คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 237

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 568 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1405/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดินโดยไม่สุจริต โจทก์ซื้อรู้ว่าจำเลยซื้อก่อน ย่อมฟ้องขับไล่ไม่ได้
โจทก์ซื้อและจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและตึกแถวพิพาทจาก ช. โดยรู้อยู่แล้วว่าจำเลยได้ซื้อที่ดินและตึกแถวพิพาทไว้ก่อนเป็นการใช้สิทธิที่ไม่สุจริต โจทก์จึงฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินและตึกแถวพิพาทไม่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1405/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดินโดยรู้อยู่แล้วว่ามีผู้ซื้อก่อน ย่อมเป็นสิทธิไม่สุจริต ไม่สามารถฟ้องขับไล่ได้
เมื่อโจทก์ซื้อและจดทะเบียนรับโอนที่ดินและตึกแถวพิพาทมาจาก ช.โดยรู้อยู่แล้วว่าจำเลยได้ซื้อที่ดินและตึกแถวนั้นจาก ช. ไว้ก่อนแล้ว โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยไม่ได้เพราะเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ส่วนข้ออ้างของโจทก์ที่ว่าจำเลยมิได้ฟ้องแย้งขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนระหว่างโจทก์กับ ช.นิติกรรมดังกล่าวย่อมสมบูรณ์อยู่ตลอดไปโจทก์จึงฟ้องขับไล่จำเลยได้นั้น ก็ฟังไม่ขึ้นเพราะ ช. มิได้เป็นโจทก์ในคดีนี้อันจำเลยจะฟ้องแย้งได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 154/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนจำนองในคดีล้มละลาย: สิทธิลูกหนี้ร่วมและการกระทำโดยสุจริตของเจ้าหนี้
ผู้ร้องกับจำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมร่วมกันโดยตกลงชำระหนี้ให้แก่ธนาคารให้ครบถ้วนภายใน 6 เดือน ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนจำนองที่ดินมีโฉนดไว้แก่ธนาคารดังกล่าว เพื่อเป็นประกันหนี้ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. และบริษัท ย. ตามลำดับ จำเลยที่ 1 ถูกฟ้องล้มละลายและศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 1 เด็ดขาด ดังนี้ผู้ร้องจะอ้างว่าเป็นเจ้าหนี้ในคดีล้มละลายขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดำเนินการเพิกถอนการจำนองที่ดินดังกล่าวหาได้ไม่ เพราะธนาคารเจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 291 ที่จะบังคับเอาแก่จำเลยที่ 1 หรือผู้ร้องซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมได้โดยไม่จำต้องบังคับเอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ก่อน หากผู้ร้องเห็นว่า จำเลยที่ 1 ยังมีทรัพย์สินที่จะชำระหนี้ได้ ก็ชอบที่จะชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมให้แก่ธนาคารแล้วใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาจากจำเลยที่ 1 เมื่อผู้ร้องในฐานะลูกหนี้ร่วมยังมิได้ชำระหนี้จึงไม่มีสิทธิไล่เบี้ยเอาจากจำเลยที่ 1 และไม่อยู่ในฐานะเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 ทั้งการที่จำเลยที่ 1เอาที่ดินไปจำนองก็ไม่เป็นการกระทำทั้งที่รู้ว่าเป็นทางให้ผู้ร้องซึ่งมิใช่เจ้าหนี้เสียเปรียบ ประกอบกับจำเลยที่ 1นำที่ดินไปจำนองเพื่อกิจการค้าของห้าง ฯ และบริษัท ฯ ที่ตนเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการและกรรมการผู้จัดการอยู่ โดยไม่มีเหตุส่อแสดงว่าธนาคารรับจำนองไว้โดยไม่สุจริตและรู้อยู่ว่าเป็นทางทำให้ผู้ร้องเสียเปรียบ กรณีจึงไม่เข้าข่ายที่ผู้ร้องจะขอให้เพิกถอนนิติกรรมจำนองดังกล่าว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 154/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการจำนองในคดีล้มละลาย: สิทธิของลูกหนี้ร่วมและเจตนาสุจริตของธนาคาร
ผู้ร้องกับจำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมร่วมกัน โดยตกลงชำระหนี้ให้แก่ธนาคารให้ครบถ้วนภายใน 6 เดือน ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนจำนองที่ดินมีโฉนดไว้แก่ธนาคารดังกล่าว เพื่อเป็นประกันหนี้ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. และบริษัท ย. ตามลำดับ จำเลยที่ 1 ถูกฟ้องล้มละลายและศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 1 เด็ดขาด ดังนี้ผู้ร้องจะอ้างว่าเป็นเจ้าหนี้ในคดีล้มละลายขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดำเนินการเพิกถอนการจำนองที่ดินดังกล่าวหาได้ไม่ เพราะธนาคารเจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 291 ที่จะบังคับเอาแก่จำเลยที่ 1 หรือผู้ร้องซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมได้โดยไม่จำต้องบังคับเอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ก่อน หากผู้ร้องเห็นว่า จำเลยที่ 1 ยังมีทรัพย์สินที่จะชำระหนี้ได้ ก็ชอบที่จะชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมให้แก่ธนาคารแล้วใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาจากจำเลยที่ 1 เมื่อผู้ร้องในฐานะลูกหนี้ร่วมยังมิได้ชำระหนี้จึงไม่มีสิทธิไล่เบี้ยเอาจากจำเลยที่ 1 และไม่อยู่ในฐานะเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 ทั้งการที่จำเลยที่ 1 เอาที่ดินไปจำนองก็ไม่เป็นการกระทำทั้งที่รู้ว่าเป็นทางให้ผู้ร้องซึ่งมิใช่เจ้าหนี้เสียเปรียบ ประกอบกับจำเลยที่ 1 นำที่ดินไปจำนองเพื่อกิจการค้าของห้าง ฯ และบริษัท ฯ ที่ตนเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการและกรรมการผู้จัดการอยู่ โดยไม่มีเหตุส่อแสดงว่าธนาคารรับจำนองไว้โดยไม่สุจริตและรู้อยู่ว่า เป็นทางทำให้ผู้ร้องเสียเปรียบ กรณีจึงไม่เข้าข่ายที่ผู้ร้องจะขอให้เพิกถอนนิติกรรมจำนองดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3402/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนกรรมสิทธิ์ตึกแถวหลังการแบ่งทรัพย์สินร่วม และการสละเจตนาครอบครอง ทำให้จำเลยได้กรรมสิทธิ์โดยอายุความ
โจทก์ซึ่งเป็นทายาท พ. และ ห. ซึ่งเป็นเจ้าของรวมในที่ดินแปลงที่ปลูกตึกแถวพิพาทได้แบ่งทรัพย์สินกันเองในระหว่างเจ้าของรวม โดยโจทก์ได้ที่ดิน 53 ตารางวา ส่วนที่เหลือซึ่งเป็นของ ห. โจทก์และ ห. ยอมให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 9 ซึ่งเป็นหลานของ ห. เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ สำหรับตึกพิพาทนอกจากจะปลูกอยู่บนที่ดินส่วนของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 9 แล้ว โจทก์ให้จำเลยที่ 10 ดำเนินการโอนตึกแถวพิพาทให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 9 โดยโจทก์พิมพ์ลายนิ้วมือไว้ในเอกสารหมาย ล.1 โดยสมัครใจ ความว่า โจทก์ไม่ขอเกี่ยวข้องในสิทธิและตึกแถวพิพาทแต่อย่างใด จึงเป็นการสละเจตนาครอบครองตึกแถวพิพาทตั้งแต่วันทำเอกสารหมาย ล.1 จำเลยที่ 2 ถึงที่ 9 โดยจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมได้ครอบครองตึกแถวพิพาทติดต่อกันมาโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของด้วยการทำสัญญาเช่าและเก็บค่าเช่านับแต่วันทำเอกสารหมาย ล.1 ถึงวันฟ้องเป็นเวลากว่าสิบปี จำเลยที่ 2 ถึงที่ 9 จึงได้กรรมสิทธิ์ โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนระหว่าง ห. กับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 9

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3402/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสละเจตนาครอบครองและอายุความครอบครองทรัพย์สินของเจ้าของรวม
โจทก์ซึ่งเป็นทายาทพ.และห.ซึ่งเป็นเจ้าของรวมในที่ดินแปลงที่ปลูกตึกแถวพิพาทได้แบ่งทรัพย์สินกันเองในระหว่างเจ้าของรวมโดยโจทก์ได้ที่ดิน53ตารางวาส่วนที่เหลือซึ่งเป็นของห.โจทก์และห.ยอมให้จำเลยที่2ถึงที่9ซึ่งเป็นหลานของห.เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์สำหรับตึกพิพาทนอกจากจะปลูกอยู่บนที่ดินส่วนของจำเลยที่2ถึงที่9แล้วโจทก์ให้จำเลยที่10ดำเนินการโอนตึกแถวพิพาทให้จำเลยที่2ถึงที่9โดยโจทก์พิมพ์ลายนิ้วมือไว้ในเอกสารหมายล.1โดยสมัครใจความว่าโจทก์ไม่ขอเกี่ยวข้องในสิทธิและตึกแถวพิพาทแต่อย่างใดจึงเป็นการสละเจตนาครอบครองตึกแถวพิพาทตั้งแต่วันทำเอกสารหมายล.1จำเลยที่2ถึงที่9โดยจำเลยที่1ในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมได้ครอบครองตึกแถวพิพาทติดต่อกันมาโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของด้วยการทำสัญญาเช่าและเก็บค่าเช่านับแต่วันทำเอกสารหมายล.1ถึงวันฟ้องเป็นเวลากว่าสิบปีจำเลยที่2ถึงที่9จึงได้กรรมสิทธิ์โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนระหว่างห.กับจำเลยที่2ถึงที่9.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1707/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิและหน้าที่ตามสัญญาซื้อขาย-ขายฝาก: ผู้รับซื้อฝากไม่ต้องรับผิดตามสัญญาระหว่างผู้ขายฝากกับบุคคลอื่น
โจทก์เป็นผู้รับซื้อฝากที่ดินพิพาทจาก ป. ครบกำหนด ป. ไม่ไถ่คืนที่ดินพิพาทจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ โจทก์จึงฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทจำเลยอ้างว่าได้ปลูกบ้านในที่ดินพิพาทมาก่อนโจทก์รับซื้อฝากที่ดินจาก ป.แล้ว แต่ต่อมาจำเลยได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทจาก ป. ผ่อนชำระเป็นงวด ระหว่างผ่อนชำระ ป.ถึงแก่ความตายเสียก่อน จำเลยมิได้ฟ้องแย้งขอให้เพิกถอนนิติกรรมขายฝากระหว่างโจทก์กับ ป. โจทก์มิได้เป็นคู่สัญญากับจำเลยและไม่มีบทกฎหมายกำหนดไว้ว่าผู้รับซื้อฝากที่ดินจะต้องรับไปซึ่งสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาจะซื้อจะขายระหว่างผู้ขายฝากกับบุคคลอื่นจำเลยจึงไม่มีสิทธิฟ้องแย้งบังคับให้โจทก์รับไปซึ่งสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาจะซื้อจะขายระหว่างจำเลยกับ ป.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1270/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนทรัพย์สินเพื่อหลีกเลี่ยงหนี้สิน: เพิกถอนได้หากเจ้าหนี้พิสูจน์ได้ว่าการโอนนั้นทำเพื่อลดทรัพย์สินที่นำมาชำระหนี้
จำเลยที่1เพิ่งจดทะเบียนยกที่ดินพิพาทให้จำเลยที่2ผู้เป็นบุตรทั้งๆที่เข้าอยู่ในที่ดินก่อนหน้านั้นนานแล้วและก่อนวันจดทะเบียน2วันจำเลยที่1คงเป็นหนี้โจทก์อยู่ถึงเก้าแสนบาทเมื่อจดทะเบียนโอนให้แล้วจำเลยที่1ก็หลบหนีไปพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าเป็นการกระทำไปทั้งที่รู้ว่าเป็นทางให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบเมื่อเป็นการยกให้โดยเสน่หาลำพังจำเลยที่1ลูกหนี้รู้ฝ่ายเดียวก็ขอให้เพิกถอนได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4230/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่ากับบุคคลภายนอกที่รู้ข้อจำกัดในสัญญาจำนอง: สิทธิเจ้าหนี้จำนองในการเพิกถอนสัญญา
ผู้รับจำนองฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมสัญญาเช่าทรัพย์ ซึ่งผู้จำนองสมคบร่วมกับผู้เช่ากระทำลงโดยรู้อยู่ว่าเป็นการผิดสัญญาจำนองและข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนอง ก่อให้เกิดความเสียหายต่อการบังคับคดีของผู้รับจำนองเอาแก่ทรัพย์สินที่จำนอง กรณีเช่นนี้ไม่อาจนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 722 มาใช้ปรับแก่คดีได้ เพราะสัญญาเช่าทรัพย์เป็นบุคคลสิทธิไม่ใช่ภาระจำยอมหรือทรัพย์สิทธิอย่างอื่น จึงต้องนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 มาใช้ปรับแก่คดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3945/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนสัญญาจำนองที่ทำขึ้นโดยเจตนาทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบในชั้นบังคับคดี
ในชั้นบังคับคดีหากข้อเท็จจริงฟังได้ว่า สัญญาจำนองที่ดินพิพาทเป็นนิติกรรมซึ่งจำเลยที่ 2 และผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับจำนองได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าเป็นทางให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบแล้ว ศาลก็มีอำนาจที่จะเพิกถอนสัญญาจำนองที่ดินพิพาทระหว่างผู้ร้องและจำเลยที่ 2 ได้โดยไม่ต้องไปฟ้องเป็นคดีใหม่
of 57