คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 249 วรรคหนึ่ง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 691 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1039/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตอำนาจศาลอุทธรณ์, หนังสือมอบอำนาจ, หลักฐานเอกสารต่างประเทศ: การพิจารณาคดีค่าเสียหายและการรับฟังพยานหลักฐาน
โจทก์ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ฟ้องขอให้จำเลยผู้ทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสามใช้ค่าเสียหายรวมเป็นเงิน 91,380 บาท โดยโจทก์ที่ 2เรียกร้องเป็นเงิน 8,275 บาท โจทก์ที่ 3 เรียกร้องเป็นเงิน 12,921 บาทและโจทก์ที่ 4 เรียกร้องค่าเสียหายเกี่ยวกับรถของตนเองเป็นเงิน 70,184 บาทดังนี้ไม่ใช่โจทก์ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 เป็นเจ้าหนี้ร่วม แต่เป็นเรื่องที่โจทก์แต่ละคนฟ้องให้จำเลยรับผิดใช้ค่าเสียหายแยกจากกัน จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามจำนวนเงินที่โจทก์แต่ละคนเรียกร้องให้จำเลยรับผิดมาดังกล่าวเท่านั้น เมื่อคดีในส่วนของโจทก์ที่ 2 ที่ 3 มีทุนทรัพย์ไม่เกิน 20,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง การที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้จึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาจำเลยไม่มีสิทธิที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงในส่วนของโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ต่อมาได้แม้จำเลยจะให้ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลอุทธรณ์รับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริงมาแล้วก็ตาม
โจทก์ที่ 2 ผู้มอบอำนาจจะลงชื่อในหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีแต่ฝ่ายเดียว โจทก์ที่ 1 มิได้ลงชื่อในฐานะผู้รับมอบอำนาจด้วยก็ใช้ได้เพราะไม่มีกฎหมายบังคับให้ผู้รับมอบอำนาจต้องลงชื่อด้วย และแม้ขณะที่โจทก์ที่ 1ยื่นฟ้องคดีแทนโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ตามหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ที่ 2 และที่ 3นั้นจะมิได้ปิดแสตมป์ให้บริบูรณ์ตามกฎหมาย แต่เมื่อโจทก์ที่ 1 ที่ 2 และที่ 3ได้อ้างส่งเอกสารดังกล่าวเป็นพยาน ก็ได้ปิดแสตมป์ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว หนังสือมอบอำนาจดังกล่าวจึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานว่าโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ได้มอบอำนาจให้โจทก์ที่ 1 ฟ้องคดีนี้ มิใช่กรณีที่หนังสือมอบอำนาจไม่สมบูรณ์มาแต่ต้นอันจะทำให้ฟ้องสำหรับคดีโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมายแต่อย่างใด โจทก์ที่ 1จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยแทนโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ตามหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ที่ 2และที่ 3 ได้
แม้ใบเสร็จรับเงินจะเป็นภาษาต่างประเทศบางส่วน ไม่มีคำแปลภาษาต่างประเทศดังกล่าวให้เป็นภาษาไทย ก็เป็นเรื่องที่ศาลเห็นสมควรจะสั่งให้ทำคำแปลตาม ป.วิ.พ.มาตรา 46 วรรคสาม หรือไม่ เมื่อศาลมิได้สั่งให้โจทก์ที่ 2 ทำคำแปล โจทก์ที่ 2 ก็ไม่จำเป็นต้องทำคำแปล ศาลรับฟังเอกสารดังกล่าวได้ หาขัดต่อกฎหมายดังกล่าวข้างต้นไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1039/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำกัดสิทธิอุทธรณ์คดีทุนทรัพย์น้อยกว่า 20,000 บาท และอำนาจฟ้องแทน
โจทก์ที่2ที่3และที่4ฟ้องขอให้จำเลยผู้ทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสามใช้ค่าเสียหายรวมเป็นเงิน91,380บาทโดยโจทก์ที่2เรียกร้องเป็นเงิน8,275บาทโจทก์ที่3เรียกร้องเป็นเงิน12,921บาทและโจทก์ที่4เรียกร้องค่าเสียหายเกี่ยวกับรถของตนเองเป็นเงิน70,184บาทดังนี้ไม่ใช่โจทก์ที่2ที่3และที่4เป็นเจ้าหนี้ร่วมแต่เป็นเรื่องที่โจทก์แต่ละคนฟ้องให้จำเลยรับผิดใช้ค่าเสียหายแยกจากกันจึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามจำนวนเงินที่โจทก์แต่ละคนเรียกร้องให้จำเลยรับผิดมาดังกล่าวเท่านั้นเมื่อคดีในส่วนของโจทก์ที่2ที่3มีทุนทรัพย์ไม่เกิน20,000บาทจึงต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงการที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้จึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาจำเลยไม่มีสิทธิที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงในส่วนของโจทก์ที่2และที่3ต่อมาได้แม้จำเลยจะให้ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลอุทธรณ์รับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริงมาแล้วก็ตาม โจทก์ที่2ผู้มอบอำนาจจะลงชื่อในหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีแต่ฝ่ายเดียวโจทก์ที่1มิได้ลงชื่อในฐานะผู้รับมอบอำนาจด้วยก็ใช้ได้เพราะไม่มีกฎหมายบังคับให้ผู้รับมอบอำนาจต้องลงชื่อด้วยและแม้ขณะที่โจทก์ที่1ยื่นฟ้องคดีแทนโจทก์ที่2และที่3ตามหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ที่2และที่3นั้นจะมิได้ปิดแสตมป์ให้บริบูรณ์ตามกฎหมายแต่เมื่อโจทก์ที่1ที่2แบะที่3ได้อ้างส่งเอกสารดังกล่าวเป็นพยานก็ได้ปิดแสตมป์ครบถ้วนบริบูรณ์แล้วหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวจึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานว่าโจทก์ที่2และที่3ได้มอบอำนาจให้โจทก์ที่1ฟ้องคดีนี้มิใช่กรณีที่หนังสือมอบอำนาจไม่สมบูรณ์มาแต่ต้นอันจะทำให้ฟ้องสำหรับคดีโจทก์ที่2และที่3ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมายแต่อย่างใดโจทก์ที่1จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยแทนโจทก์ที่2และที่3ตามหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ที่2และที่3ได้ แม้ใบเสร็จรับเงินจะเป็นภาษาต่างประเทศบางส่วนไม่มีคำแปลภาษาต่างประเทศดังกล่าวให้เป็นภาษาไทยก็เป็นเรื่องที่ศาลเห็นสมควรจะสั่งให้ทำคำแปลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา46วรรคสามหรือไม่เมื่อศาลมิได้สั่งให้โจทก์ที่2ทำคำแปลโจทก์ที่2ก็ไม่จำเป็นต้องทำคำแปลศาลรับฟังเอกสารดังกล่าวได้หาขัดต่อกฎหมายดังกล่าวข้างต้นไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 880/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดในการฎีกาเรื่องค่าตัวแทนซื้อขายที่ดิน: การยกข้อเท็จจริงใหม่ที่ไม่เคยว่ากันในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
ข้อเท็จจริงที่ว่าตามธรรมเนียมประเพณีของการซื้อขายที่ดินในปัจจุบันโจทก์ควรได้ค่านายหน้าไม่เกินร้อยละ3ของราคาซื้อขายที่ดินนั้นจำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์แม้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลอุทธรณ์จะรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริงดังกล่าวก็ตามแต่ข้อเท็จจริงที่จะรับรองให้ฎีกาได้นั้นจะต้องเป็นข้อที่ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ด้วยกรณีจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่งทั้งปัญหาดังกล่าวมิได้เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 880/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการฎีกาในประเด็นที่มิได้ว่ากันในศาลชั้นต้นและอุทธรณ์
ข้อเท็จจริงที่ว่าตามธรรมเนียมประเพณีของการซื้อขายที่ดินในปัจจุบันโจทก์ควรได้ค่านายหน้าไม่เกินร้อยละ 3 ของราคาซื้อขายที่ดินนั้น จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้ จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แม้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลอุทธรณ์จะรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริงดังกล่าวก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงที่จะรับรองให้ฎีกาได้นั้นจะต้องเป็นข้อที่ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ด้วย กรณีจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ทั้งปัญหาดังกล่าวมิได้เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 837/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิผ่านทางจำเป็นและค่าทดแทน: เงื่อนไขการใช้สิทธิและการกำหนดค่าเสียหาย
ที่ดินของโจทก์ติดกับลำรางสาธารณะ แต่ลำรางไม่มีน้ำที่จะใช้เป็นทางสัญจรทางเรือตลอดเวลา เพราะบางฤดูน้ำแห้งและเป็นโคลน มีสภาพตื้นเขินประชาชนที่อาศัยอยู่ตามริมลำรางไม่ได้ใช้เป็นทางสัญจรมาประมาณ 10 ปีแล้ว จึงไม่เป็นทางสาธารณะตาม ป.พ.พ.มาตรา 1349 ที่ดินของโจทก์มีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ โจทก์จึงมีสิทธิผ่านที่ดินของจำเลยในฐานะเป็นทางจำเป็นเพื่อออกไปสู่ทางสาธารณะที่ใกล้ที่สุดได้ โดยให้โจทก์มีสิทธิในทางเพียงเพื่อความจำเป็นในการเข้าออกที่ดินตามปกติที่มิใช่การค้า
จำเลยฎีกาว่าทางในที่ดินของจำเลยเป็นถนนส่วนบุคคลไม่ใช่ที่ดินว่างเปล่า จึงไม่มีกฎหมายในเรื่องทางจำเป็นที่จะบังคับให้จำเลยยินยอมให้โจทก์ใช้ถนนของจำเลยได้ โดยจำเลยมิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคำให้การ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ และมิใช่ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องห้ามฎีกาตามป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
ฟ้องขอให้บังคับจำเลยเปิดทางจำเป็น และได้เสนอค่าทดแทนความเสียหายให้แก่จำเลยและจำเลยให้การต่อสู้ในข้อนี้ แต่คำขอท้ายฟ้องของโจทก์มิได้ขอให้บังคับจำเลยรับเงินค่าทดแทนความเสียหายที่โจทก์ใช้ที่ดินของจำเลยและจำเลยก็มิได้ฟ้องแย้งเรียกร้องค่าทดแทนดังกล่าวว่าควรจะเป็นจำนวนเท่าใดที่โจทก์ฎีกาว่า ค่าทดแทนความเสียหายที่โจทก์ใช้ที่ดินของจำเลยตามที่โจทก์เสนอมาพอสมควรหรือไม่ ซึ่งศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าค่าทดแทนที่โจทก์เสนอมาเป็นจำนวนน้อยไม่คุ้มกับความเสียหายที่จำเลยจะได้รับและข้อเท็จจริงยังไม่เพียงพอที่จะกำหนดค่าทดแทนนั้น ศาลฎีกาจึงยังไม่วินิจฉัยให้ ชอบที่จำเลยจะว่ากล่าวเอาแก่โจทก์ในเรื่องค่าทดแทนความเสียหายเป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก
แม้ ป.พ.พ.มาตรา 1352 จะบัญญัติว่าเจ้าของที่ดินต้องยอมให้ผู้อื่นวางท่อน้ำ ท่อระบายน้ำ สายไฟฟ้า หรือสิ่งอื่นซึ่งคล้ายกันผ่านที่ดินของตนเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินติดต่อก็ตาม แต่ความในมาตรานี้ก็บัญญัติไว้ด้วยว่าเจ้าของที่ดินจะต้องยอมก็ต่อเมื่อได้รับค่าทดแทนตามสมควรแล้ว ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้ที่จะวางต้องบอกกล่าวเสนอจำนวนค่าทดแทนให้เจ้าของที่ดินทราบก่อน ตามคำฟ้องไม่ปรากฏว่าก่อนฟ้องคดีโจทก์เคยบอกกล่าวเสนอค่าทดแทนแก่จำเลย ทั้งคำขอท้ายฟ้องโจทก์ก็มิได้ขอให้จำเลยรับเงินค่าทดแทนจากโจทก์ คดีจึงไม่มีประเด็นว่าโจทก์ชอบที่จะใช้สิทธิตาม ป.พ.พ.มาตรา 1352 ได้หรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 791/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สำคัญผิด/หลอกลวง นิติกรรมซื้อขายตกเป็นโมฆะ อำนาจฟ้องโจทก์ที่ 2
โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์ที่1กับจำเลยที่1ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ที่1ทำนิติกรรมขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่1โดยสำคัญผิดว่าเป็นนิติกรรมการจดทะเบียนจำนองเพิ่มวงเงินตามคำหลอกลวงของจำเลยที่1กับสามีนิติกรรมระหว่างโจทก์ที่1กับจำเลยที่1จึงตกเป็นโมฆะแล้วพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์ที่1กับจำเลยที่1เท่านั้นนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเช่นนี้เท่ากับศาลอุทธรณ์ยังคงพิพากษายกฟ้องโจทก์ที่2ที่จำเลยที่1ฎีกาว่าโจทก์ที่2ไม่มีอำนาจฟ้องจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 670/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงวันที่ในเช็ค - ข้อจำกัดการสืบพยานในชั้นอุทธรณ์และฎีกา
โจทก์ฟ้องว่า จ. ได้สลักหลังโอนเช็คพิพาทชำระหนี้แก่โจทก์โดยเช็คดังกล่าวจำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายแล้วนำมาแลกเงินสดไปจากจ. เมื่อวันที่5ธันวาคม2532แต่จำเลยลงวันที่สั่งจ่ายผิดไปเป็นวันที่5มกราคม2532ความจริงเป็นวันที่5มกราคม2533จำเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธทั้งในชั้นพิจารณาเมื่อโจทก์นำพยานเข้าสืบในประเด็นนี้จำเลยก็ไม่ได้นำสืบโต้แย้งหรือคัดค้านฎีกาจำเลยที่ว่าโจทก์นำพยานบุคคลเข้าสืบเพื่อเปลี่ยนแปลงวันที่สั่งจ่ายจากวันที่5มกราคม2532เป็นวันที่5มกราคม2533ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา94(ข)จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นแม้จำเลยจะยกขึ้นในชั้นอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้จำเลยก็ไม่มีสิทธิฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 555/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางละเมิดจากความประมาทเลินเล่อ, การต่อสู้คดีนอกคำให้การ, และการนับอายุความ
ในการยื่นคำให้การกฎหมายบัญญัติไว้แต่เพียงว่าให้จำเลยแสดงโดยแจ้งชัดในคำให้การว่าจำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 177 วรรคสอง สำหรับเหตุแห่งการปฏิเสธนั้นกฎหมายมิได้บังคับว่าหากจำเลยหลายคนถูกฟ้องให้รับผิดร่วมกันแล้วจำเลยทุกคนจะต้องอ้างเหตุเหมือนกันหรือสอดคล้องต้องกัน ดังนั้นจำเลยแต่ละคนจึงมีสิทธิที่จะให้การต่อสู้คดีอย่างไรก็ได้ ไม่ต้องคำนึงว่าคำให้การของตนจะขัดแย้งกับคำให้การของจำเลยอื่นหรือไม่ กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่า คำให้การของจำเลยที่ 4ขัดแย้งกับคำให้การของจำเลยที่ 5 หรือไม่
จำเลยที่ 3 ปฏิบัติฝ่าฝืนระเบียบกรมวิทยาศาสตร์ทหารเรือที่ 2กล่าวคือ ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่เป็นนายทหารเวรเวลาเกิดเหตุได้เปิดประตูเข้าไปในห้องปฏิบัติงานโดยไม่มีเหตุอันควรและไม่มีเหตุจำเป็นถึง 2 ครั้ง โดยไม่ปรากฏว่ามีหัวหน้าเวร 1 คน และเสมียนเวร 1 คน ร่วมเป็นพยานรู้เห็นด้วย ทั้งไม่ได้ลงปูมไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งนอกจากจะปฏิบัติหน้าที่ผิดระเบียบวินัยแล้ว ยังประมาทเลินเล่ออีกด้วย เมื่อคนร้ายเข้าไปทางประตูที่จำเลยที่ 3 เปิดทิ้งไว้ และลักเอาเบ้าแพลทินัมจำนวน 4 เบ้าของโจทก์ไป จำเลยที่ 3 จึงต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์
เฉพาะจำเลยที่ 2 เท่านั้นที่ให้การต่อสู้คดีว่าฟ้องโจทก์เกี่ยวกับค่าเสียหายเคลือบคลุม จำเลยที่ 3 มิได้หยิบยกปัญหานี้ขึ้นต่อสู้เป็นประเด็นในคำให้การด้วย จำเลยที่ 3 จึงไม่มีสิทธิยกปัญหานี้ขึ้นอ้างในชั้นฎีกาเพราะนอกเหนือคำให้การของตน และถือว่าจำเลยที่ 3 มิได้ยกปัญหาดังกล่าวขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
อายุความเป็นระยะเวลาอย่างหนึ่ง การนับอายุความเป็นปีจึงต้องบังคับตาม ป.พ.พ.มาตรา 158 เดิม ประกอบด้วยมาตรา 159 วรรคสองเดิม กล่าวคือ มิให้นับวันที่ 23 ธันวาคม 2529 ซึ่งเป็นวันแรกรวมคำนวณเข้าด้วยเพราะมิได้มีการเริ่มอะไรในวันนั้น ต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2529เป็นต้นไป โจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 23 ธันวาคม 2530 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่จะครบ 1 ปีคดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 555/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความประมาทเลินเล่อในการรักษาทรัพย์สิน และการพิสูจน์ความรับผิดทางแพ่ง การกำหนดราคาค่าเสียหายตามราคาตลาด
ในการยื่นคำให้การกฎหมายบัญญัติไว้แต่เพียงว่าให้จำเลยแสดงโดยแจ้งชัดในคำให้การว่าจำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสอง สำหรับเหตุแห่งการปฏิเสธนั้นกฎหมายมิได้บังคับว่าหากจำเลยหลายคนถูกฟ้องให้รับผิดร่วมกันแล้วจำเลยทุกคนจะต้องอ้างเหตุเหมือนกันหรือสอดคล้องต้องกันดังนั้นจำเลยแต่ละคนจึงมีสิทธิที่จะให้การต่อสู้คดีอย่างไรก็ได้ ไม่ต้องคำนึงว่าคำให้การของตนจะขัดแย้งกับคำให้การของจำเลยอื่นหรือไม่ กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าคำให้การของจำเลยที่ 4 ขัดแย้งกับคำให้การของจำเลยที่ 5 หรือไม่ จำเลยที่ 3 ปฏิบัติฝ่าฝืนระเบียบกรมวิทยาศาสตร์ทหารเรือที่ 2 กล่าวคือ ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่เป็นนายทหารเวรเวลาเกิดเหตุได้เปิดประตูเข้าไปในห้องปฏิบัติงานโดยไม่มีเหตุอันควรและไม่มีเหตุจำเป็นถึง 2 ครั้ง โดยไม่ปรากฏว่ามีหัวหน้าเวร 1 คน และเสมียนเวร 1 คน ร่วมเป็นพยานรู้เห็นด้วย ทั้งไม่ได้ลงปูมไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งนอกจากจะปฏิบัติหน้าที่ผิดระเบียบวินัย ยังประมาทเลินเล่ออีกด้วยเมื่อคนร้ายเข้าไปทางประตูที่จำเลยที่ 3 เปิดทิ้งไว้และลักเอาเบ้าแพลทินัมจำนวน 4 เบ้าของโจทก์ไป จำเลยที่ 3จึงต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ เฉพาะจำเลยที่ 2 เท่านั้นที่ให้การต่อสู้คดีว่าฟ้องโจทก์เกี่ยวกับค่าเสียหายเคลือบคลุม จำเลยที่ 3 มิได้หยิบยกปัญหานี้ขึ้นต่อสู้เป็นประเด็นในคำให้การด้วย จำเลยที่ 3จึงไม่มีสิทธิยกปัญหานี้ขึ้นอ้างในชั้นฎีกาเพราะนอกเหนือคำให้การของตน และถือว่าจำเลยที่ 3 มิได้ยกปัญหาดังกล่าวขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ อายุความเป็นระยะเวลาอย่างหนึ่ง การนับอายุความเป็นปีจึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 158 เดิมประกอบด้วยมาตรา 159 วรรคสอง เดิม กล่าวคือ มิให้นับวันที่23 ธันวาคม 2529 ซึ่งเป็นวันแรกรวมคำนวณเข้าด้วยเพราะมิได้มีการเริ่มอะไรในวันนั้น ต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2529 เป็นต้นไป โจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 23 ธันวาคม 2530 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่จะครบ 1 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 528/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีซื้อขายที่ดิน: ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงยุติแล้ว แม้ฎีกาปัญหาข้อกฎหมายก็ไม่กระทบผลคดี
คดีต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่งที่จำเลยฎีกาปัญหาข้อกฎหมายว่าการที่จำเลยไม่ยอมรับแคชเชียร์เช็คแทนการชำระหนี้ด้วยเงินสดจากโจทก์ในวันที่16พฤศจิกายน2531จะถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาหาได้ไม่นั้นเมื่อศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าในวันที่16พฤศจิกายน2531โจทก์พร้อมที่จะชำระราคาที่ดินให้แก่จำเลยและรับโอนกรรมสิทธิ์แต่จำเลยกลับเป็นฝ่ายที่ไม่พร้อมที่จะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์เพราะที่ดินที่ขายติดจำนองและจำเลยมิได้ติดต่อกับผู้รับจำนองเพื่อให้ผู้รับจำนองนำโฉนดที่ดินและเอกสารมาที่สำนักงานที่ดินเพื่อจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองและโอนขายให้แก่โจทก์จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาดังนั้นไม่ว่าผลแห่งคำวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามฏีกาของจำเลยจะออกมาในรูปใดก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังเป็นยุติแล้วได้ผลแห่งคดีก็คงเป็นเช่นเดิมปัญหาข้อกฎหมายตามที่จำเลยฎีกาจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย
of 70