พบผลลัพธ์ทั้งหมด 568 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 90/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายที่ดินโดยไม่สุจริต, การเพิกถอนนิติกรรม, และสิทธิของผู้ซื้อเดิม
จำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินและบ้านพิพาทจาก ม. โดยมี ห. เป็นพยานในสัญญาดังกล่าวอยู่ด้วย โจทก์ทราบว่าจำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินและบ้านพิพาทกับ ม. และเห็นจำเลยเข้าอยู่ในที่ดินและบ้านพิพาทมานานแล้ว โจทก์ยังซื้อที่ดินและบ้านพิพาทจาก ห. ผู้ซึ่งซื้อมาจาก ม. อีก ในราคาต่ำกว่าเมื่อจำเลยตกลงซื้อเมื่อ 5 ปีก่อน การรับโอนที่ดินและบ้านพิพาทของโจทก์จาก ห. มิได้เป็นไปโดยสุจริต แล้วยังฟ้องหาว่าจำเลยเช่าบ้านพิพาทจากโจทก์ แต่ไม่ชำระค่าเช่า ขอให้ขับไล่อีก เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านเช่าและที่ดินที่โจทก์ซื้อมาจาก ห. จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าที่ดินและบ้านพิพาทเดิมเป็นของ ม. ม. ได้ทำสัญญาขายให้จำเลย และมอบให้จำเลยครอบครองแต่ยังไม่ได้โอนโฉนด การที่ ม.โอนที่ดินให้ ห.และห. โอนที่ดินให้โจทก์เป็นการฉ้อโกงหรือฉ้อฉล จำเลยอยู่ในฐานะที่จะให้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมได้ก่อน ทำให้จำเลยเสียเปรียบเสียหาย ขอให้พิพากษาเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินและบ้านที่โจทก์ได้มาจาก ห.และที่ห. ได้มาจาก ม. เสีย ดังนี้ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นการสู้ว่าจำเลยมีสิทธิในที่ดินที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยดีกว่าโจทก์ จึงเป็นฟ้องแย้งที่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม
จำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินและบ้านพิพาทจาก ม. แต่ยังชำระราคาไม่ครบ จำเลยจึงไม่ใช่บุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้ก่อนตามมาตรา 1300 คดีของจำเลยต้องด้วยมาตรา 237. แต่ศาลก็ไม่อาจพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนระหว่าง ม. กับ ห.และระหว่างห.กับโจทก์ได้ โดยที่จำเลยมิได้ฟ้อง ม. กับ ห. เข้ามาในคดีด้วย
(วรรคสองและสาม วินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 36-37/2515)
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านเช่าและที่ดินที่โจทก์ซื้อมาจาก ห. จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าที่ดินและบ้านพิพาทเดิมเป็นของ ม. ม. ได้ทำสัญญาขายให้จำเลย และมอบให้จำเลยครอบครองแต่ยังไม่ได้โอนโฉนด การที่ ม.โอนที่ดินให้ ห.และห. โอนที่ดินให้โจทก์เป็นการฉ้อโกงหรือฉ้อฉล จำเลยอยู่ในฐานะที่จะให้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมได้ก่อน ทำให้จำเลยเสียเปรียบเสียหาย ขอให้พิพากษาเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินและบ้านที่โจทก์ได้มาจาก ห.และที่ห. ได้มาจาก ม. เสีย ดังนี้ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นการสู้ว่าจำเลยมีสิทธิในที่ดินที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยดีกว่าโจทก์ จึงเป็นฟ้องแย้งที่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม
จำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินและบ้านพิพาทจาก ม. แต่ยังชำระราคาไม่ครบ จำเลยจึงไม่ใช่บุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้ก่อนตามมาตรา 1300 คดีของจำเลยต้องด้วยมาตรา 237. แต่ศาลก็ไม่อาจพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนระหว่าง ม. กับ ห.และระหว่างห.กับโจทก์ได้ โดยที่จำเลยมิได้ฟ้อง ม. กับ ห. เข้ามาในคดีด้วย
(วรรคสองและสาม วินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 36-37/2515)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 90/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายที่ดินโดยไม่สุจริตและสิทธิในการเพิกถอนนิติกรรมเมื่อเจ้าของเดิมมีสัญญาจะซื้อขายกับผู้อื่นก่อน
จำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินและบ้านพิพาทจาก ม.โดยมี ห. เป็นพยานในสัญญาดังกล่าวอยู่ด้วย โจทก์ทราบว่าจำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินและบ้านพิพาทกับ ม. และเห็นจำเลยเข้าอยู่ในที่ดินและบ้านพิพาทมานานแล้วโจทก์ยังซื้อที่ดินและบ้านพิพาทจาก ห. ผู้ซึ่งซื้อมาจาก ม. อีกในราคาต่ำกว่าเมื่อจำเลยตกลงซื้อเมื่อ 5 ปีก่อน การรับโอนที่ดินและบ้านพิพาทของโจทก์จาก ห. มิได้เป็นไปโดยสุจริต แล้วยังฟ้องหาว่าจำเลยเช่าบ้านพิพาทจากโจทก์ แต่ไม่ชำระค่าเช่า ขอให้ขับไล่อีกเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านเช่าและที่ดินที่โจทก์ซื้อมาจาก ห.จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าที่ดินและบ้านพิพาทเดิมเป็นของ ม.ม. ได้ทำสัญญาขายให้จำเลย และมอบให้จำเลยครอบครองแต่ยังไม่ได้โอนโฉนด การที่ ม.โอนที่ดินให้ ห. และ ห. โอนที่ดินให้โจทก์เป็นการฉ้อโกงหรือฉ้อฉล จำเลยอยู่ในฐานะที่จะให้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมได้ก่อน ทำให้จำเลยเสียเปรียบเสียหายขอให้พิพากษาเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินและบ้านที่โจทก์ได้มาจาก ห. และที่ ห. ได้มาจาก ม. เสีย ดังนี้ ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นการสู้ว่าจำเลยมีสิทธิในที่ดินที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยดีกว่าโจทก์จึงเป็นฟ้องแย้งที่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม
จำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินและบ้านพิพาทจาก ม.แต่ยังชำระราคาไม่ครบ จำเลยจึงไม่ใช่บุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้ก่อนตามมาตรา 1300คดีของจำเลยต้องด้วยมาตรา 237. แต่ศาลก็ไม่อาจพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนระหว่าง ม. กับ ห. และระหว่าง ห.กับโจทก์ได้ โดยที่จำเลยมิได้ฟ้อง ม. กับ ห. เข้ามาในคดีด้วย
(วรรค2และ3 วินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 36- 37/2515)
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านเช่าและที่ดินที่โจทก์ซื้อมาจาก ห.จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าที่ดินและบ้านพิพาทเดิมเป็นของ ม.ม. ได้ทำสัญญาขายให้จำเลย และมอบให้จำเลยครอบครองแต่ยังไม่ได้โอนโฉนด การที่ ม.โอนที่ดินให้ ห. และ ห. โอนที่ดินให้โจทก์เป็นการฉ้อโกงหรือฉ้อฉล จำเลยอยู่ในฐานะที่จะให้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมได้ก่อน ทำให้จำเลยเสียเปรียบเสียหายขอให้พิพากษาเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินและบ้านที่โจทก์ได้มาจาก ห. และที่ ห. ได้มาจาก ม. เสีย ดังนี้ ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นการสู้ว่าจำเลยมีสิทธิในที่ดินที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยดีกว่าโจทก์จึงเป็นฟ้องแย้งที่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม
จำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินและบ้านพิพาทจาก ม.แต่ยังชำระราคาไม่ครบ จำเลยจึงไม่ใช่บุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้ก่อนตามมาตรา 1300คดีของจำเลยต้องด้วยมาตรา 237. แต่ศาลก็ไม่อาจพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนระหว่าง ม. กับ ห. และระหว่าง ห.กับโจทก์ได้ โดยที่จำเลยมิได้ฟ้อง ม. กับ ห. เข้ามาในคดีด้วย
(วรรค2และ3 วินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 36- 37/2515)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1706/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนที่ดินโดยไม่สุจริตของผู้รับโอนที่ทราบการซื้อขายก่อนหน้า ทำให้การโอนเป็นโมฆะ
จำเลยที่ 1 ขายที่พิพาทซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่าให้โจทก์แล้วส่งมอบการครอบครองให้ โจทก์ครอบครองตลอดมา เพียงแต่จะไปทำการโอนทางทะเบียนให้ในภายหลังเท่านั้น ต่อมาจำเลยที่ 1 กลับโอนที่พิพาทให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตร จำเลยที่ 2 ได้ขายให้จำเลยที่ 3 ที่ 4 โดยจำเลยที่ 3 ที่ 4 ทราบว่าโจทก์ซื้อที่พิพาทจากจำเลยที่ 1 แล้ว โจทก์ย่อมฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนขายที่พิพาทระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ที่ 4 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 886/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิไถ่คืนการขายฝาก & เพิกถอนนิติกรรมฉ้อฉล: ผู้ขายใช้สิทธิไถ่ได้แม้จำเลยไม่ไปตามนัด และจำเลยที่ 1 ฉ้อฉลด้วยการโอนให้ภริยา
ก่อนครบกำหนดไถ่คืนการขายฝาก ผู้ขายได้ติดต่อขอไถ่ทรัพย์ที่ขายฝากคืนจากผู้ซื้อและนัดวันที่จะไปจดทะเบียนไถ่ถอนกันแล้ว แต่ผู้ซื้อไม่ไปตามนัด หลังจากนั้นผู้ขายได้พยายามติดต่อกับผู้ซื้ออีก แต่ไม่สามารถติดต่อได้ผู้ขายจึงไปยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานที่ดินไว้เป็นหลักฐานว่าผู้ขายพร้อมแล้วที่จะไถ่ทรัพย์ที่ขายฝากคืนภายในกำหนดดังนี้ ถือได้ว่าผู้ขายได้ใช้สิทธิไถ่ทรัพย์ที่ขายฝากคืนภายในกำหนดแล้วโดยชอบ ผู้ซื้อมีหน้าที่ต้องรับไถ่ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 899/2495)
ผู้ซื้อนำทรัพย์ที่รับขายฝากไปโอนให้แก่ภริยาโดยเสน่หาทั้งๆ ที่ผู้ซื้อรู้อยู่ว่าผู้ขายยังมีสิทธิไถ่คืน ดังนี้ เป็นการฉ้อฉลอันทำให้ผู้ขายเสียเปรียบ ผู้ขายชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการโอนให้นั้นเสียได้
ผู้ซื้อนำทรัพย์ที่รับขายฝากไปโอนให้แก่ภริยาโดยเสน่หาทั้งๆ ที่ผู้ซื้อรู้อยู่ว่าผู้ขายยังมีสิทธิไถ่คืน ดังนี้ เป็นการฉ้อฉลอันทำให้ผู้ขายเสียเปรียบ ผู้ขายชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการโอนให้นั้นเสียได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 882/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนนิติกรรมหลังชำระหนี้: เมื่อเจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้แล้ว สิทธิในการขอเพิกถอนนิติกรรมย่อมสิ้นสุด
การฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 237 นั้น หากจำเลยนำเงินกู้ตามคำพิพากษามาวางศาลเพื่อชำระหนี้ให้แก่โจทก์แล้ว โจทก์ก็ไม่อยู่ในฐานะเป็นเจ้าหนี้จำเลยอันจะขอให้เพิกถอนต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 882/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนนิติกรรมหลังชำระหนี้: เมื่อเจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้แล้ว สิทธิในการเพิกถอนนิติกรรมย่อมสิ้นสุดลง
การฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 237 นั้น หากจำเลยนำเงินกู้ตามคำพิพากษามาวางศาล เพื่อชำระหนี้ให้แก่โจทก์แล้ว โจทก์ก็ไม่อยู่ในฐานะเป็นเจ้าหนี้จำเลยอันจะขอให้เพิกถอนต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1926/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนที่ดินโดยเสน่หาทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ และความเป็นส่วนควบของสิ่งปลูกสร้าง
จำเลยที่ 1 อยู่ในความดูแลของจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นพี่ ยอมให้จำเลยที่ 3 ดำเนินการให้มีการก่อสร้างตึกแถวขึ้นในที่ดินของจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 3 ได้ตกลงให้ผู้รับเหมาลงทุนก่อสร้างตึกแถวในที่ดินนั้นและให้ผู้รับเหมาเรียกเงินกินเปล่าจากผู้เช่าโดยตึกที่ก่อสร้างตกเป็นของเจ้าของที่ดิน แม้จำเลยที่ 3 จะได้รับประโยชน์ค่าหน้าดินและค่าเช่าเสียทั้งหมด ก็จะถือว่าจำเลยที่ 1 ผู้เป็นเจ้าของที่ดินได้ก่อให้เกิดสิทธิเหนือพื้นดินเป็นคุณแก่จำเลยที่ 3 โดยให้จำเลยที่ 3 มีสิทธิเป็นเจ้าของตึกที่ก่อสร้างขึ้นหาได้ไม่ ตึกนั้นเป็นส่วนควบของที่ดินของจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 1 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ไปทำสัญญาจะขายที่ดินของตนให้แก่โจทก์ระหว่างที่สัญญายังมีผลบังคับอยู่ จำเลยที่ 1กลับโอนแบ่งที่ดินนั้นครึ่งหนึ่งให้แก่จำเลยที่ 2, 3 โดยเสน่หาการกระทำเช่นนี้ย่อมจะทำให้โจทก์ซึ่งจะได้รับผลตามสัญญาจะซื้อขายต้องเสียเปรียบ แม้จำเลยที่ 3, 4 ผู้รับโอนมิได้รู้ถึงความจริงนี้ แต่เมื่อเป็นการโอนให้โดยเสน่หา เพียงแต่จำเลยที่ 1 รู้ฝ่ายเดียวโจทก์ก็ชอบที่จะขอให้เพิกถอนได้
จำเลยที่ 1 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ไปทำสัญญาจะขายที่ดินของตนให้แก่โจทก์ระหว่างที่สัญญายังมีผลบังคับอยู่ จำเลยที่ 1กลับโอนแบ่งที่ดินนั้นครึ่งหนึ่งให้แก่จำเลยที่ 2, 3 โดยเสน่หาการกระทำเช่นนี้ย่อมจะทำให้โจทก์ซึ่งจะได้รับผลตามสัญญาจะซื้อขายต้องเสียเปรียบ แม้จำเลยที่ 3, 4 ผู้รับโอนมิได้รู้ถึงความจริงนี้ แต่เมื่อเป็นการโอนให้โดยเสน่หา เพียงแต่จำเลยที่ 1 รู้ฝ่ายเดียวโจทก์ก็ชอบที่จะขอให้เพิกถอนได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1926/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนที่ดินช่วงสัญญาจะซื้อขาย & สิทธิในสิ่งปลูกสร้างบนที่ดิน การเพิกถอนนิติกรรม
จำเลยที่ 1 อยู่ในความดูแลของจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นพี่ ยอมให้จำเลยที่ 3 ดำเนินการให้มีการก่อสร้างตึกแถวขึ้นในที่ดินของจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 3 ได้ตกลงให้ผู้รับเหมาลงทุนก่อสร้างตึกแถวในที่ดินนั้นและให้ผู้รับเหมาเรียกเงินกินเปล่าจากผู้เช่าโดยตึกที่ก่อสร้างตกเป็นของเจ้าของที่ดิน แม้จำเลยที่ 3 จะได้รับประโยชน์ค่าหน้าดินและค่าเช่าเสียทั้งหมด ก็จะถือว่าจำเลยที่ 1 ผู้เป็นเจ้าของที่ดินได้ก่อให้เกิดสิทธิเหนือพื้นดินเป็นคุณแก่จำเลยที่ 3 โดยให้จำเลยที่ 3 มีสิทธิเป็นเจ้าของตึกที่ก่อสร้างขึ้นหาได้ไม่ ตึกนั้นเป็นส่วนควบของที่ดินของจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 1 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ไปทำสัญญาจะขายที่ดินของตนให้แก่โจทก์ระหว่างที่สัญญายังมีผลบังคับอยู่ จำเลยที่ 1 กลับโอนแบ่งที่ดินนั้นครึ่งหนึ่งให้แก่จำเลยที่ 2, 3 โดยเสน่หา การกระทำเช่นนี้ย่อมจะทำให้โจทก์ซึ่งจะได้รับผลตามสัญญาจะซื้อขายต้องเสียเปรียบ แม้จำเลยที่ 3, 4 ผู้รับโอนมิได้รู้ถึงความจริงนี้แต่เมื่อเป็นการโอนให้โดยเสน่หา เพียงแต่จำเลยที่ 1 รู้ฝ่ายเดียวโจทก์ก็ชอบที่จะขอให้เพิกถอนได้
จำเลยที่ 1 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ไปทำสัญญาจะขายที่ดินของตนให้แก่โจทก์ระหว่างที่สัญญายังมีผลบังคับอยู่ จำเลยที่ 1 กลับโอนแบ่งที่ดินนั้นครึ่งหนึ่งให้แก่จำเลยที่ 2, 3 โดยเสน่หา การกระทำเช่นนี้ย่อมจะทำให้โจทก์ซึ่งจะได้รับผลตามสัญญาจะซื้อขายต้องเสียเปรียบ แม้จำเลยที่ 3, 4 ผู้รับโอนมิได้รู้ถึงความจริงนี้แต่เมื่อเป็นการโอนให้โดยเสน่หา เพียงแต่จำเลยที่ 1 รู้ฝ่ายเดียวโจทก์ก็ชอบที่จะขอให้เพิกถอนได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1910/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเจ้าหนี้ในการเพิกถอนนิติกรรมหรือขอให้ศาลสั่งห้ามอ้างสิทธิจากสัญญาที่ลูกหนี้ทำเพื่อหลีกเลี่ยงการชำระหนี้
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองสมยอมกันทำสัญญากู้เงินย้อนหลังว่าจำเลยที่ 2 กู้เงินจำเลยที่ 1 แล้วทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาลจนศาลพิพากษาตามยอม ขอให้เพิกถอนคำพิพากษาหรือให้ถือว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินของจำเลยที่ 2ตามคำขอดังกล่าวหมายความว่า ถ้าเพิกถอนคำพิพากษาไม่ได้ก็ขออย่าให้มีหรืออ้างสิทธิตามคำพิพากษานั้น ซึ่งศาลอาจพิพากษาให้ได้ โดยไม่จำต้องเพิกถอนสัญญาและคำพิพากษาตามยอมเพราะสัญญาและคำพิพากษานั้นเป็นเรื่องระหว่างจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1910/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเจ้าหนี้ในการเพิกถอนนิติกรรมที่ลูกหนี้ทำเพื่อหลีกเลี่ยงชำระหนี้ และผลกระทบต่อสิทธิของเจ้าหนี้รายอื่น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองสมยอมกันทำสัญญากู้เงินย้อนหลังว่าจำเลยที่ 2 กู้เงินจำเลยที่ 1 แล้วทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาลจนศาลพิพากษาตามยอม ขอให้เพิกถอนคำพิพากษาหรือให้ถือว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินของจำเลยที่ 2ตามคำขอดังกล่าวหมายความว่า ถ้าเพิกถอนคำพิพากษาไม่ได้ก็ขออย่าให้มีหรืออ้างสิทธิตามคำพิพากษานั้น ซึ่งศาลอาจพิพากษาให้ได้ โดยไม่จำต้องเพิกถอนสัญญาและคำพิพากษาตามยอมเพราะสัญญาและคำพิพากษานั้นเป็นเรื่องระหว่างจำเลย