คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 237

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 568 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 811/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการโอนทรัพย์เพื่อหลีกเลี่ยงหนี้สิน แม้ผู้รับโอนไม่รู้เรื่อง ศาลมีอำนาจชี้ขาดในชั้นบังคับคดี
การที่จำเลยโอนทรัพย์ให้ผู้ร้องโดยเสน่หาเพื่อหลีกเลี่ยงการชำระหนี้ทำให้โจทก์เสียเปรียบนั้นแม้จะฟังว่าผู้ร้องไม่รู้ถึงข้อความจริงที่ทำให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบก็ดีโจทก์ก็ขอให้เพิกถอนการโอนนั้นเสียได้
ในชั้นบังคับคดีร้องขัดทรัพย์นั้น หากโจทก์อ้างว่าผู้ร้องได้ทรัพย์นั้นมาโดยไม่สุจริตเป็นการหลีกเลี่ยงการชำระหนี้โจทก์แล้วศาลก็มีอำนาจชี้ขาดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 ได้โดยไม่ต้องให้โจทก์ไปดำเนินคดีฟ้องร้อง ขอให้ทำลายการโอนหรือเพิกถอนการฉ้อฉลเสียก่อนแต่ประการใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 811/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการโอนทรัพย์เพื่อหลีกเลี่ยงหนี้สิน แม้ผู้รับโอนไม่รู้ตัว
การที่จำเลยโอนทรัพย์ให้ผู้ร้องโดยเสน่หาเพื่อหลีกเลี่ยงการชำระหนี้ ทำให้โจทก์เสียเปรียบนั้น แม้จะฟังว่าผู้ร้องไม่รู้ถึงข้อความจริงที่ทำให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบก็ดี โจทก์ก็ขอให้เพิกถอนการโอนนั้นเสียได้
ในชั้นบังคับคดีร้องขัดทรัพย์นั้น หากโจทก์อ้างว่าผู้ร้องได้ทรัพย์นั้นมาโดยไม่สุจริต เป็นการหลีกเลี่ยงการชำระหนี้โจทก์แล้ว ศาลก็มีอำนาจชี้ขาดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 237 ได้โดยไม่ต้องให้โจทก์ไปดำเนินคดีฟ้องร้อง ขอให้ทำลายการโอนหรือเพิกถอนการฉ้อฉลเสียก่อนแต่ประการใด.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 419/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความเนื่องจากฉ้อฉลและการสมยอมกันเพื่อทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ
โจทก์มีอำนาจฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนทำลายสัญญาประนีประนอมยอมความในศาลที่จำเลยสมยอมกันทำขึ้นเพื่อการฉ้อฉลให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 1 เสียเปรียบได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 419/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความที่เกิดจากการสมยอมฉ้อฉลเจ้าหนี้
โจทก์มีอำนาจฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนทำลายสัญญาประนีประนอมยอมความในศาลที่จำเลยสมยอมกันทำขึ้นเพื่อการฉ้อฉลให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 1 เสียเปรียบได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 416/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนนิติกรรมฉ้อฉลและการบังคับคดีร่วมกันของจำเลยทั้งสอง
บรรยายฟ้องว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ไปซื้อสวน จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้ไว้กับโจทก์โดยลงไว้ในสัญญาว่าเอาที่สวนนั้นเป็นประกัน จำเลยผิดนัดไม่ชำระเงินกู้โจทก์ทวงให้ชำระหรือมิฉะน้นก็ให้โอนที่สวนให้โจทก์ จำเลยบิดพลิ้ว แล้วโจทก์ทราบว่าจำเลยที่ 1 ทำนิติกรรมยกที่สวนนั้นให้จำเลยที่ 2 โจทก์จึงรู้สึกว่าจำเลยทั้งสองทำการสมยอมกันฉ้อโกงโจทก์ ขอให้ศาลสั่งขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 ไว้แล้ว (จำเลยอ้างว่ามิได้บรรยายให้แจ้งชัดว่าการโอนระหว่างจำเลยที่ 1 กับที่ 2 เป็นการฉ้อฉล ทำให้โจทก์เสียเปรียบ)
คำขอท้ายฟ้องว่า ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองให้ร่วมกันใช้เงินต้นและดอกเบี้ย ถ้าไม่สามารถชำระเงิน ก็ให้จำเลยโอนที่สวนที่เอาเป็นประกันให้โจทก์ตามสัญญา โดยขอให้ศาลสั่งเพิกถอนหรือทำลายนิติกรรมยกให้ระหว่างจำเลยทั้งสองเสีย ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้เงิน กับให้เพิกถอนนิติกรรมยกที่สวนให้ระหว่างจำเลยทั้งสองนั้น ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ เพราะคำขอท้ายฟ้องนั้นไม่ได้หมายความว่าจะต้องบังคับคดีให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินก่อน เมื่อไม่สามารถชำระเงินแล้วจึงจะเพิกถอนนิติกรรมได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 416/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนนิติกรรมฉ้อโกงและการบังคับคดี: สิทธิของเจ้าหนี้ในการขอเพิกถอนนิติกรรมได้พร้อมกับการเรียกร้องเงินกู้
บรรยายฟ้องว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ไปซื้อสวน จำเลยที่ 1ทำสัญญากู้ไว้กับโจทก์โดยลงไว้ในสัญญาว่าเอาที่สวนนั้นเป็นประกันจำเลยผิดนัดไม่ชำระเงินกู้โจทก์ทวงให้ชำระหรือมิฉะนั้นก็ให้โอนที่สวนให้โจทก์จำเลยบิดพลิ้วแล้วโจทก์ทราบว่าจำเลยที่ 1 ทำนิติกรรมยกที่สวนนั้นให้จำเลยที่ 2 โจทก์จึงรู้สึกว่าจำเลยทั้งสองทำการสมยอมกันฉ้อโกงโจทก์ขอให้ศาลสั่งเพิกถอนนิติกรรมนั้นเป็นการตั้งประเด็นขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 ไว้แล้ว (จำเลยอ้างว่ามิได้บรรยายให้แจ้งชัดว่าการโอนระหว่างจำเลยที่ 1 กับที่ 2 เป็นการฉ้อฉล ทำให้โจทก์เสียเปรียบ)
คำขอท้ายฟ้องว่า ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองให้ร่วมกันใช้เงินต้นและดอกเบี้ยถ้าไม่สามารถชำระเงินก็ให้จำเลยโอนที่สวนที่เอาเป็นประกันให้โจทก์ตามสัญญาโดยขอให้ศาลสั่งเพิกถอนหรือทำลายนิติกรรมยกให้ระหว่างจำเลยทั้งสองเสียศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้เงิน กับให้เพิกถอนนิติกรรมยกที่สวนให้ระหว่างจำเลยทั้งสอง นั้นไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ เพราะคำขอท้ายฟ้องนั้นไม่ได้หมายความว่าจะต้องบังคับคดีให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินก่อนเมื่อไม่สามารถชำระเงินแล้วจึงจะเพิกถอนนิติกรรมได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 334/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเจ้าหนี้จำนอง vs. กรรมสิทธิ์ร่วม: การบังคับชำระหนี้และการโต้แย้งสิทธิ
จำเลยที่ 2 กู้เงินโจทก์และได้มอบโฉนดที่ดินซึ่งมีชื่อจำเลยที่ 2 ให้โจทก์ยึดไว้เมื่อทำสัญญากู้เงิน ต่อมาจำเลยที่ 1 ฟ้องจำเลยที่ 2 อ้างว่าจำเลยที่ 1 มีกรรมสิทธิ์รวมอยู่ในที่ดินนั้น ดัรงนี้ ตราบใดที่โจทก์ยังมิได้นำยึดที่ดินตามโฉนดนั้นเพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์ก็ยังไม่มีสิทธิเกี่ยวข้องอย่างใดที่จะบังคับทวงหนี้เอากับที่ดินนั้น การที่จำเลยที่ 1 ฟ้องจำเลยที่ 2 นั้น จึงยังไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 และการที่จำเลยที่ 1 ฟ้องจำเลยที่ 2 เช่นนั้น และจำเลยที่ 2 ให้การรับว่าจำเลยที่ 1 มีส่วนอยู่ในที่ดินด้วยก็ไม่เป็นการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 เพราะจำเลยที่ 2 ยังมิได้ทำนิติกรรมแต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 334/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเจ้าหนี้จำนอง vs. สิทธิกรรมสิทธิ์รวม: โจทก์ยังไม่มีสิทธิฟ้องหากไม่ยึดทรัพย์
จำเลยที่ 2 กู้เงินโจทก์และได้มอบโฉนดที่ดินซึ่งมีชื่อจำเลยที่ 2 ให้โจทก์ยึดไว้เมื่อทำสัญญากู้เงินต่อมาจำเลยที่ 1 ฟ้องจำเลยที่ 2 อ้างว่าจำเลยที่1 มีกรรมสิทธิ์รวมอยู่ในในที่ดินนั้น ดังนี้ ตราบใดที่โจทก์ยังมิได้นำยึดที่ดินตามโฉนดนั้นเพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาโจทก์ก็ยังไม่มีสิทธิเกี่ยวข้องอย่างใดที่จะบังคับชำระหนี้เอากับที่ดินนั้นการที่จำเลยที่ 1 ฟ้องจำเลยที่ 2 นั้น จึงยังไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 และการที่จำเลยที่ 1 ฟ้องจำเลยที่ 2 เช่นนั้นและจำเลยที่ 2 ให้การรับว่าจำเลยที่ 1 มีส่วนอยู่ในที่ดินด้วยก็ไม่เป็นการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 237เพราะจำเลยที่ 2 ยังมิได้ทำนิติกรรมแต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 228/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขัดทรัพย์และการฉ้อฉล: ศาลมีอำนาจวินิจฉัยเรื่องฉ้อฉลในชั้นขัดทรัพย์ได้ แม้ไม่ใช่ประเด็นหลัก
ผู้ร้องขัดทรัพย์ว่าทรัพย์ที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้องโจทก์ต่อสู้ว่าทรัพย์นั้นเป็นของจำเลยทั้งนั้นไม่ใช่ของผู้ร้อง ที่ผู้ร้องร้องขัดทรัพย์ก็เพื่ออุบายฉ้อโกงไม่ชำระหนี้แก่โจทก์เท่านั้น ดังนี้ ย่อมมีความหมายอยู่ในตัวแล้วว่าอย่างน้อยก็เป็นการสมยอมกัน เป็นการฉ้อฉล การที่ศาลยกประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 ขึ้นวินิจฉัยจึงไม่ใช่นอกฟ้องนอกประเด็น (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 11/2505)
เรื่องการฉ้อฉลนี้ศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยในชั้นร้องขัดทรัพย์ดังกล่าวแล้วได้และเมื่อฟังว่าการโอนทรัพย์ระหว่างจำเลย (สามี) กับผู้ร้อง (ภรรยา) เป็นการฉ้อฉลตามมาตรา 237 ก็มีอำนาจที่จะพิพากษาว่าโจทก์นำยึดทรัพย์รายนี้ได้ ผู้ร้องไม่ชอบที่จะมาร้องขัดทรัพย์และเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ผู้ร้องจะโต้แย้งว่าเป็นเรื่องของโจทก์ที่จะขอแบ่งแยกสินบริคณห์แล้วนำยึดเฉพาะส่วนของจำเลยดังนี้ ย่อมฟังไม่ขึ้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 228/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฉ้อฉลในการโอนทรัพย์สินและการบังคับคดี: ศาลมีอำนาจวินิจฉัยการฉ้อฉลในชั้นบังคับคดีได้
ผู้ร้องร้องขัดทรัพย์ว่าทรัพย์ที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้อง โจทก์ต่อสู้ว่าทรัพย์นั้นเป็นของจำเลยทั้งนั้นไม่ใช่ของผู้ร้อง ที่ผู้ร้องร้องขัดทรัพย์ก็เพื่ออุบายฉ้อโกงไม่ชำระหนี้แก่โจทก์เท่านั้น ดังนี้ ย่อมมีความหมายอยู่ในตัวแล้วว่าอย่างน้อยก็เป็นการสมยอมกัน เป็นการฉ้อฉล การที่ศาลยกประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 ขึ้นวินิจฉัยจึงไม่ใช่นอกฟ้องนอกประเด็น
ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 11/2505)
เรื่องการฉ้อฉลนี้ศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยในชั้นร้องขัดทรัพย์ดังกล่าวแล้ว และเมื่อฟังว่าการโอนทรัพย์ระหว่างจำเลย (สามี) กับผู้ร้อง (ภรรยา) เป็นการฉ้อฉลตามมาตรา 237 ก็มีอำนาจที่จะพิพากษาว่าโจทก์นำยึดทรัพย์รายนี้ได้ ผู้ร้องไม่ชอบที่จะมาร้องขัดทรัพย์ และเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ผู้ร้องจะโต้แย้งว่าเป็นเรื่องของโจทก์ที่จะขอแบ่งแยกสินบริคณห์แล้วนำยึดเฉพาะส่วนของจำเลย ดังนี้ย่อมฟังไม่ขึ้น
of 57