พบผลลัพธ์ทั้งหมด 691 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5306/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเรียกค่าจ้างตามสัญญา แม้จำเลยอ้างไม่ได้รับประโยชน์จากโควตา ก็ยังต้องรับผิดตามสัญญา
ตามคำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติมภายหลังสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วของจำเลยที่ 1 และที่ 2 อ้างว่าพยานที่จะขอสืบเพิ่มเติมเป็นพยานสำคัญเพื่อแสดงว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับโควตาส่งออกตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ ตามข้ออ้างดังกล่าวเป็นที่เห็นได้ว่ามิใช่เป็นพยานหลักฐานที่จะชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็น เพราะโจทก์ฟ้องเรียกค่าตอบแทนหรือค่าจ้างจากสัญญาที่โจทก์ได้จัดการให้จำเลยแล้ว ส่วนจำเลยจะได้รับประโยชน์หรือไม่ จึงมิใช่ข้อสำคัญแห่งประเด็น ศาลล่างทั้งสองให้ยกคำร้องจำเลยที่ 1 และที่ 2ชอบแล้ว
ส่วนที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 อ้างว่าพยานดังกล่าวเป็นพยานสำคัญเพราะจะได้สนับสนุนให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 มิได้รู้เห็นขณะทำสัญญานั้นจำเลยที่ 1 และที่ 2 ก็มิได้กล่าวอ้างมาแต่ในศาลล่างทั้งสอง เพิ่งจะมากล่าวอ้างในชั้นฎีกาศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ได้เชิดจำเลยที่ 3 เป็นตัวแทน ในชั้นอุทธรณ์จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้อุทธรณ์โต้แย้งประเด็นข้อนี้ต่อศาลอุทธรณ์โดยตรง คงอุทธรณ์แต่เพียงว่าโจทก์ไม่ได้ฟ้องเรื่องตัวแทน การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ได้เชิดจำเลยที่ 3เป็นตัวแทนในการทำสัญญา จึงยังคลาดเคลื่อนต่อกฎหมาย ซึ่งศาลอุทธรณ์ก็ได้วินิจฉัยข้ออุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ดังกล่าวว่าตามคำฟ้องโจทก์ถือได้ว่าเป็นการฟ้องว่าจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ได้เชิดจำเลยที่ 3 เป็นตัวแทนแล้วข้อฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในข้อนี้จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงที่มิได้ว่ากันมาในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด จำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ แต่จำเลยที่ 3 อ้างว่าเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากับโจทก์ ให้โจทก์ช่วยยื่นคำขอและวิ่งเต้นขออนุญาตโควตาสิ่งทอเพื่อส่งไปจำหน่ายยังประเทศสหรัฐอเมริกา โดยให้ค่าตอบแทนโหลละ30 บาท โจทก์ได้จัดการติดต่อให้จำเลยที่ 1 ได้รับโควตา จึงเรียกเงินค่าตอบแทนเป็นการฟ้องเรียกเงินค่าตอบแทนหรือค่าจ้างในการที่โจทก์ได้จัดการให้จำเลยที่ 1ตามสัญญา เมื่อโจทก์ได้ปฏิบัติตามสัญญาเรียบร้อยแล้วย่อมมีสิทธิจะได้รับเงินค่าตอบแทนตามสัญญา
การที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าไม่ได้รับประโยชน์จากโควตา และเรียกเก็บเงินจากการขายสินค้าไม่ได้ ทั้งไม่เคยนำเงินตราจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศ แม้จะเป็นจริงอย่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 อ้างก็ไม่ทำให้พ้นความรับผิด เพราะโจทก์ได้ดำเนินการตามสัญญาให้เรียบร้อยแล้ว ข้ออ้างของจำเลยที่ 1และที่ 2 ดังกล่าวอาจเป็นข้อสนับสนุนว่าจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ไม่ได้เชิดจำเลยที่ 3 ให้เป็นตัวแทนเท่านั้น แต่ข้อเท็จจริงนี้ศาลล่างรับฟังเป็นยุติว่าจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ได้เชิดจำเลยที่ 3 เป็นตัวแทนทำสัญญากับโจทก์ตามที่โจทก์ฟ้อง จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงไม่พ้นความรับผิดตามสัญญา
การที่โจทก์กับฝ่ายจำเลยได้ตกลงทำสัญญาโดยถ้อยคำในสัญญาใช้คำว่าช่วยยื่นคำขอและวิ่งเต้นขออนุญาตโควตาสิ่งทอเพื่อส่งไปจำหน่ายยังประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งตัวโจทก์เบิกความว่า ค่าวิ่งเต้นหมายถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินการติดต่อกับเจ้าหน้าที่กรมการค้าต่างประเทศ เช่น ค่ารถ ค่าเสียเวลา เจ้าหน้าที่ไม่เคยเรียกเงินจากโจทก์ ส่วนจำเลยไม่มีพยานสืบให้เห็นว่าเป็นการให้วิ่งเต้นเพื่อให้สินบนแก่เจ้าพนักงานแต่อย่างไร เพียงแต่ในการดำเนินการยื่นคำขอโควตาให้จำเลยที่ 1 โจทก์ได้ให้ ก.ซึ่งเป็นลูกจ้างของกรมการค้าต่างประเทศช่วยติดตามดูแลเรื่องให้และจะแบ่งค่านายหน้าให้ การกระทำของ ก.ทางกรมการค้าต่างประเทศเห็นว่าเป็นการละทิ้งหน้าที่ ประพฤติตนเป็นตัวแทนและนายหน้าให้บุคคลภายนอกโดยมีสินจ้าง เป็นการประพฤติตนไม่เหมาะสมจึงให้ออกจากราชการย่อมเห็นได้ว่า ก.เป็นเพียงลูกจ้างไม่มีอำนาจและหน้าที่ในการพิจารณาให้โควตาสิ่งทอ แต่ช่วยติดตามดูแลเรื่องให้โจทก์ มิใช่เป็นกรณีที่โจทก์กับฝ่ายจำเลยทำสัญญาเพื่อให้โจทก์วิ่งเต้นให้สินบนแก่เจ้าหน้าที่ อันจะเป็นการตกลงกันให้กระทำผิดกฎหมาย สัญญาดังกล่าวจึงไม่เป็นโมฆะ
ส่วนที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 อ้างว่าพยานดังกล่าวเป็นพยานสำคัญเพราะจะได้สนับสนุนให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 มิได้รู้เห็นขณะทำสัญญานั้นจำเลยที่ 1 และที่ 2 ก็มิได้กล่าวอ้างมาแต่ในศาลล่างทั้งสอง เพิ่งจะมากล่าวอ้างในชั้นฎีกาศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ได้เชิดจำเลยที่ 3 เป็นตัวแทน ในชั้นอุทธรณ์จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้อุทธรณ์โต้แย้งประเด็นข้อนี้ต่อศาลอุทธรณ์โดยตรง คงอุทธรณ์แต่เพียงว่าโจทก์ไม่ได้ฟ้องเรื่องตัวแทน การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ได้เชิดจำเลยที่ 3เป็นตัวแทนในการทำสัญญา จึงยังคลาดเคลื่อนต่อกฎหมาย ซึ่งศาลอุทธรณ์ก็ได้วินิจฉัยข้ออุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ดังกล่าวว่าตามคำฟ้องโจทก์ถือได้ว่าเป็นการฟ้องว่าจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ได้เชิดจำเลยที่ 3 เป็นตัวแทนแล้วข้อฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในข้อนี้จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงที่มิได้ว่ากันมาในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด จำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ แต่จำเลยที่ 3 อ้างว่าเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากับโจทก์ ให้โจทก์ช่วยยื่นคำขอและวิ่งเต้นขออนุญาตโควตาสิ่งทอเพื่อส่งไปจำหน่ายยังประเทศสหรัฐอเมริกา โดยให้ค่าตอบแทนโหลละ30 บาท โจทก์ได้จัดการติดต่อให้จำเลยที่ 1 ได้รับโควตา จึงเรียกเงินค่าตอบแทนเป็นการฟ้องเรียกเงินค่าตอบแทนหรือค่าจ้างในการที่โจทก์ได้จัดการให้จำเลยที่ 1ตามสัญญา เมื่อโจทก์ได้ปฏิบัติตามสัญญาเรียบร้อยแล้วย่อมมีสิทธิจะได้รับเงินค่าตอบแทนตามสัญญา
การที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าไม่ได้รับประโยชน์จากโควตา และเรียกเก็บเงินจากการขายสินค้าไม่ได้ ทั้งไม่เคยนำเงินตราจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศ แม้จะเป็นจริงอย่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 อ้างก็ไม่ทำให้พ้นความรับผิด เพราะโจทก์ได้ดำเนินการตามสัญญาให้เรียบร้อยแล้ว ข้ออ้างของจำเลยที่ 1และที่ 2 ดังกล่าวอาจเป็นข้อสนับสนุนว่าจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ไม่ได้เชิดจำเลยที่ 3 ให้เป็นตัวแทนเท่านั้น แต่ข้อเท็จจริงนี้ศาลล่างรับฟังเป็นยุติว่าจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ได้เชิดจำเลยที่ 3 เป็นตัวแทนทำสัญญากับโจทก์ตามที่โจทก์ฟ้อง จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงไม่พ้นความรับผิดตามสัญญา
การที่โจทก์กับฝ่ายจำเลยได้ตกลงทำสัญญาโดยถ้อยคำในสัญญาใช้คำว่าช่วยยื่นคำขอและวิ่งเต้นขออนุญาตโควตาสิ่งทอเพื่อส่งไปจำหน่ายยังประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งตัวโจทก์เบิกความว่า ค่าวิ่งเต้นหมายถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินการติดต่อกับเจ้าหน้าที่กรมการค้าต่างประเทศ เช่น ค่ารถ ค่าเสียเวลา เจ้าหน้าที่ไม่เคยเรียกเงินจากโจทก์ ส่วนจำเลยไม่มีพยานสืบให้เห็นว่าเป็นการให้วิ่งเต้นเพื่อให้สินบนแก่เจ้าพนักงานแต่อย่างไร เพียงแต่ในการดำเนินการยื่นคำขอโควตาให้จำเลยที่ 1 โจทก์ได้ให้ ก.ซึ่งเป็นลูกจ้างของกรมการค้าต่างประเทศช่วยติดตามดูแลเรื่องให้และจะแบ่งค่านายหน้าให้ การกระทำของ ก.ทางกรมการค้าต่างประเทศเห็นว่าเป็นการละทิ้งหน้าที่ ประพฤติตนเป็นตัวแทนและนายหน้าให้บุคคลภายนอกโดยมีสินจ้าง เป็นการประพฤติตนไม่เหมาะสมจึงให้ออกจากราชการย่อมเห็นได้ว่า ก.เป็นเพียงลูกจ้างไม่มีอำนาจและหน้าที่ในการพิจารณาให้โควตาสิ่งทอ แต่ช่วยติดตามดูแลเรื่องให้โจทก์ มิใช่เป็นกรณีที่โจทก์กับฝ่ายจำเลยทำสัญญาเพื่อให้โจทก์วิ่งเต้นให้สินบนแก่เจ้าหน้าที่ อันจะเป็นการตกลงกันให้กระทำผิดกฎหมาย สัญญาดังกล่าวจึงไม่เป็นโมฆะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3333/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม: การฎีกาซ้ำโดยไม่โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ฎีกาที่อ้างเหตุอย่างเดียวกับที่อุทธรณ์ โดยมิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ว่าไม่ชอบ หรือผิดพลาดข้อไหนอย่างไร เป็นฎีกาที่ขัดต่อ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก ศาลฎีการับวินิจฉัยให้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 108/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคืนการครอบครอง และประเด็นกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ไม่ได้ยกขึ้นในคำฟ้อง
การฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรค 2 นั้นผู้ครอบครองจะต้องฟ้องคดีภายใน 1 ปี นับแต่เวลาที่ถูกแย่งการครอบครองโดยไม่คำนึงถึงว่าผู้ครอบครองจะทราบว่าถูกแย่งการครอบครองหรือไม่ และไม่คำนึงถึงว่าผู้ครอบครองได้โต้แย้งผู้แย่งการครอบครองหรือได้ร้องเรียนต่อเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองว่าถูกแย่งการครอบครองหรือไม่
โจทก์ฎีกาว่าที่พิพาทเป็นที่บ้านที่สวนตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จ บทที่ 42 จำเลยจะต้องครอบครอง 10 ปี จึงได้กรรมสิทธิ์ แต่โจทก์มิได้ตั้งประเด็นมาในคำฟ้องว่าที่พิพาทเป็นที่บ้านที่สวนตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จบทที่ 42 คดีจึงไม่มีประเด็นที่ศาลฎีกาจะต้องวินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นที่บ้านที่สวนตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จ บทที่ 42 หรือไม่
โจทก์ฎีกาว่าที่พิพาทเป็นที่บ้านที่สวนตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จ บทที่ 42 จำเลยจะต้องครอบครอง 10 ปี จึงได้กรรมสิทธิ์ แต่โจทก์มิได้ตั้งประเด็นมาในคำฟ้องว่าที่พิพาทเป็นที่บ้านที่สวนตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จบทที่ 42 คดีจึงไม่มีประเด็นที่ศาลฎีกาจะต้องวินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นที่บ้านที่สวนตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จ บทที่ 42 หรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2725/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องเคลือบคลุม: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยหากฎีกาไม่ได้ระบุรายละเอียดความไม่ชัดเจนของคำฟ้องและจำเลยไม่หลงประเด็นข้อต่อสู้
ฎีกาจำเลยมีข้อความว่า คำฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม เพราะโจทก์มิได้บรรยายคำฟ้องอย่างแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งโจทก์มิได้อ้างข้อที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์เช่นว่านั้น เป็นฎีกาที่มิได้บรรยายว่าคำฟ้องของโจทก์ไม่แจ้งชัดตรงไหนอย่างไร ตามคำให้การจำเลยก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยหลงข้อต่อสู้ตรงไหนจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีการับวินิจฉัยให้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 751/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การค้ำประกันสัญญาเช่าซื้อ: ผู้ให้เช่าซื้อไม่มีหน้าที่แจ้งการยึดทรัพย์ให้ผู้ค้ำประกันทราบ หากสัญญาไม่มีข้อกำหนด
ตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันที่ทำไว้ ไม่ได้กำหนดว่า เมื่อผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ใช้เงินค่าเช่าซื้อ หรือเมื่อผู้ให้เช่าซื้อเลิกสัญญายึดทรัพย์ที่เช่าซื้อคืนผู้ให้เช่าซื้อจะต้องแจ้งให้ผู้ค้ำประกันทราบก่อนผู้ให้เช่าซื้อจึงไม่มีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องแจ้งให้ผู้ค้ำประกันทราบ
ฎีกาซึ่งมิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แต่ประการใด เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกามา ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัย
ฎีกาซึ่งมิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แต่ประการใด เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกามา ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 340/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลสั่งสืบพยานจำกัดประเด็น การวินิจฉัยนอกประเด็นที่สั่งสืบพยานเป็นคำวินิจฉัยที่ไม่ชอบ
คดีมีประเด็นข้อเท็จจริง 4 ข้อ ศาลชั้นต้นสั่งให้คู่ความนำพยานสืบสำหรับประเด็นข้อ 1 ข้อเดียวส่วนประเด็นอื่นเห็นว่าวินิจฉัยได้เองเมื่อคู่ความได้ดำเนินการตามที่ศาลสั่งแล้ว ศาลกลับวินิจฉัยว่าโจทก์มีภาระต้องพิสูจน์ประเด็นข้อ 3 แล้วไม่พิสูจน์จึงพิพากษายกฟ้องเป็นคำวินิจฉัยที่ไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1484/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่อนุญาตพยานเพิ่มเติมและการยกอายุความในชั้นฎีกา ศาลยืนตามศาลอุทธรณ์
จำเลยระบุเอกสารเป็นพยานเพิ่มเติม ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตโดยเห็นว่าไม่เกี่ยวกับประเด็น การที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยพยานหลักฐานของฝ่ายจำเลยโดยมิได้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นวินิจฉัยอีกเป็นพิเศษ ต้องแปลว่าศาลอุทธรณ์ได้พิจารณาเห็นชอบด้วยคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นในประเด็นข้อนี้แล้ว เพราะเมื่อพยานหลักฐานของจำเลยที่เกี่ยวกับประเด็นโดยตรงไม่พอฟังแล้ว พยานเอกสารอันไม่เกี่ยวกับประเด็น ก็ย่อมไม่สามารถช่วยคดีจำเลยซึ่งไม่มีน้ำหนักอยู่แล้ว ให้มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นอีกได้
เรื่องอายุความเป็นปัญหาข้อกฎหมาย แต่เมื่อจำเลยเพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกา จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
เรื่องอายุความเป็นปัญหาข้อกฎหมาย แต่เมื่อจำเลยเพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกา จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 923/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในลำเหมืองชลประทานส่วนบุคคล: การขุดโดยได้รับอนุญาตย่อมมีสิทธิเหนือผู้อื่น แม้ขุดในที่สาธารณะ
ข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับพิจารณา
ลำเหมืองชลประทานซึ่งเป็นที่สาธารณะเมื่อบุคคลใดได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานให้ขุดบุคคลนั้นย่อมมีสิทธิในลำเหมืองที่ตนขุดดีกว่าบุคคลอื่นๆ
ลำเหมืองชลประทานซึ่งเป็นที่สาธารณะเมื่อบุคคลใดได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานให้ขุดบุคคลนั้นย่อมมีสิทธิในลำเหมืองที่ตนขุดดีกว่าบุคคลอื่นๆ