คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 237

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 568 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1540/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนทรัพย์สินเพื่อหลีกเลี่ยงการบังคับคดี ถือเป็นการโอนโดยไม่สุจริต เจ้าหนี้มีสิทธินำยึดได้
พ. รับโอนที่พิพาทมาหลังจากที่จำเลยแพ้คดีในศาลชั้นต้นแล้วโดย พ. ทราบเรื่องที่จำเลยถูกฟ้องเป็นอย่างดีจึงเป็นการรับโอนโดยไม่สุจริต ผู้ร้องรับโอนต่อจาก พ. โดยรู้ถึงการโอนโดยไม่สุจริตระหว่างจำเลยกับ พ. ดังนี้เป็นการสมคบกันโอนและรับโอนทรัพย์พิพาทของจำเลยเพื่อให้พ้นจากการถูกบังคับคดีถือว่าผู้ร้องรับโอนโดยไม่สุจริตทำให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบ โจทก์มีสิทธินำยึดที่พิพาทซึ่งมีส่วนของจำเลยรวมอยู่ด้วยเพื่อขายทอดตลาดได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 621/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่เกิดจากการฉ้อฉล หากไม่ฟ้องภายใน 1 ปีนับแต่รู้เหตุ
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ทั้ง มาตรา 237 และมาตรา 1300 แต่ขณะที่จำเลยรับโอนที่ดินแปลงพิพาทจาก ล. ศาลยังมิได้พิพากษาให้ ล. โอนที่ดินดังกล่าวคืนให้โจทก์ โจทก์จึงมิใช่บุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนตาม มาตรา 1300 คดีของโจทก์ต้องด้วย มาตรา 237 ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 240 ห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้นปีหนึ่งนับแต่เวลาที่เจ้าหนี้ได้รู้ต้นเหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอนหรือพ้นสิบปีนังแต่ได้ทำนิติกรรมนั้น
ล. โอนขายที่ดินพิพาทให้จำเลยเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2520 โจทก์ยื่นฟ้อง ล. และจำเลยเป็นคดีอาญาว่าร่วมกันฉ้อโกงโจทก์เกี่ยวกับที่ดินแปลงพิพาทเมื่อ วันที่ 30 พฤษภาคม 2520 เมื่อโจทก์มิได้ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่พิพาทระหว่าง ล. กับจำเลยภายในหนึ่งปีนับตั้งแต่วันที่โจทก์ได้รู้ต้นเหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอน คดีของโจทก์จึงขาดอายุความฟ้องร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 240

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 331-332/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผู้รับโอนสิทธิเช่าที่ยังมิได้เข้าครอบครองทรัพย์สิน ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่ และการพ้นวิสัยของสัญญาเช่า
ผู้รับโอนสิทธิการเช่าโดยที่ยังไม่เคยเข้าครอบครองทรัพย์สินที่เช่านั้น ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่ผู้ที่อยู่ในทรัพย์สินที่เช่า (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 916/2503)
อำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความมิได้ยกขึ้นอ้างศาลก็ยกขึ้นเองได้
จำเลยที่ 1 ให้โจทก์เช่าช่วงตึกแถวพิพาทโดยมีข้อสัญญาระหว่างกันว่า ถ้าจำเลยจะขายตัวทรัพย์ที่เช่าจะต้องแจ้งให้โจทก์ทราบก่อนข้อตกลงดังกล่าวจึงไม่หมายความถึงการโอนสิทธิการเช่าด้วย เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินที่เช่าและสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ก็เป็นสัญญาเช่าตึกแถวมิใช่เช่าสิทธิ จึงเป็นการพ้นวิสัยไม่มีผลบังคับได้ การที่จำเลยที่ 1 โอนสิทธิการเช่าให้ผู้อื่นจึงกระทำได้โดยชอบ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้เพิกถอนการโอน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 261/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสละสิทธิเรียกร้องตามสัญญาจากฟ้องเพิกถอนสัญญาฉ้อฉล ย่อมกลับคืนสู่ฐานะเดิม
การฉ้อฉลหมายถึงนิติกรรมอันลูกหนี้ได้ทำลงโดยรู้อยู่ว่าเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 237 และบุคคลที่จะเป็นโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลได้คือเจ้าหนี้ หาใช่ตัวผู้ทำนิติกรรมนั้นเองไม่ การที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทำสัญญาแบ่งปันมรดกไปฟ้องคดีในอีกศาลหนึ่ง ขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาแบ่งปันมรดกที่ตนได้ทำกับจำเลยไว้ แล้วทิ้งฟ้องจนศาลจำหน่ายคดีนั้น ย่อมลบล้างผลแห่งการยื่นฟ้องนั้น และทำให้คู่ความกลับคืนสู่ฐานะเดิมเสมือนหนึ่งมิได้มีการยื่นฟ้องเลย ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 176 และย่อมไม่กระทบกระเทือนถึงสัญญาแบ่งปันมรดกคดีนี้แต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 261/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสละสิทธิเรียกร้องจากสัญญา: การฟ้องเพิกสัญญาฉ้อฉลแล้วทิ้งฟ้องไม่กระทบสิทธิเดิม
การฉ้อฉลหมายถึงนิติกรรมอันลูกหนี้ได้ทำลงโดยรู้อยู่ว่าเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 237 และบุคคลที่จะเป็นโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลได้คือเจ้าหนี้ หาใช่ตัวผู้ทำนิติกรรมนั้นเองไม่ การที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทำสัญญาแบ่งปันมรดกไปฟ้องคดีในอีกศาลหนึ่ง ขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาแบ่งปันมรดกที่ตนได้ทำกับจำเลยไว้ แล้วทิ้งฟ้องจนศาลจำหน่ายคดีนั้น ย่อมลบล้างผลแห่งการยื่นฟ้องนั้นและทำให้คู่ความกลับคืนสู่ฐานะเดิมเสมือนหนึ่งมิได้มีการยื่นฟ้องเลย ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 176 และย่อมไม่กระทบกระเทือนถึงสัญญาแบ่งปันมรดกคดีนี้แต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3698/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแสดงเจตนาลวงในการทำสัญญาหย่าและการบังคับคดียึดทรัพย์สิน
หนังสือข้อตกลงหย่าและการจดทะเบียนหย่า ผู้ร้องกับจำเลยแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้ระหว่างกันกระทำขึ้น หรืออีกนัยหนึ่งเป็นการกระทำขึ้นโดยสมยอมจึงไม่ผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ทรัพย์สินที่โจทก์นำยึดจึงเป็นสินสมรสซึ่งผู้ร้องกับจำเลยมีกรรมสิทธิ์ร่วมกันผู้ร้องไม่มีอำนาจมาร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3698/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแสดงเจตนาลวงในการหย่าและการยึดทรัพย์สิน: สิทธิของเจ้าหนี้ต่อสินสมรส
หนังสือข้อตกลงหย่าและการจดทะเบียนหย่า ผู้ร้องกับจำเลยแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้ระหว่างกันกระทำขึ้นหรืออีกนัยหนึ่งเป็นการกระทำขึ้นโดยสมยอมจึงไม่ผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ทรัพย์สินที่โจทก์นำยึดจึงเป็นสินสมรสซึ่งผู้ร้องกับจำเลยมีกรรมสิทธิ์ร่วมกันผู้ร้องไม่มีอำนาจมาร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2619/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีฉ้อฉลจำนอง: ต้องเปิดโอกาสสืบพยานเพื่อพิสูจน์เจตนาและข้อเท็จจริงก่อนวินิจฉัย
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ได้นำที่ดินมีโฉนดของโจทก์ซึ่งจำเลยที่ 1 กำลังมีคดีพิพาทอยู่กับโจทก์ไปจำนองไว้แก่จำเลยที่ 2 เพื่อเป็นประกันหนี้ โดยจำเลยทั้งสองมีเจตนาทุจริตร่วมกันใช้กลฉ้อฉลแก่โจทก์ โดยไม่มีค่าตอบแทนและมิได้มีเจตนาทำสัญญาจำนองกันโดยแท้จริง ขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาจำนอง จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ว่าการจำนองได้กระทำโดยสุจริต มีค่าตอบแทน และมิใช่เป็นการฉ้อฉลโจทก์ ดังนี้คดีมีประเด็นที่จะต้องพิจารณาว่า จำเลยทั้งสองร่วมคบคิดกันทำการฉ้อฉลโจทก์ด้วยการเอาที่ดินพิพาทซึ่งอยู่ในระหว่างที่จำเลยที่ 1 เป็นความกับโจทก์ไปจดทะเบียนทำนิติกรรมจำนองไว้แก่จำเลยที่ 2 โดยไม่มีค่าตอบแทนและมิได้มีเจตนาที่จะทำนิติกรรมสัญญาจำนองกันแท้จริงดังฟ้องหรือไม่ แม้คดีที่โจทก์พิพาทกับจำเลยที่ 1 ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาให้โอนใส่ชื่อจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท แต่คดียังไม่ยุติเพราะอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ถ้าศาลฎีกามีคำวินิจฉัยเปลี่ยนแปลงแก้ไขคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีดังกล่าว การกระทำของจำเลยที่ 1 อาจเป็นการละเมิดต่อสิทธิของโจทก์ได้เมื่อข้อกล่าวอ้างของโจทก์ในคดีนี้จำเลยทั้งสองยังโต้เถียงอยู่อันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองได้ จำต้องฟังข้อเท็จจริงจากการนำสืบพยานหลักฐานของคู่ความเสียก่อน การสั่งงดสืบพยานของคู่ความแล้ววินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจึงเป็นการไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2619/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฉ้อฉลจำนองที่ดินพิพาท: ศาลต้องสืบพยานเพื่อพิสูจน์เจตนาและอำนาจฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ได้นำที่ดินมีโฉนดของโจทก์ซึ่งจำเลยที่ 1 กำลังมีคดีพิพาทอยู่กับโจทก์ไปจำนองไว้แก่จำเลยที่ 2 เพื่อเป็นประกันหนี้ โดยจำเลยทั้งสองมีเจตนาทุจริตร่วมกันใช้กลฉ้อฉลแก่โจทก์ โดยไม่มีค่าตอบแทนและมิได้มีเจตนาทำสัญญาจำนองกันโดยแท้จริง ขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาจำนอง จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ว่าการจำนองได้กระทำโดยสุจริต มีค่าตอบแทน และมิใช่เป็นการฉ้อฉลโจทก์ ดังนี้คดีมีประเด็นที่จะต้องพิจารณาว่า จำเลยทั้งสองร่วมคบคิดกันทำการฉ้อฉลโจทก์ด้วยการเอาที่ดินพิพาทซึ่งอยู่ในระหว่างที่จำเลยที่ 1 เป็นความกับโจทก์ไปจดทะเบียนทำนิติกรรมจำนองไว้แก่จำเลยที่ 2 โดยไม่มีค่าตอบแทนและมิได้มีเจตนาที่จะทำนิติกรรมสัญญาจำนองกันแท้จริงดังฟ้องหรือไม่ แม้คดีที่โจทก์พิพาทกับจำเลยที่ 1 ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาให้โอนใส่ชื่อจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท แต่คดียังไม่ยุติเพราะอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ถ้าศาลฎีกามีคำวินิจฉัยเปลี่ยนแปลงแก้ไขคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีดังกล่าว การกระทำของจำเลยที่ 1 อาจเป็นการละเมิดต่อสิทธิของโจทก์ได้เมื่อข้อกล่าวอ้างของโจทก์ในคดีนี้จำเลยทั้งสองยังโต้เถียงอยู่อันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองได้ จำต้องฟังข้อเท็จจริงจากการนำสืบพยานหลักฐานของคู่ความเสียก่อน การสั่งงดสืบพยานของคู่ความแล้ววินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจึงเป็นการไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1580/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิผู้เช่านาเมื่อผู้ให้เช่าขายที่ดิน - การแจ้งการขายตาม พ.ร.บ.ควบคุมการเช่านา
พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ.2517 มาตรา 41 วรรคแรกบัญญัติว่า "ผู้ให้เช่านาจะขายนาได้ต่อเมื่อได้แจ้งเป็นหนังสือให้ผู้เช่านาซึ่งเช่านาแปลงนั้นทราบ พร้อมทั้งราคาที่จะขายและวิธีการชำระเงิน...." เช่นนี้ ที่โจทก์เถียงว่าไม่จำเป็นจะต้องแจ้งเป็นหนังสือให้จำเลยที่ 1 ผู้เช่านาทราบ จึงฟังไม่ขึ้น
ต. เจ้าของที่ดินพิพาททำหนังสือสัญญาจะขายให้แก่โจทก์แต่เมื่อยังไม่ได้ปฏิบัติต่อจำเลยที่ 1 ผู้เช่านาให้ถูกต้องตามวิธีการที่กฎหมายกำหนดไว้ และจำเลยที่1ก็ยังไม่ได้ปฏิเสธเป็นหนังสือว่าจะไม่ซื้อที่ดินพิพาทตามมาตรา 41 วรรคสามจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เช่าจึงมีสิทธิดีกว่าโจทก์ เมื่อจำเลยที่ 1 ได้ซื้อและจดทะเบียนรับโอนที่ดินพิพาทมาจาก ต. ผู้ให้เช่าไว้โดยชอบด้วยกฎหมายแล้วเช่นนี้โจทก์จึงหามีอำนาจที่จะฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายระหว่างจำเลยที่ 1 กับ ต. ได้ไม่
of 57