พบผลลัพธ์ทั้งหมด 389 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2424/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความ: การเปลี่ยนแปลงข้อตกลงหลังทำสัญญาไม่ถือเป็นการผิดสัญญา หากข้อเท็จจริงเป็นไปตามที่จำเลยอ้าง
สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ทำกันในศาลมีใจความสำคัญว่า โจทก์ยอมให้ที่พิพาทเป็นของจำเลยโดยจำเลยรับจะส่งข้าวเปลือกให้โจทก์ปีละ 3 เกวียน หากผิดสัญญาไม่ปฏิบัติก็ให้ที่พิพาทกลับเป็นของโจทก์ ข้อสัญญาที่กำหนดให้จำเลยส่งข้าวเปลือกให้โจทก์ดังกล่าวนี้ มิใช่เป็นเรื่องที่ศาลจะบังคับให้จำเลยปฏิบัติได้ เป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับจำเลยจะปฏิบัติต่อกันเองตามความสมัครใจ จึงอาจตกลงกันเป็นอย่างอื่นได้โดยไม่ถือว่าเป็นการผิดสัญญาประนีประนอมยอมความได้ เมื่อโจทก์อ้างว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาส่งข้าวเปลือกให้ไม่ครบ จำเลยต่อสู้ว่าได้ตกลงกับโจทก์ใหม่และปฏิบัติตามข้อตกลงใหม่แล้ว ซึ่งถ้าเป็นไปตามที่จำเลยต่อสู้จริง จำเลยก็มิใช่ฝ่ายผิดสัญญา กรณีจึงต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไป จะพิพากษาให้จำเลยคืนที่พิพาทให้โจทก์โดยไม่ฟังข้อเท็จจริงต่อไปหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2424/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความ: การตกลงเปลี่ยนแปลงสัญญาและการพิจารณาข้อเท็จจริงเพิ่มเติม
สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ทำกันในศาลมีใจความสำคัญว่า โจทก์ยอมให้ที่พิพาทเป็นของจำเลยโดยจำเลยรับจะส่งข้าวเปลือกให้โจทก์ปีละ 3 เกวียน หากผิดสัญญาไม่ปฏิบัติ ก็ให้ที่พิพาทกลับเป็นของโจทก์ ข้อสัญญาที่กำหนดให้จำเลยส่งข้าวเปลือกให้โจทก์ดังกล่าวนี้ มิใช่เป็นเรื่องที่ศาลจะบังคับให้จำเลยปฏิบัติได้ เป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับจำเลยจะปฏิบัติต่อกันเองตามความสมัครใจ จึงอาจตกลงกันเป็นอย่างอื่นได้โดยไม่ถือว่าเป็นการผิดสัญญาประนีประนอมยอมความได้ เมื่อโจทก์อ้างว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาส่งข้าวเปลือกให้ไม่ครบ จำเลยต่อสู้ว่าได้ตกลงกับโจทก์ใหม่และปฏิบัติตามข้อตกลงใหม่แล้ว ซึ่งถ้าเป็นไปตามที่จำเลยต่อสู้จริง จำเลยก็มิใช่ฝ่ายผิดสัญญากรณีจึงต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไป จะพิพากษาให้จำเลยคืนที่พิพาทให้โจทก์โดยไม่ฟังข้อเท็จจริงต่อไปหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1906/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าและหน้าที่ในการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง แม้มีการขายทรัพย์สิน ผู้เช่ายังมีหน้าที่ตามสัญญา
จำเลยเป็นผู้เช่าที่พิพาทจากโจทก์ ได้ทำสัญญากับโจทก์ขอเลิกสัญญาเช่าและยอมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและออกไปภายในเวลาที่กำหนด แม้จำเลยจะได้ขายสิ่งปลูกสร้างให้บุคคลภายนอกไปก็หาเป็นเหตุให้จำเลยพ้นจากหน้าที่ที่จะปฏิบัติตามสัญญาที่ทำไว้กับโจทก์ไม่ เมื่อจำเลยไม่รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปตามกำหนดจำเลยย่อมเป็นผู้ผิดสัญญาและทำละเมิดต่อโจทก์ การที่จำเลยจะต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง หากจะเป็นการละเมิดสิทธิของผู้ซื้อก็เป็นเรื่องที่จำเลยกับผู้ซื้อจะต้องว่ากล่าวกันเอง แม้ตามสัญญาเมื่อจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างไปภายในกำหนด จำเลยจะได้รับเงินจากโจทก์จำนวนหนึ่ง และจำเลยได้โอนสิทธิเรียกร้องนั้นให้ผู้ซื้อทั้งแจ้งให้โจทก์ทราบแล้ว หากการโอนมีผล ก็ย่อมมีผลเป็นการโอนไปยังผู้ซื้อเฉพาะสิทธิที่จำเลยจะได้รับเงินจากโจทก์เท่านั้นหามีผลรวมถึงหนี้ซึ่งจำเลยจำต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปด้วยไม่ผู้ซื้อเป็นเพียงบริวารซึ่งอาศัยอำนาจจำเลย ถึงแม้จำเลยจะไม่ได้อยู่ในสิ่งปลูกสร้าง โจทก์ก็ยังฟ้องบังคับให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1906/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าและข้อผูกพันหลังการขาย: จำเลยยังต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างตามสัญญา แม้จะขายไปแล้ว
จำเลยเป็นผู้เช่าที่พิพาทจากโจทก์ ได้ทำสัญญากับโจทก์ขอเลิกสัญญาเช่าและยอมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและออกไปภายในเวลาที่กำหนด แม้จำเลยจะได้ขายสิ่งปลูกสร้างให้บุคคลภายนอกไปก็หาเป็นเหตุให้จำเลยพ้นจากหน้าที่ที่จะปฏิบัติตามสัญญาที่ทำไว้กับโจทก์ไม่ เมื่อจำเลยไม่รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปตามกำหนดจำเลยย่อมเป็นผู้ผิดสัญญาและทำละเมิดต่อโจทก์ การที่จำเลยจะต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง หากจะเป็นการละเมิดสิทธิของผู้ซื้อก็เป็นเรื่องที่จำเลยกับผู้ซื้อจะต้องว่ากล่าวกันเอง แม้ตามสัญญาเมื่อจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างไปภายในกำหนด จำเลยจะได้รับเงินจากโจทก์จำนวนหนึ่ง และจำเลยได้โอนสิทธิเรียกร้องนั้นให้ผู้ซื้อทั้งแจ้งให้โจทก์ทราบแล้ว หากการโอนมีผล ก็ย่อมมีผลเป็นการโอนไปยังผู้ซื้อเฉพาะสิทธิที่จำเลยจะได้รับเงินจากโจทก์เท่านั้นหามีผลรวมถึงหนี้ซึ่งจำเลยจำต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปด้วยไม่ผู้ซื้อเป็นเพียงบริวารซึ่งอาศัยอำนาจจำเลย ถึงแม้จำเลยจะไม่ได้อยู่ในสิ่งปลูกสร้าง โจทก์ก็ยังฟ้องบังคับให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 783/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรื้อถอนทรัพย์สินเช่าหลังศาลฎีกายืนสิทธิเช่า ผู้ให้เช่าต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย
เดิมจำเลยในคดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องขับไล่โจทก์ในคดีนี้ให้ออกจากตึก ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ขับไล่โจทก์ และศาลฎีกาไม่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับ จำเลยได้รื้อสิ่งปลูกสร้างทั้งหมด และทำการปลูกสร้างใหม่ ต่อมาศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลล่างว่า โจทก์มีสิทธิตามสัญญาเช่า โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะแสวงหาผลประโยชน์จากสัญญาเช่านั้นได้โดยการเข้าครอบครองใช้สิทธิในทรัพย์ที่เช่า หรือให้เช่าช่วง การที่โจทก์ไม่สามารถหาประโยชน์จากทรัพย์ที่เช่าได้ เพราะดำเลยได้รื้อถอนเสียแล้ว เช่นนี้โจทก์ย่อมฟ้องให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ เพราะการชำระหนี้ตามคำพิพากษาเป็นการพ้นวิสัย โดยที่จำเลยในฐานะผู้ให้เช่าไม่สามารถส่งมอบทรัพย์ที่เช่าให้แก่ผู้เช่าคือโจทก์ได้ และการฟ้องร้องในกรณีเป็นเรื่องฟ้องร้องโดยอาศัยมูลสัญญา หาใช่มูลละเมิดไม่
คดีก่อนก่อนจำเลยฟ้องขับไล่โจทก์ออกจากตึกและเรียกค่าเช่าที่ค้างกับค่าเสียหาย คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายเนื่องจากจำเลยปฏิบัติผิดสัญญาเช่า ทำให้โจทก์ขาดประโยชน์ที่ควรจะได้จากการให้เช่าช่วงทรัพย์ที่เช่า ประเด็นแห่งคดีที่จะต้องวินิจฉัยเป็นคนละประเด็นกัน ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คดีก่อนก่อนจำเลยฟ้องขับไล่โจทก์ออกจากตึกและเรียกค่าเช่าที่ค้างกับค่าเสียหาย คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายเนื่องจากจำเลยปฏิบัติผิดสัญญาเช่า ทำให้โจทก์ขาดประโยชน์ที่ควรจะได้จากการให้เช่าช่วงทรัพย์ที่เช่า ประเด็นแห่งคดีที่จะต้องวินิจฉัยเป็นคนละประเด็นกัน ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 244/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เหตุสุดวิสัยและการปฏิบัติหน้าที่ตามคำพิพากษา: แม้มีเหตุขัดข้องก็ต้องพยายามชำระหนี้
จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ ยอมชำระเงินค่าเลี้ยงดูโจทก์เป็นรายเดือนจนกว่าโจทก์จะถึงแก่ความตาย หากผิดนัดงวดหนึ่งงวดใด ยอมยกที่ดินให้เป็นของโจทก์ทันที และศาลพิพากษาตามยอมไปแล้ว แม้ควายของจำเลยจะหายและต้องออกติดตามจำเลยก็ยังมีหน้าที่จะต้องปฏิบัติการชำระหนี้ตามคำพิพากษาการไปตามควายกลับไม่ทันมิใช่เหตุสุดวิสัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 8 ที่จำเลยว่าขายข้าวไม่ได้เพราะข้าวไม่มีราคานั้น หากขวนขวายขายในราคาต่ำด้วยความจำเป็นที่จะต้องหาเงินมาชำระหนี้ ก็ย่อมทำได้ฉะนั้น เมื่อจำเลยไม่ชำระเงินค่าเลี้ยงดูให้โจทก์ภายในกำหนดย่อมตกเป็นผู้ผิดนัด จำเลยจะยกเหตุทั้งสองดังกล่าวแล้วเป็นข้อแก้ตัวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 205, 219 หาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 244/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เหตุสุดวิสัยและการปฏิบัติตามคำพิพากษา: แม้มีอุปสรรค จำเลยยังต้องชำระหนี้ตามกำหนด
จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ ยอมชำระเงินค่าเลี้ยงดูโจทก์เป็นรายเดือนจนกว่าโจทก์จะถึงแก่ความตาย หากผิดนัดงวดหนึ่งงวดใด ยอมยกที่ดินให้เป็นของโจทก์ทันที และศาลพิพากษาตามยอมไปแล้ว แม้ควายของจำเลยจะหายและต้องออกติดตาม จำเลยก็ยังมีหน้าที่จะต้องปฏิบัติการชำระหนี้ตามคำพิพากษา การไปตามควายกลับไม่ทันมิใช่เหตุสุดวิสัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 8 ที่จำเลยว่าขายข้าวไม่ได้เพราะข้าวไม่มีราคานั้น หากขวนขวายขายในราคาต่ำ ด้วยความจำเป็นที่จะต้องหาเงินมาชำระหนี้ ก็ย่อมทำได้ ฉะนั้น เมื่อจำเลยไม่ชำระเงินค่าเลี้ยงดูให้โจทก์ภายในกำหนด ย่อมตกเป็นผู้ผิดนัด จำเลยจะยกเหตุทั้งสองดังกล่าวแล้วเป็นข้อแก้ตัวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 205,219 หาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2809-2810/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบอกเลิกสัญญาจะซื้อขายที่ดิน: การบอกกล่าวและการปฏิบัติตามมาตรา 387 และผลของการไม่โต้แย้งคำสั่งศาล
ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้องได้และสั่งงดสืบพยานแล้วนัดฟังคำพิพากษาคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำสั่งในระหว่างพิจารณา ก่อนศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีหากจำเลยเห็นว่าไม่ถูกต้องก็ชอบที่จะโต้แย้งไว้เพื่อจะได้อุทธรณ์คำสั่งนั้นต่อไป เมื่อจำเลยมิได้โต้แย้งไว้ย่อมไม่มีสิทธิอุทธรณ์ในปัญหาดังกล่าว
ตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์จำเลยมิได้ระบุชัดแจ้งว่าหากผู้ซื้อผิดนัดไม่นำเงินที่เหลือมาชำระให้แก่ผู้ขายตามกำหนดสัญญาจะซื้อขายเป็นอันเลิกกันทันทีแม้จะได้กำหนดเวลาการชำระหนี้ค่าที่ดินที่ค้างไว้แน่นอนแล้วก็ตาม แต่วัตถุประสงค์แห่งสัญญานั้นว่าโดยสภาพหรือโดยเจตนาที่คู่สัญญาแสดงไว้ มิใช่ว่าจะเป็นผลสำเร็จได้ก็แต่ด้วยการชำระหนี้ ณเวลาที่กำหนดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 388 สัญญาจะซื้อขายดังกล่าวจึงต้องบังคับตามมาตรา 387 กล่าวคือ จำเลยผู้ขายจะต้องบอกกล่าวให้โจทก์ผู้ซื้อชำระหนี้ภายในระยะเวลาพอสมควรก่อน ถ้าโจทก์ไม่ชำระหนี้ภายในระยะเวลาดังกล่าวนั้นจำเลยจึงจะบอกเลิกสัญญาเสียได้ หากยังมิได้ปฏิบัติเช่นนั้นจำเลยก็ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญา
ตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์จำเลยมิได้ระบุชัดแจ้งว่าหากผู้ซื้อผิดนัดไม่นำเงินที่เหลือมาชำระให้แก่ผู้ขายตามกำหนดสัญญาจะซื้อขายเป็นอันเลิกกันทันทีแม้จะได้กำหนดเวลาการชำระหนี้ค่าที่ดินที่ค้างไว้แน่นอนแล้วก็ตาม แต่วัตถุประสงค์แห่งสัญญานั้นว่าโดยสภาพหรือโดยเจตนาที่คู่สัญญาแสดงไว้ มิใช่ว่าจะเป็นผลสำเร็จได้ก็แต่ด้วยการชำระหนี้ ณเวลาที่กำหนดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 388 สัญญาจะซื้อขายดังกล่าวจึงต้องบังคับตามมาตรา 387 กล่าวคือ จำเลยผู้ขายจะต้องบอกกล่าวให้โจทก์ผู้ซื้อชำระหนี้ภายในระยะเวลาพอสมควรก่อน ถ้าโจทก์ไม่ชำระหนี้ภายในระยะเวลาดังกล่าวนั้นจำเลยจึงจะบอกเลิกสัญญาเสียได้ หากยังมิได้ปฏิบัติเช่นนั้นจำเลยก็ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2809-2810/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบอกเลิกสัญญาจะซื้อขายที่ดิน: ต้องบอกกล่าวให้ชำระหนี้ก่อน หากไม่ชำระจึงบอกเลิกได้ และคำสั่งศาลระหว่างพิจารณาต้องโต้แย้งทันที
ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้องได้และสั่งงดสืบพยานแล้วนัดฟังคำพิพากษาคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำสั่งในระหว่างพิจารณา ก่อนศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีหากจำเลยเห็นว่าไม่ถูกต้องก็ชอบที่จะโต้แย้งไว้เพื่อจะได้อุทธรณ์คำสั่งนั้นต่อไป เมื่อจำเลยมิได้โต้แย้งไว้ย่อมไม่มีสิทธิอุทธรณ์ในปัญหาดังกล่าว
ตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์จำเลยมิได้ระบุชัดแจ้งว่าหากผู้ซื้อผิดนัดไม่นำเงินที่เหลือมาชำระให้แก่ผู้ขายตามกำหนดสัญญาจะซื้อขายเป็นอันเลิกกันทันทีแม้จะได้กำหนดเวลาการชำระหนี้ค่าที่ดินที่ค้างไว้แน่นอนแล้วก็ตาม แต่วัตถุประสงค์แห่งสัญญานั้นว่าโดยสภาพหรือโดยเจตนาที่คู่สัญญาแสดงไว้ มิใช่ว่าจะเป็นผลสำเร็จได้ก็แต่ด้วยการชำระหนี้ ณ เวลาที่กำหนดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 388 สัญญาจะซื้อขายดังกล่าวจึงต้องบังคับตามมาตรา 387กล่าวคือ จำเลยผู้ขายจะต้องบอกกล่าวให้โจทก์ผู้ซื้อชำระหนี้ภายในระยะเวลาพอสมควรก่อน ถ้าโจทก์ไม่ชำระหนี้ภายในระยะเวลาดังกล่าวนั้นจำเลยจึงจะบอกเลิกสัญญาเสียได้ หากยังมิได้ปฏิบัติเช่นนั้น จำเลยก็ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญา
ตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์จำเลยมิได้ระบุชัดแจ้งว่าหากผู้ซื้อผิดนัดไม่นำเงินที่เหลือมาชำระให้แก่ผู้ขายตามกำหนดสัญญาจะซื้อขายเป็นอันเลิกกันทันทีแม้จะได้กำหนดเวลาการชำระหนี้ค่าที่ดินที่ค้างไว้แน่นอนแล้วก็ตาม แต่วัตถุประสงค์แห่งสัญญานั้นว่าโดยสภาพหรือโดยเจตนาที่คู่สัญญาแสดงไว้ มิใช่ว่าจะเป็นผลสำเร็จได้ก็แต่ด้วยการชำระหนี้ ณ เวลาที่กำหนดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 388 สัญญาจะซื้อขายดังกล่าวจึงต้องบังคับตามมาตรา 387กล่าวคือ จำเลยผู้ขายจะต้องบอกกล่าวให้โจทก์ผู้ซื้อชำระหนี้ภายในระยะเวลาพอสมควรก่อน ถ้าโจทก์ไม่ชำระหนี้ภายในระยะเวลาดังกล่าวนั้นจำเลยจึงจะบอกเลิกสัญญาเสียได้ หากยังมิได้ปฏิบัติเช่นนั้น จำเลยก็ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2009/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเช่าหลังสัญญาก่อสร้างเลิก: โจทก์ไม่มีสิทธิบังคับเช่าเมื่อสัญญาหมดผล
กระทรวงการคลัง ทำสัญญากับโจทก์ให้โจทก์เป็นผู้ออกทุนทรัพย์ปลูกสร้างอาคารและสิ่งปลูกสร้างในที่ดินราชพัสดุ ยกกรรมสิทธิ์ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงการคลังยอมให้โจทก์มีสิทธิเช่ามีกำหนด 20 ปี หากโจทก์ปลูกสร้างไม่เสร็จตามกำหนดสัญญา โจทก์ต้องส่งมอบสิ่งปลูกสร้างส่วนที่สร้างไม่เสร็จให้กระทรวงการคลังพร้อมกับชดใช้เงินจำนวนหนึ่ง ให้กระทรวงการคลังริบเอาเป็นของกระทรวงการคลัง และให้บอกเลิกสัญญาได้ทันที ปรากฏว่าโจทก์ปลูกสร้างอาคารตึกแถวงวดที่ 1 ซึ่งจะต้องทำรวม 52 คูหา เสร็จเพียง 40คูหารวมทั้งห้องพิพาทด้วย อีก 12 คูหายังไม่เสร็จกระทรวงการคลังได้บอกเลิกสัญญาทั้งหมดและบอกริบเอาตึกแถวที่สร้างเสร็จ 40 คูหา เมื่อสัญญาระหว่างโจทก์กับกระทรวงการคลังได้ยกเลิกกันไปโดยชอบเสียก่อนแล้ว โจทก์ย่อมไม่มีเหตุที่จะอาศัยข้อสัญญาที่หมดผลไปแล้วนั้น มาฟ้องขอให้บังคับกระทรวงการคลังยอมให้โจทก์เช่าห้องพิพาทได้ ส่วนผลงานที่โจทก์ได้ทำไปแล้ว โจทก์จะมีสิทธิเรียกร้องจากกระทรวงการคลังประการใด เป็นเรื่องที่จะต้องว่ากล่าวกันอีกส่วนหนึ่งต่างหาก