำหรับคดีหลัง เมื่อที่พิพาทยังเป็นของ ม. อยู่ ม. จึงมีสิทธิขายให้ ช. ได้ บ. โจทก์ไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนการโอนขายที่พิพาทระหว่างจำเลยทั้งสอง ทั้งเมื่อ ม. ขายที่พิพาท และมอบการครอบครองให้ ช. ไปแล้วโจทก์ย่อมฟ้องขอให้บังคับ ม. ไปจดทะเบียนสิทธิตามคำพิพากษาตามยอมอีกมิได้ เพราะที่พิพาทไม่ได้เป็นของ ม. แล้วศาลย่อมพิพากษายกฟ้อง คดีหลังด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 928/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าซื้อผิดสัญญา จำเลยต้องจัดทำถนนและชำระเบี้ยปรับตามสัญญา
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันและแทนกันทำการจัดสรรที่ดินให้โจทก์เป็นผู้เช่าซื้อ แล้วจำเลยทั้งสามประพฤติผิดสัญญา โดยไม่จัดการทำถนนคอนกรีตและท่อระบายน้ำผ่านหน้าที่ดินของโจทก์ และที่ดินที่จำเลยร่วมกันจัดสรรทุกแปลง จึงฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดตามสัญญา เป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัด ซึ่งสภาพแห่งข้อหาข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
ได้มีการจัดตั้งห้างหุ้นส่วนจำเลยที่ 2 ขึ้นก่อน ต่อมามีความจำเป็นต้องใช้ทุนมาก จึงได้จัดตั้งบริษัทจำเลยที่ 1 ขึ้น แต่ก็มีวัตถุประสงค์ในการซื้อขายที่ดินเช่นเดียวกัน จำเลยที่ 1 ได้ออกใบรับเงินค่าเช่าซื้อที่ดินให้โจทก์หลายฉบับ และยังมีหนังสือถึงโจทก์เกี่ยวกับการทำถนนและท่อระบายน้ำชี้แจงให้โจทก์ทราบว่า ได้ว่าจ้างผู้รับเหมาให้ทำถนนคอนกรีตและท่อระบายน้ำแล้ว โดยกรรมการผู้จัดการลงชื่อและประทับตราบริษัทจำเลยที่ 1 ในหนังสือนั้น เห็นได้ว่า จำเลยที่ 1 ยินยอมรับเอากิจการจัดสรรที่ดินของจำเลยที่ 2 มาดำเนินการร่วมกับจำเลยที่ 1 ด้วย และยินยอมที่จะปฏิบัติตามสัญญาเช่าซื้อที่จำเลยที่ 2 ทำไว้กับโจทก์ แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ลงนามในสัญญาเช่าซื้อ จำเลยที่ 1 ก็ต้องรับผิดร่วมด้วย ส่วนจำเลยที่ 3 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างฯ จำเลยที่ 2 ซึ่งจะต้องร่วมรับผิดในหนี้สินของห้างฯ จำเลยที่ 2 โดยไม่มีจำกัดจำนวน จึงต้องรับผิดเป็นส่วนตัวร่วมกับจำเลยที่ 2 ด้วย ดังนั้น โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 3 ได้
เหตุที่จำเลยจะไม่ต้องรับผิดเป็นประเด็นสำคัญแห่งคดี จำเลยจะต้องให้การโดยชัดแจ้ง เมื่อจำเลยไม่ได้ให้การไว้ การนำสืบถึงประเด็นนั้นจึงเป็นการนำสืบนอกประเด็นที่ให้การไว้ รับฟังไม่ได้
นับตั้งแต่จำเลยจัดสรรที่ดินให้เช่าซื้อ และโจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อจนส่งเงินค่าเช่าซื้อครบถ้วนเป็นเวลาหลายปี จำเลยมีโอกาสขวนขวายจัดหาซื้อวัสดุก่อสร้างเตรียมไว้ดำเนินการตามสัญญาเช่าซื้อได้ การที่วัสดุก่อสร้างมีราคาแพงขึ้น มิใช่ว่าจะหาซื้อไม่ได้เสียทีเดียว ในกรณีเช่นนี้ไม่ใช่เหตุสุดวิสัยอันจะทำให้การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัย และจำเลยหลุดพ้นจากการชำระหนี้ เมื่อจำเลยไม่จัดทำถนนคอนกรีตและท่อระบายน้ำตามสัญญาเช่าซื้อ จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาต้องรับผิดต่อโจทก์
ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ โจทก์ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันจัดทำถนนคอนกรีตและท่อระบายน้ำผ่านหน้าที่ดินจัดสรรของโจทก์ ให้เสร็จเรียบร้อยตามสัญญาเช่าซื้อภายในกำหนด 1 เดือน นับแต่วันที่ศาลพิพากษา ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213 วรรค 2 บัญญัติถึงกรณีที่สภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้บังคับชำระหนี้ได้ ถ้าวัตถุแห่งหนี้เป็นอันให้กระทำการอันใดอันหนึ่ง เจ้าหนี้จะร้องขอต่อศาลให้สั่งบังคับให้บุคคลภายนอกกระทำการอันนั้น โดยให้ลูกหนี้เสียค่าใช้จ่ายก็ได้ แต่โจทก์มิได้มีคำขอให้ศาลพิพากษาว่า หากจำเลยไม่ทำถนนคอนกรีตและท่อระบายน้ำให้โจทก์ ให้โจทก์จ้างบุคคลภายนอกทำโดยให้จำเลยทั้งสามเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย ดังนั้น ที่ศาลพิพากษาว่าหากจำเลยไม่ทำให้โจทก์จ้างบุคคลภายนอกทำโดยให้จำเลยทั้งสามเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213 วรรค 2 จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอ ส่วนที่ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสามจัดทำถนนคอนกรีตและท่อระบายน้ำ และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันเสียเบี้ยปรับให้แก่โจทก์ด้วยนั้น ตามสัญญาเช่าซื้อมีว่า "หากผู้ให้เช่าซื้อผิดสัญญาข้อหนึ่งข้อใดยอมให้ผู้เช่าซื้อฟ้องร้องเรียกเบี้ยปรับ และให้บังคับตามกฎหมาย ทั้งยอมให้ผู้เช่าซื้อปรับเป็นเงินอีกหนึ่งเท่าของจำนวนเงินที่ผู้เช่าซื้อได้ชำระให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อไปแล้วอีกโสดหนึ่งด้วย" สัญญาเช่าซื้อระบุชัดเช่นนี้ โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามสัญญาคือ ทำถนนคอนกรีต ท่อระบายน้ำ และเรียกร้องเอาเบี้ยปรับได้ทั้งสองกรณีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 381 วรรคแรก
สัญญาเช่าซื้อมีข้อความว่า "ยอมให้ผู้เช่าซื้อปรับเป็นเงินอีกหนึ่งเท่าของจำนวนเงินที่ผู้เช่าซื้อได้ชำระให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อไป" หมายความว่า จำเลยยอมให้โจทก์ปรับเงินเท่ากับเงินค่าเช่าซื้อที่โจทก์ชำระให้จำเลยไป
ได้มีการจัดตั้งห้างหุ้นส่วนจำเลยที่ 2 ขึ้นก่อน ต่อมามีความจำเป็นต้องใช้ทุนมาก จึงได้จัดตั้งบริษัทจำเลยที่ 1 ขึ้น แต่ก็มีวัตถุประสงค์ในการซื้อขายที่ดินเช่นเดียวกัน จำเลยที่ 1 ได้ออกใบรับเงินค่าเช่าซื้อที่ดินให้โจทก์หลายฉบับ และยังมีหนังสือถึงโจทก์เกี่ยวกับการทำถนนและท่อระบายน้ำชี้แจงให้โจทก์ทราบว่า ได้ว่าจ้างผู้รับเหมาให้ทำถนนคอนกรีตและท่อระบายน้ำแล้ว โดยกรรมการผู้จัดการลงชื่อและประทับตราบริษัทจำเลยที่ 1 ในหนังสือนั้น เห็นได้ว่า จำเลยที่ 1 ยินยอมรับเอากิจการจัดสรรที่ดินของจำเลยที่ 2 มาดำเนินการร่วมกับจำเลยที่ 1 ด้วย และยินยอมที่จะปฏิบัติตามสัญญาเช่าซื้อที่จำเลยที่ 2 ทำไว้กับโจทก์ แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ลงนามในสัญญาเช่าซื้อ จำเลยที่ 1 ก็ต้องรับผิดร่วมด้วย ส่วนจำเลยที่ 3 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างฯ จำเลยที่ 2 ซึ่งจะต้องร่วมรับผิดในหนี้สินของห้างฯ จำเลยที่ 2 โดยไม่มีจำกัดจำนวน จึงต้องรับผิดเป็นส่วนตัวร่วมกับจำเลยที่ 2 ด้วย ดังนั้น โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 3 ได้
เหตุที่จำเลยจะไม่ต้องรับผิดเป็นประเด็นสำคัญแห่งคดี จำเลยจะต้องให้การโดยชัดแจ้ง เมื่อจำเลยไม่ได้ให้การไว้ การนำสืบถึงประเด็นนั้นจึงเป็นการนำสืบนอกประเด็นที่ให้การไว้ รับฟังไม่ได้
นับตั้งแต่จำเลยจัดสรรที่ดินให้เช่าซื้อ และโจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อจนส่งเงินค่าเช่าซื้อครบถ้วนเป็นเวลาหลายปี จำเลยมีโอกาสขวนขวายจัดหาซื้อวัสดุก่อสร้างเตรียมไว้ดำเนินการตามสัญญาเช่าซื้อได้ การที่วัสดุก่อสร้างมีราคาแพงขึ้น มิใช่ว่าจะหาซื้อไม่ได้เสียทีเดียว ในกรณีเช่นนี้ไม่ใช่เหตุสุดวิสัยอันจะทำให้การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัย และจำเลยหลุดพ้นจากการชำระหนี้ เมื่อจำเลยไม่จัดทำถนนคอนกรีตและท่อระบายน้ำตามสัญญาเช่าซื้อ จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาต้องรับผิดต่อโจทก์
ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ โจทก์ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันจัดทำถนนคอนกรีตและท่อระบายน้ำผ่านหน้าที่ดินจัดสรรของโจทก์ ให้เสร็จเรียบร้อยตามสัญญาเช่าซื้อภายในกำหนด 1 เดือน นับแต่วันที่ศาลพิพากษา ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213 วรรค 2 บัญญัติถึงกรณีที่สภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้บังคับชำระหนี้ได้ ถ้าวัตถุแห่งหนี้เป็นอันให้กระทำการอันใดอันหนึ่ง เจ้าหนี้จะร้องขอต่อศาลให้สั่งบังคับให้บุคคลภายนอกกระทำการอันนั้น โดยให้ลูกหนี้เสียค่าใช้จ่ายก็ได้ แต่โจทก์มิได้มีคำขอให้ศาลพิพากษาว่า หากจำเลยไม่ทำถนนคอนกรีตและท่อระบายน้ำให้โจทก์ ให้โจทก์จ้างบุคคลภายนอกทำโดยให้จำเลยทั้งสามเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย ดังนั้น ที่ศาลพิพากษาว่าหากจำเลยไม่ทำให้โจทก์จ้างบุคคลภายนอกทำโดยให้จำเลยทั้งสามเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213 วรรค 2 จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอ ส่วนที่ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสามจัดทำถนนคอนกรีตและท่อระบายน้ำ และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันเสียเบี้ยปรับให้แก่โจทก์ด้วยนั้น ตามสัญญาเช่าซื้อมีว่า "หากผู้ให้เช่าซื้อผิดสัญญาข้อหนึ่งข้อใดยอมให้ผู้เช่าซื้อฟ้องร้องเรียกเบี้ยปรับ และให้บังคับตามกฎหมาย ทั้งยอมให้ผู้เช่าซื้อปรับเป็นเงินอีกหนึ่งเท่าของจำนวนเงินที่ผู้เช่าซื้อได้ชำระให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อไปแล้วอีกโสดหนึ่งด้วย" สัญญาเช่าซื้อระบุชัดเช่นนี้ โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามสัญญาคือ ทำถนนคอนกรีต ท่อระบายน้ำ และเรียกร้องเอาเบี้ยปรับได้ทั้งสองกรณีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 381 วรรคแรก
สัญญาเช่าซื้อมีข้อความว่า "ยอมให้ผู้เช่าซื้อปรับเป็นเงินอีกหนึ่งเท่าของจำนวนเงินที่ผู้เช่าซื้อได้ชำระให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อไป" หมายความว่า จำเลยยอมให้โจทก์ปรับเงินเท่ากับเงินค่าเช่าซื้อที่โจทก์ชำระให้จำเลยไป