พบผลลัพธ์ทั้งหมด 275 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2529/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ-ค่าปรับ-ค่าเสียหาย: ผู้รับเหมาผิดสัญญา จำเลยมีสิทธิเรียกค่าปรับและค่าเสียหายได้
เมื่อปรากฏว่างานของโจทก์มีสิ่งที่บกพร่องจำเลยบอกกล่าวให้โจทก์แก้ไขสิ่งที่บกพร่องให้คืนดีหรือทำการให้เป็นไปตามสัญญาภายในเวลาอันสมควรซึ่งกำหนดให้ในคำบอกกล่าวนั้นแล้วโจทก์ไม่ดำเนินการแก้ไขจนล่วงเลยกำหนดนั้นแล้ว จำเลยจึงจ้างบุคคลภายนอกทำการแก้ไขสิ่งบกพร่องดังกล่าวได้ โดยโจทก์จะต้องออกค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 594
โจทก์ปลูกบ้านยังไม่เสร็จสมบูรณ์ จำเลยยังไม่ได้รับมอบบ้านนั้นจากโจทก์ยังไม่ถือว่าโจทก์ได้ชำระหนี้ให้แก่จำเลยแล้วจำเลยมีสิทธิเรียกเอาเบี้ยปรับในกรณีไม่ชำระหนี้ตรงตามเวลาที่กำหนดไว้จากโจทก์ได้ตามสัญญา
โจทก์จำเลยตกลงกันว่าหากโจทก์ก่อสร้างไม่เสร็จภายในเวลาที่กำหนดยอมให้จำเลยปรับเป็นรายวันจำเลยจึงมีสิทธิที่จะปรับโจทก์ได้ตั้งแต่วันหมดอายุสัญญาจนถึงวันที่งานก่อสร้างแล้วเสร็จ
โจทก์ปลูกบ้านยังไม่เสร็จสมบูรณ์ จำเลยยังไม่ได้รับมอบบ้านนั้นจากโจทก์ยังไม่ถือว่าโจทก์ได้ชำระหนี้ให้แก่จำเลยแล้วจำเลยมีสิทธิเรียกเอาเบี้ยปรับในกรณีไม่ชำระหนี้ตรงตามเวลาที่กำหนดไว้จากโจทก์ได้ตามสัญญา
โจทก์จำเลยตกลงกันว่าหากโจทก์ก่อสร้างไม่เสร็จภายในเวลาที่กำหนดยอมให้จำเลยปรับเป็นรายวันจำเลยจึงมีสิทธิที่จะปรับโจทก์ได้ตั้งแต่วันหมดอายุสัญญาจนถึงวันที่งานก่อสร้างแล้วเสร็จ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2215-2216/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เบี้ยปรับสัญญา, การบอกเลิกสัญญา, ค่าจ้างงานก่อสร้าง: การคำนวณเบี้ยปรับและการชำระค่าจ้างเมื่องานไม่เรียบร้อย
เมื่อข้อความตามสัญญาระบุว่า หากผู้รับจ้างไม่อาจก่อสร้างอาคารให้แล้วเสร็จภายในกำหนดดังกล่าว ผู้รับจ้างยินยอมให้ผู้จ้างปรับเป็นรายวัน วันละ 1,000 บาท จนกว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จนั้นเป็นเบี้ยปรับที่โจทก์ผู้รับจ้างสัญญาไว้ว่าจะให้เบี้ยปรับเมื่อตนไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องสมควรฉะนั้น นอกจากเรียกให้ชำระหนี้แล้ว จำเลยผู้จ้างจะเรียกเอาเบี้ยปรับอันจะพึงริบนั้นอีกด้วยก็ได้ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 381
การที่จำเลยบอกเลิกสัญญากับโจทก์ภายหลังวันครบกำหนดที่โจทก์ต้องทำการก่อสร้างให้แล้วเสร็จ 3-4 วัน และต่อจากนั้นก็ไม่ได้ว่าจ้างบุคคลใดซ่อมแซมก่อสร้างงานที่ขาดตกบกพร่องให้แล้วเสร็จไปโดยพลันจึงมีส่วนผิดที่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปจนถึงวันฟ้องเป็นเวลาถึง 360 วันศาลเห็นสมควรกำหนดเบี้ยปรับที่โจทก์ไม่ชำระหนี้ตรงตามเวลาที่กำหนดไว้ให้เพียง 60 วัน คิดเป็นเงิน 60,000 บาท
เมื่อคดีได้ความว่าโจทก์ทำงานงวดสุดท้ายตามสัญญาไปแล้ว หากแต่ทำงานไปโดยยังไม่เรียบร้อยมีข้อบกพร่องอยู่และไม่ส่งมอบงานให้จำเลย จำเลยจึงบอกเลิกสัญญา จำเลยคงมีสิทธิหักค่าจ้างเท่าที่ต้องเสียไป แต่ไม่มีสิทธิจะงดจ่ายค่าจ้างงวดสุดท้ายเสียทั้งหมดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391
การที่จำเลยบอกเลิกสัญญากับโจทก์ภายหลังวันครบกำหนดที่โจทก์ต้องทำการก่อสร้างให้แล้วเสร็จ 3-4 วัน และต่อจากนั้นก็ไม่ได้ว่าจ้างบุคคลใดซ่อมแซมก่อสร้างงานที่ขาดตกบกพร่องให้แล้วเสร็จไปโดยพลันจึงมีส่วนผิดที่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปจนถึงวันฟ้องเป็นเวลาถึง 360 วันศาลเห็นสมควรกำหนดเบี้ยปรับที่โจทก์ไม่ชำระหนี้ตรงตามเวลาที่กำหนดไว้ให้เพียง 60 วัน คิดเป็นเงิน 60,000 บาท
เมื่อคดีได้ความว่าโจทก์ทำงานงวดสุดท้ายตามสัญญาไปแล้ว หากแต่ทำงานไปโดยยังไม่เรียบร้อยมีข้อบกพร่องอยู่และไม่ส่งมอบงานให้จำเลย จำเลยจึงบอกเลิกสัญญา จำเลยคงมีสิทธิหักค่าจ้างเท่าที่ต้องเสียไป แต่ไม่มีสิทธิจะงดจ่ายค่าจ้างงวดสุดท้ายเสียทั้งหมดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2151/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขาย, การบอกเลิกสัญญา, ค่าปรับ, และการชำระค่าเสียหายจากสัญญาค้ำประกัน
โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด การฟ้องคดีไม่จำเป็นต้องบรรยายมาในคำฟ้องด้วยว่า โจทก์มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการค้าอะไร เพราะวัตถุประสงค์ของโจทก์จะประกอบกิจการค้าอะไรมิใช่ข้อหาอันกฎหมายบังคับต้องบรรยายให้ชัดแจ้งตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 โจทก์บรรยายฟ้องข้อหาว่าจำเลยผิดสัญญาซื้อขายรวมทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหานั้นแล้ว ซึ่งจำเลยก็ให้การต่อสู้คดีได้ถูกต้องฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
สัญญาซื้อขายค่าความนิยมและกิจการซักรีด ไม่ใช่ตราสารหรือเอกสารตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ในประมวลรัษฎากร ซึ่งกฎหมายบังคับให้ต้องปิดอากรแสตมป์จึงไม่ต้องปิดอากรแสตมป์และรับฟังเป็นพยานหลักฐานฟ้องคดีได้
โจทก์จำเลยมีข้อสัญญากันว่า หากจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่างวดติดต่อกัน 3 งวด โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและจำเลยยินยอมเสียค่าปรับจำนวนหนึ่งกับชดใช้ค่าเสียหายทั้งสิ้นเมื่อจำเลยเป็นฝ่าย ผิดสัญญาโดยไม่ชำระหนี้ตามข้อตกลง โจทก์ก็มีสิทธิเลิกสัญญาจำเลยนอกจากที่จะต้องใช้ค่างวดที่ค้างชำระ และค่าซ่อมแซมทรัพย์สินอันเป็นค่าเสียหายส่วนหนึ่งแล้วจำเลยจะต้องเสียค่าปรับหรือเบี้ยปรับอันเป็นค่าเสียหาย อีกส่วนหนึ่งที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้าตามข้อกำหนดในสัญญาด้วย แต่เมื่อศาลเห็นว่าเบี้ยปรับตามสัญญาส่วนนี้กำหนดไว้สูงไป ก็ชอบที่จะลดเบี้ยปรับลงได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383
สัญญาซื้อขายค่าความนิยมและกิจการซักรีด ไม่ใช่ตราสารหรือเอกสารตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ในประมวลรัษฎากร ซึ่งกฎหมายบังคับให้ต้องปิดอากรแสตมป์จึงไม่ต้องปิดอากรแสตมป์และรับฟังเป็นพยานหลักฐานฟ้องคดีได้
โจทก์จำเลยมีข้อสัญญากันว่า หากจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่างวดติดต่อกัน 3 งวด โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและจำเลยยินยอมเสียค่าปรับจำนวนหนึ่งกับชดใช้ค่าเสียหายทั้งสิ้นเมื่อจำเลยเป็นฝ่าย ผิดสัญญาโดยไม่ชำระหนี้ตามข้อตกลง โจทก์ก็มีสิทธิเลิกสัญญาจำเลยนอกจากที่จะต้องใช้ค่างวดที่ค้างชำระ และค่าซ่อมแซมทรัพย์สินอันเป็นค่าเสียหายส่วนหนึ่งแล้วจำเลยจะต้องเสียค่าปรับหรือเบี้ยปรับอันเป็นค่าเสียหาย อีกส่วนหนึ่งที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้าตามข้อกำหนดในสัญญาด้วย แต่เมื่อศาลเห็นว่าเบี้ยปรับตามสัญญาส่วนนี้กำหนดไว้สูงไป ก็ชอบที่จะลดเบี้ยปรับลงได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 246/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจ้างก่อสร้าง & การรับมอบงานชำรุด/ล่าช้า: สิทธิเรียกร้องค่าปรับระงับเมื่อเจ้าหนี้รับมอบโดยไม่สงวนสิทธิ
จำเลยจ้างโจทก์สร้างตึกแถว โจทก์ส่งมอบล่าช้าแต่จำเลยรับมอบโดยไม่สงวนสิทธิปรับตามสัญญาจำเลยบังคับเรียกเบี้ยปรับไม่ได้ตาม มาตรา 381 วรรคท้าย
โจทก์โอนสิทธิการเช่าตึกแถวแก่จำเลย แต่โจทก์ใส่กุญแจประตูตึกแถวเสีย จำเลยเข้าครอบครองไม่ได้ ไม่เป็นละเมิด ตามสัญญาสิทธิที่จำเลยได้จากสัญญาคือสิทธิการเช่าตึกเท่านั้น
โจทก์โอนสิทธิการเช่าตึกแถวแก่จำเลย แต่โจทก์ใส่กุญแจประตูตึกแถวเสีย จำเลยเข้าครอบครองไม่ได้ ไม่เป็นละเมิด ตามสัญญาสิทธิที่จำเลยได้จากสัญญาคือสิทธิการเช่าตึกเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1561/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาปรับค่าเสียหายล่าช้าและค่าควบคุมงาน ผู้รับจ้างไม่ต้องพิสูจน์ความเสียหาย แต่ผู้ว่าจ้างต้องพิสูจน์ค่าควบคุมงานจริง
สัญญากำหนดให้ปรับ เมื่อผู้รับจ้างก่อสร้างไม่เสร็จตามกำหนดเวลาผู้ว่าจ้างปรับตามสัญญาได้โดยไม่ต้องพิสูจน์ความเสียหายส่วนค่าควบคุมงานซึ่งผู้รับจ้างสัญญาจะชดใช้ให้เป็นค่าเสียหาย ผู้ว่าจ้างมิได้นำสืบว่าได้เสียหายในข้อนี้อย่างไร ศาลไม่กำหนดให้ผู้ว่าจ้างหักค่าจ้างไว้ได้เท่าที่เป็นเบี้ยปรับเงินค่าควบคุมงานต้องคืนแก่ผู้รับจ้าง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 930/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตีความสัญญาซื้อขาย: สิทธิริบเงินประกันเมื่อไม่ส่งมอบสินค้า vs. ค่าปรับเมื่อส่งของไม่ครบ
สัญญาข้อ 7 ว่า ถ้าละเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาให้ริบเงินที่วางไว้ข้อ 8 ถ้าส่งมอบของไม่ถูกต้องภายในกำหนดให้ปรับร้อยละ 5 ของราคาของที่ยังไม่ได้ส่งเป็นรายเดือนจนกว่าจะส่งครบและถูกต้องข้อ 9นอกจากข้อ 8 ถ้าไม่ปฏิบัติตามสัญญาเป็นเหตุให้ผู้ซื้อเสียหาย ผู้ขายรับผิดโดยสิ้นเชิง ดังนี้ตีความว่า ข้อ 7 เป็นกรณีไม่ปฏิบัติตามสัญญาเลย ข้อ 8 ส่งของแล้วแต่ไม่ครบหรือไม่ถูกต้อง ข้อ 9 หมายความถึงเสียหายพิเศษนอกจากนี้ เมื่อผู้ขายไม่ส่งของเลย ผู้ซื้อริบเงินตามข้อ 7ได้ แต่จะปรับตามข้อ 8 ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 928/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าซื้อผิดสัญญา จำเลยต้องจัดทำถนนและชำระเบี้ยปรับตามสัญญา
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันและแทนกันทำการจัดสรรที่ดินให้โจทก์เป็นผู้เช่าซื้อ แล้วจำเลยทั้งสามประพฤติผิดสัญญา โดยไม่จัดการทำถนนคอนกรีตและท่อระบายน้ำผ่านหน้าที่ดินของโจทก์ และที่ดินที่จำเลยร่วมกันจัดสรรทุกแปลง จึงฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดตามสัญญา เป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัด ซึ่งสภาพแห่งข้อหาข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
ได้มีการจัดตั้งห้างหุ้นส่วนจำเลยที่ 2 ขึ้นก่อน ต่อมามีความจำเป็นต้องใช้ทุนมาก จึงได้จัดตั้งบริษัทจำเลยที่ 1 ขึ้น แต่ก็มีวัตถุประสงค์ในการซื้อขายที่ดินเช่นเดียวกัน จำเลยที่ 1 ได้ออกใบรับเงินค่าเช่าซื้อที่ดินให้โจทก์หลายฉบับ และยังมีหนังสือถึงโจทก์เกี่ยวกับการทำถนนและท่อระบายน้ำชี้แจงให้โจทก์ทราบว่า ได้ว่าจ้างผู้รับเหมาให้ทำถนนคอนกรีตและท่อระบายน้ำแล้ว โดยกรรมการผู้จัดการลงชื่อและประทับตราบริษัทจำเลยที่ 1 ในหนังสือนั้น เห็นได้ว่า จำเลยที่ 1 ยินยอมรับเอากิจการจัดสรรที่ดินของจำเลยที่ 2 มาดำเนินการร่วมกับจำเลยที่ 1 ด้วย และยินยอมที่จะปฏิบัติตามสัญญาเช่าซื้อที่จำเลยที่ 2 ทำไว้กับโจทก์ แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ลงนามในสัญญาเช่าซื้อ จำเลยที่ 1 ก็ต้องรับผิดร่วมด้วย ส่วนจำเลยที่ 3 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างฯ จำเลยที่ 2 ซึ่งจะต้องร่วมรับผิดในหนี้สินของห้างฯ จำเลยที่ 2 โดยไม่มีจำกัดจำนวน จึงต้องรับผิดเป็นส่วนตัวร่วมกับจำเลยที่ 2 ด้วย ดังนั้น โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 3 ได้
เหตุที่จำเลยจะไม่ต้องรับผิดเป็นประเด็นสำคัญแห่งคดี จำเลยจะต้องให้การโดยชัดแจ้ง เมื่อจำเลยไม่ได้ให้การไว้ การนำสืบถึงประเด็นนั้นจึงเป็นการนำสืบนอกประเด็นที่ให้การไว้ รับฟังไม่ได้
นับตั้งแต่จำเลยจัดสรรที่ดินให้เช่าซื้อ และโจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อจนส่งเงินค่าเช่าซื้อครบถ้วนเป็นเวลาหลายปี จำเลยมีโอกาสขวนขวายจัดหาซื้อวัสดุก่อสร้างเตรียมไว้ดำเนินการตามสัญญาเช่าซื้อได้ การที่วัสดุก่อสร้างมีราคาแพงขึ้น มิใช่ว่าจะหาซื้อไม่ได้เสียทีเดียว ในกรณีเช่นนี้ไม่ใช่เหตุสุดวิสัยอันจะทำให้การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัย และจำเลยหลุดพ้นจากการชำระหนี้ เมื่อจำเลยไม่จัดทำถนนคอนกรีตและท่อระบายน้ำตามสัญญาเช่าซื้อ จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาต้องรับผิดต่อโจทก์
ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ โจทก์ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันจัดทำถนนคอนกรีตและท่อระบายน้ำผ่านหน้าที่ดินจัดสรรของโจทก์ ให้เสร็จเรียบร้อยตามสัญญาเช่าซื้อภายในกำหนด 1 เดือน นับแต่วันที่ศาลพิพากษา ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213 วรรค 2 บัญญัติถึงกรณีที่สภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้บังคับชำระหนี้ได้ ถ้าวัตถุแห่งหนี้เป็นอันให้กระทำการอันใดอันหนึ่ง เจ้าหนี้จะร้องขอต่อศาลให้สั่งบังคับให้บุคคลภายนอกกระทำการอันนั้น โดยให้ลูกหนี้เสียค่าใช้จ่ายก็ได้ แต่โจทก์มิได้มีคำขอให้ศาลพิพากษาว่า หากจำเลยไม่ทำถนนคอนกรีตและท่อระบายน้ำให้โจทก์ ให้โจทก์จ้างบุคคลภายนอกทำโดยให้จำเลยทั้งสามเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย ดังนั้น ที่ศาลพิพากษาว่าหากจำเลยไม่ทำให้โจทก์จ้างบุคคลภายนอกทำโดยให้จำเลยทั้งสามเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213 วรรค 2 จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอ ส่วนที่ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสามจัดทำถนนคอนกรีตและท่อระบายน้ำ และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันเสียเบี้ยปรับให้แก่โจทก์ด้วยนั้น ตามสัญญาเช่าซื้อมีว่า "หากผู้ให้เช่าซื้อผิดสัญญาข้อหนึ่งข้อใดยอมให้ผู้เช่าซื้อฟ้องร้องเรียกเบี้ยปรับ และให้บังคับตามกฎหมาย ทั้งยอมให้ผู้เช่าซื้อปรับเป็นเงินอีกหนึ่งเท่าของจำนวนเงินที่ผู้เช่าซื้อได้ชำระให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อไปแล้วอีกโสดหนึ่งด้วย" สัญญาเช่าซื้อระบุชัดเช่นนี้ โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามสัญญาคือ ทำถนนคอนกรีต ท่อระบายน้ำ และเรียกร้องเอาเบี้ยปรับได้ทั้งสองกรณีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 381 วรรคแรก
สัญญาเช่าซื้อมีข้อความว่า "ยอมให้ผู้เช่าซื้อปรับเป็นเงินอีกหนึ่งเท่าของจำนวนเงินที่ผู้เช่าซื้อได้ชำระให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อไป" หมายความว่า จำเลยยอมให้โจทก์ปรับเงินเท่ากับเงินค่าเช่าซื้อที่โจทก์ชำระให้จำเลยไป
ได้มีการจัดตั้งห้างหุ้นส่วนจำเลยที่ 2 ขึ้นก่อน ต่อมามีความจำเป็นต้องใช้ทุนมาก จึงได้จัดตั้งบริษัทจำเลยที่ 1 ขึ้น แต่ก็มีวัตถุประสงค์ในการซื้อขายที่ดินเช่นเดียวกัน จำเลยที่ 1 ได้ออกใบรับเงินค่าเช่าซื้อที่ดินให้โจทก์หลายฉบับ และยังมีหนังสือถึงโจทก์เกี่ยวกับการทำถนนและท่อระบายน้ำชี้แจงให้โจทก์ทราบว่า ได้ว่าจ้างผู้รับเหมาให้ทำถนนคอนกรีตและท่อระบายน้ำแล้ว โดยกรรมการผู้จัดการลงชื่อและประทับตราบริษัทจำเลยที่ 1 ในหนังสือนั้น เห็นได้ว่า จำเลยที่ 1 ยินยอมรับเอากิจการจัดสรรที่ดินของจำเลยที่ 2 มาดำเนินการร่วมกับจำเลยที่ 1 ด้วย และยินยอมที่จะปฏิบัติตามสัญญาเช่าซื้อที่จำเลยที่ 2 ทำไว้กับโจทก์ แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ลงนามในสัญญาเช่าซื้อ จำเลยที่ 1 ก็ต้องรับผิดร่วมด้วย ส่วนจำเลยที่ 3 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างฯ จำเลยที่ 2 ซึ่งจะต้องร่วมรับผิดในหนี้สินของห้างฯ จำเลยที่ 2 โดยไม่มีจำกัดจำนวน จึงต้องรับผิดเป็นส่วนตัวร่วมกับจำเลยที่ 2 ด้วย ดังนั้น โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 3 ได้
เหตุที่จำเลยจะไม่ต้องรับผิดเป็นประเด็นสำคัญแห่งคดี จำเลยจะต้องให้การโดยชัดแจ้ง เมื่อจำเลยไม่ได้ให้การไว้ การนำสืบถึงประเด็นนั้นจึงเป็นการนำสืบนอกประเด็นที่ให้การไว้ รับฟังไม่ได้
นับตั้งแต่จำเลยจัดสรรที่ดินให้เช่าซื้อ และโจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อจนส่งเงินค่าเช่าซื้อครบถ้วนเป็นเวลาหลายปี จำเลยมีโอกาสขวนขวายจัดหาซื้อวัสดุก่อสร้างเตรียมไว้ดำเนินการตามสัญญาเช่าซื้อได้ การที่วัสดุก่อสร้างมีราคาแพงขึ้น มิใช่ว่าจะหาซื้อไม่ได้เสียทีเดียว ในกรณีเช่นนี้ไม่ใช่เหตุสุดวิสัยอันจะทำให้การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัย และจำเลยหลุดพ้นจากการชำระหนี้ เมื่อจำเลยไม่จัดทำถนนคอนกรีตและท่อระบายน้ำตามสัญญาเช่าซื้อ จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาต้องรับผิดต่อโจทก์
ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ โจทก์ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันจัดทำถนนคอนกรีตและท่อระบายน้ำผ่านหน้าที่ดินจัดสรรของโจทก์ ให้เสร็จเรียบร้อยตามสัญญาเช่าซื้อภายในกำหนด 1 เดือน นับแต่วันที่ศาลพิพากษา ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213 วรรค 2 บัญญัติถึงกรณีที่สภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้บังคับชำระหนี้ได้ ถ้าวัตถุแห่งหนี้เป็นอันให้กระทำการอันใดอันหนึ่ง เจ้าหนี้จะร้องขอต่อศาลให้สั่งบังคับให้บุคคลภายนอกกระทำการอันนั้น โดยให้ลูกหนี้เสียค่าใช้จ่ายก็ได้ แต่โจทก์มิได้มีคำขอให้ศาลพิพากษาว่า หากจำเลยไม่ทำถนนคอนกรีตและท่อระบายน้ำให้โจทก์ ให้โจทก์จ้างบุคคลภายนอกทำโดยให้จำเลยทั้งสามเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย ดังนั้น ที่ศาลพิพากษาว่าหากจำเลยไม่ทำให้โจทก์จ้างบุคคลภายนอกทำโดยให้จำเลยทั้งสามเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213 วรรค 2 จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอ ส่วนที่ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสามจัดทำถนนคอนกรีตและท่อระบายน้ำ และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันเสียเบี้ยปรับให้แก่โจทก์ด้วยนั้น ตามสัญญาเช่าซื้อมีว่า "หากผู้ให้เช่าซื้อผิดสัญญาข้อหนึ่งข้อใดยอมให้ผู้เช่าซื้อฟ้องร้องเรียกเบี้ยปรับ และให้บังคับตามกฎหมาย ทั้งยอมให้ผู้เช่าซื้อปรับเป็นเงินอีกหนึ่งเท่าของจำนวนเงินที่ผู้เช่าซื้อได้ชำระให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อไปแล้วอีกโสดหนึ่งด้วย" สัญญาเช่าซื้อระบุชัดเช่นนี้ โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามสัญญาคือ ทำถนนคอนกรีต ท่อระบายน้ำ และเรียกร้องเอาเบี้ยปรับได้ทั้งสองกรณีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 381 วรรคแรก
สัญญาเช่าซื้อมีข้อความว่า "ยอมให้ผู้เช่าซื้อปรับเป็นเงินอีกหนึ่งเท่าของจำนวนเงินที่ผู้เช่าซื้อได้ชำระให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อไป" หมายความว่า จำเลยยอมให้โจทก์ปรับเงินเท่ากับเงินค่าเช่าซื้อที่โจทก์ชำระให้จำเลยไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 928/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าซื้อผิดสัญญา จำเลยต้องจัดทำถนน-ท่อระบายน้ำ และจ่ายเบี้ยปรับตามสัญญา
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันและแทนกันทำการจัดสรรที่ดินให้โจทก์เป็นผู้เช่าซื้อ แล้วจำเลยทั้งสามประพฤติผิดสัญญาโดยไม่จัดการทำถนนคอนกรีตและท่อระบายน้ำผ่านหน้าที่ดินของโจทก์และที่ดินที่จำเลยร่วมกันจัดสรรทุกแปลง จึงฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดตามสัญญาเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
ได้มีการจัดตั้งห้างหุ้นส่วนจำเลยที่ 2 ขึ้นก่อนต่อมามีความจำเป็นต้องใช้ทุนมากจึงได้จัดตั้งบริษัทจำเลยที่ 1 ขึ้นแต่ก็มีวัตถุประสงค์ในการซื้อขายที่ดินเช่นเดียวกันจำเลยที่ 1 ได้ออกใบรับเงินค่าเช่าซื้อที่ดินให้โจทก์หลายฉบับ และยังมีหนังสือถึงโจทก์เกี่ยวกับการทำถนนและท่อระบายน้ำชี้แจงให้โจทก์ทราบว่า ได้ว่าจ้างผู้รับเหมาให้ทำถนนคอนกรีตและท่อระบายน้ำแล้ว โดยกรรมการผู้จัดการลงชื่อและประทับตราบริษัทจำเลยที่ 1 ในหนังสือนั้น เห็นได้ว่า จำเลยที่ 1 ยินยอมรับเอากิจการจัดสรรที่ดินของจำเลยที่ 2 มาดำเนินการร่วมกับจำเลยที่ 1 ด้วย และยินยอมที่จะปฏิบัติตามสัญญาเช่าซื้อที่จำเลยที่ 2 ทำไว้กับโจทก์ แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ลงนามในสัญญาเช่าซื้อ จำเลยที่ 1 ก็ต้องรับผิดร่วมด้วย ส่วนจำเลยที่ 3 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างฯ จำเลยที่ 2 ซึ่งจะต้องร่วมรับผิดในหนี้สินของห้างฯ จำเลยที่ 2 โดยไม่มีจำกัดจำนวนจึงต้องรับผิดเป็นส่วนตัวร่วมกับจำเลยที่ 2 ด้วย ดังนั้น โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 3 ได้
เหตุที่จำเลยจะไม่ต้องรับผิดเป็นประเด็นสำคัญแห่งคดีจำเลยจะต้องให้การโดยชัดแจ้ง เมื่อจำเลยไม่ได้ให้การไว้ การนำสืบถึงประเด็นนั้นจึงเป็นการนำสืบนอกประเด็นที่ให้การไว้ รับฟังไม่ได้
นับตั้งแต่จำเลยจัดสรรที่ดินให้เช่าซื้อ และโจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อจนส่งเงินค่าเช่าซื้อครบถ้วนเป็นเวลาหลายปีจำเลยมีโอกาสขวนขวายจัดหาซื้อวัสดุก่อสร้างเตรียมไว้ดำเนินการตามสัญญาเช่าซื้อได้การที่วัสดุก่อสร้างมีราคาแพงขึ้นมิใช่ว่าจะหาซื้อไม่ได้เสียทีเดียว ในกรณีเช่นนี้ไม่ใช่เหตุสุดวิสัยอันจะทำให้การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยและจำเลยหลุดพ้นจากการชำระหนี้เมื่อจำเลยไม่จัดทำถนนคอนกรีตและท่อระบายน้ำตามสัญญาเช่าซื้อ จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาต้องรับผิดต่อโจทก์
ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ โจทก์ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันจัดทำถนนคอนกรีตและท่อระบายน้ำผ่านหน้าที่ดินจัดสรรของโจทก์ให้เสร็จเรียบร้อยตามสัญญาเช่าซื้อภายในกำหนด 1 เดือน นับแต่วันที่ศาลพิพากษา ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213 วรรค 2 บัญญัติถึงกรณีที่สภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้บังคับชำระหนี้ได้ ถ้าวัตถุแห่งหนี้เป็นอันให้กระทำการอันใดอันหนึ่ง เจ้าหนี้จะร้องขอต่อศาลให้สั่งบังคับให้บุคคลภายนอกกระทำการอันนั้น โดยให้ลูกหนี้เสียค่าใช้จ่ายก็ได้ แต่โจทก์มิได้มีคำขอให้ศาลพิพากษาว่าหากจำเลยไม่ทำถนนคอนกรีตและท่อระบายน้ำให้โจทก์จ้างบุคคลภายนอกทำโดยให้จำเลยทั้งสามเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย ดังนั้น ที่ศาลพิพากษาว่าหากจำเลยไม่ทำให้โจทก์จ้างบุคคลภายนอกทำโดยให้จำเลยทั้งสามเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213 วรรค 2 จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอ ส่วนที่ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสามจัดทำถนนคอนกรีตและท่อระบายน้ำ และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันเสียเบี้ยปรับให้แก่โจทก์ด้วยนั้นตามสัญญาเช่าซื้อมีว่า"หากผู้ให้เช่าซื้อผิดสัญญาข้อหนึ่งข้อใดยอมให้ผู้เช่าซื้อฟ้องร้องเรียกเบี้ยปรับ และให้บังคับตามกฎหมายทั้งยอมให้ผู้เช่าซื้อปรับเป็นเงินอีกหนึ่งเท่าของจำนวนเงินที่ผู้เช่าซื้อได้ชำระให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อไปแล้วอีกโสดหนึ่งด้วย" สัญญาเช่าซื้อระบุชัดเช่นนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามสัญญาคือทำถนนคอนกรีต ท่อระบายน้ำและเรียกร้องเอาเบี้ยปรับได้ทั้งสองกรณีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 381 วรรคแรก
สัญญาเช่าซื้อมีข้อความว่า "ยอมให้ผู้เช่าซื้อปรับเป็นเงินอีกหนึ่งเท่าของจำนวนเงินที่ผู้เช่าซื้อได้ชำระให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อไป" หมายความว่า จำเลยยอมให้โจทก์ปรับเงินเท่ากับเงินค่าเช่าซื้อที่โจทก์ชำระให้จำเลยไป
ได้มีการจัดตั้งห้างหุ้นส่วนจำเลยที่ 2 ขึ้นก่อนต่อมามีความจำเป็นต้องใช้ทุนมากจึงได้จัดตั้งบริษัทจำเลยที่ 1 ขึ้นแต่ก็มีวัตถุประสงค์ในการซื้อขายที่ดินเช่นเดียวกันจำเลยที่ 1 ได้ออกใบรับเงินค่าเช่าซื้อที่ดินให้โจทก์หลายฉบับ และยังมีหนังสือถึงโจทก์เกี่ยวกับการทำถนนและท่อระบายน้ำชี้แจงให้โจทก์ทราบว่า ได้ว่าจ้างผู้รับเหมาให้ทำถนนคอนกรีตและท่อระบายน้ำแล้ว โดยกรรมการผู้จัดการลงชื่อและประทับตราบริษัทจำเลยที่ 1 ในหนังสือนั้น เห็นได้ว่า จำเลยที่ 1 ยินยอมรับเอากิจการจัดสรรที่ดินของจำเลยที่ 2 มาดำเนินการร่วมกับจำเลยที่ 1 ด้วย และยินยอมที่จะปฏิบัติตามสัญญาเช่าซื้อที่จำเลยที่ 2 ทำไว้กับโจทก์ แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ลงนามในสัญญาเช่าซื้อ จำเลยที่ 1 ก็ต้องรับผิดร่วมด้วย ส่วนจำเลยที่ 3 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างฯ จำเลยที่ 2 ซึ่งจะต้องร่วมรับผิดในหนี้สินของห้างฯ จำเลยที่ 2 โดยไม่มีจำกัดจำนวนจึงต้องรับผิดเป็นส่วนตัวร่วมกับจำเลยที่ 2 ด้วย ดังนั้น โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 3 ได้
เหตุที่จำเลยจะไม่ต้องรับผิดเป็นประเด็นสำคัญแห่งคดีจำเลยจะต้องให้การโดยชัดแจ้ง เมื่อจำเลยไม่ได้ให้การไว้ การนำสืบถึงประเด็นนั้นจึงเป็นการนำสืบนอกประเด็นที่ให้การไว้ รับฟังไม่ได้
นับตั้งแต่จำเลยจัดสรรที่ดินให้เช่าซื้อ และโจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อจนส่งเงินค่าเช่าซื้อครบถ้วนเป็นเวลาหลายปีจำเลยมีโอกาสขวนขวายจัดหาซื้อวัสดุก่อสร้างเตรียมไว้ดำเนินการตามสัญญาเช่าซื้อได้การที่วัสดุก่อสร้างมีราคาแพงขึ้นมิใช่ว่าจะหาซื้อไม่ได้เสียทีเดียว ในกรณีเช่นนี้ไม่ใช่เหตุสุดวิสัยอันจะทำให้การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยและจำเลยหลุดพ้นจากการชำระหนี้เมื่อจำเลยไม่จัดทำถนนคอนกรีตและท่อระบายน้ำตามสัญญาเช่าซื้อ จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาต้องรับผิดต่อโจทก์
ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ โจทก์ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันจัดทำถนนคอนกรีตและท่อระบายน้ำผ่านหน้าที่ดินจัดสรรของโจทก์ให้เสร็จเรียบร้อยตามสัญญาเช่าซื้อภายในกำหนด 1 เดือน นับแต่วันที่ศาลพิพากษา ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213 วรรค 2 บัญญัติถึงกรณีที่สภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้บังคับชำระหนี้ได้ ถ้าวัตถุแห่งหนี้เป็นอันให้กระทำการอันใดอันหนึ่ง เจ้าหนี้จะร้องขอต่อศาลให้สั่งบังคับให้บุคคลภายนอกกระทำการอันนั้น โดยให้ลูกหนี้เสียค่าใช้จ่ายก็ได้ แต่โจทก์มิได้มีคำขอให้ศาลพิพากษาว่าหากจำเลยไม่ทำถนนคอนกรีตและท่อระบายน้ำให้โจทก์จ้างบุคคลภายนอกทำโดยให้จำเลยทั้งสามเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย ดังนั้น ที่ศาลพิพากษาว่าหากจำเลยไม่ทำให้โจทก์จ้างบุคคลภายนอกทำโดยให้จำเลยทั้งสามเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213 วรรค 2 จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอ ส่วนที่ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสามจัดทำถนนคอนกรีตและท่อระบายน้ำ และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันเสียเบี้ยปรับให้แก่โจทก์ด้วยนั้นตามสัญญาเช่าซื้อมีว่า"หากผู้ให้เช่าซื้อผิดสัญญาข้อหนึ่งข้อใดยอมให้ผู้เช่าซื้อฟ้องร้องเรียกเบี้ยปรับ และให้บังคับตามกฎหมายทั้งยอมให้ผู้เช่าซื้อปรับเป็นเงินอีกหนึ่งเท่าของจำนวนเงินที่ผู้เช่าซื้อได้ชำระให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อไปแล้วอีกโสดหนึ่งด้วย" สัญญาเช่าซื้อระบุชัดเช่นนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามสัญญาคือทำถนนคอนกรีต ท่อระบายน้ำและเรียกร้องเอาเบี้ยปรับได้ทั้งสองกรณีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 381 วรรคแรก
สัญญาเช่าซื้อมีข้อความว่า "ยอมให้ผู้เช่าซื้อปรับเป็นเงินอีกหนึ่งเท่าของจำนวนเงินที่ผู้เช่าซื้อได้ชำระให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อไป" หมายความว่า จำเลยยอมให้โจทก์ปรับเงินเท่ากับเงินค่าเช่าซื้อที่โจทก์ชำระให้จำเลยไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 53-54/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องเคลือบคลุม จำเป็นต้องระบุรายละเอียดงานที่จำเลยค้างทำ เพื่อให้จำเลยเข้าใจถึงขอบเขตความรับผิด
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับให้จำเลยชดใช้เงินค่าก่อสร้างซึ่งเป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องทำตามสัญญาแต่จำเลยไม่ทำ เป็นเหตุให้โจทก์ต้องจ้างบุคคลอื่นมาทำแทน แต่โจทก์บรรยายว่าจำเลยได้ละทิ้งงานก่อสร้างไปโดยงานก่อสร้างยังไม่เสร็จอยู่ 28 รายการ โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยมาทำการก่อสร้างให้เสร็จ จำเลยมาก่อสร้างให้เพียง 7 รายการยังเหลืออยู่อีก 21 รายการ ไม่ได้แสดงโดยแจ้งชัดว่า งานที่จำเลยยังทำไม่เสร็จ 28 รายการนั้นคือรายการใดบ้างมาทำเสร็จไปอีก 7 รายการคือรายการใดบ้าง และยังค้างอยู่ 21 รายการ อันจำเลยจะต้องรับผิดในการที่โจทก์ต้องจ้างบุคคลอื่นมาทำนั้นคือรายการใดแม้โจทก์จะได้กล่าวไว้ว่าโจทก์จะได้นำเสนอต่อศาลในชั้นพิจารณาก็ไม่ช่วยให้คำบรรยายฟ้องแจ้งชัดขึ้นคำฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับให้จำเลยชดใช้เงินที่จำเลยกระทำการก่อสร้างไม่เสร็จภายในกำหนดแห่งสัญญา โดยบรรยายข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า จำเลยก่อสร้างไม่เสร็จภายใน 300 วัน ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 30 กันยายน 2516 หากจำเลยทำงานไม่เสร็จภายในกำหนด ยอมให้โจทก์ปรับวันละ 500 บาท คำฟ้องดังกล่าวเป็นเรื่องเรียกเบี้ยปรับในกรณีที่จำเลยไม่ชำระหนี้ตามเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาเพียงแต่บรรยายว่าจำเลยไม่กระทำการก่อสร้างให้เสร็จภายในกำหนดแห่งสัญญาก็แจ้งชัดพอแล้วแม้จะไม่มีรายละเอียดการก่อสร้างที่อ้างว่าทำไม่เสร็จ ก็ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับให้จำเลยชดใช้เงินที่จำเลยกระทำการก่อสร้างไม่เสร็จภายในกำหนดแห่งสัญญา โดยบรรยายข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า จำเลยก่อสร้างไม่เสร็จภายใน 300 วัน ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 30 กันยายน 2516 หากจำเลยทำงานไม่เสร็จภายในกำหนด ยอมให้โจทก์ปรับวันละ 500 บาท คำฟ้องดังกล่าวเป็นเรื่องเรียกเบี้ยปรับในกรณีที่จำเลยไม่ชำระหนี้ตามเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาเพียงแต่บรรยายว่าจำเลยไม่กระทำการก่อสร้างให้เสร็จภายในกำหนดแห่งสัญญาก็แจ้งชัดพอแล้วแม้จะไม่มีรายละเอียดการก่อสร้างที่อ้างว่าทำไม่เสร็จ ก็ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 53-54/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องเคลือบคลุม: จำเป็นต้องระบุรายละเอียดงานที่จำเลยไม่เสร็จในสัญญาจ้าง
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับให้จำเลยชดใช้เงินค่าก่อสร้างซึ่งเป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องทำตามสัญญาแต่จำเลยไม่ทำ เป็นเหตุให้โจทก์ต้องจ้างบุคคลอื่นมาทำแทน แต่โจทก์บรรยายว่าจำเลยได้ละทิ้งงานก่อสร้างไปโดยงานก่อสร้างยังไม่เสร็จอยู่ 28 รายการ โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยมาทำการก่อสร้างให้เสร็จ จำเลยมาก่อสร้างให้เพียง 7 รายการ ยังเหลืออยู่อีก 21 รายการ ไม่ได้แสดงโดยแจ้งชัดว่า งานที่จำเลยยังทำไม่เสร็จ 28 รายการนั้นคือรายการใดบ้าง มาทำเสร็จไปอีก 7 รายการ คือรายการใดบ้าง และยังค้างอยู่ 21 รายการ อันจำเลยจะต้องรับผิดในการที่โจทก์ต้องจ้างบุคคลอื่นมาทำนั้นคือรายการใด แม้โจทก์จะได้กล่าวไว้ว่าโจทก์จะได้นำเสนอต่อศาลในชั้นพิจารณา ก็ไม่ช่วยให้คำบรรยายฟ้องแจ้งชัดขึ้น คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับให้จำเลยชดใช้เงินที่จำเลยกระทำการก่อสร้างไม่เสร็จภายในกำหนดแห่งสัญญา โดยบรรยายข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า จำเลยก่อสร้างไม่เสร็จภายใน 300 วันตามที่กำหนดไว้ในสัญญาซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 30 กันยายน 2516 หากจำเลยทำงานไม่เสร็จภายในกำหนด ยอมให้โจทก์ปรับวันละ 500 บาท คำฟ้องดังกล่าวเป็นเรื่องเรียกเบี้ยปรับในกรณีที่จำเลยไม่ชำระหนี้ตามเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญา เพียงแต่บรรยายว่าจำเลยไม่กระทำการก่อสร้างให้เสร็จภายในกำหนดแห่งสัญญาก็แจ้งชัดพอแล้ว แม้จะไม่มีรายละเอียดการก่อสร้างที่อ้างว่าทำไม่เสร็จ ก็ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับให้จำเลยชดใช้เงินที่จำเลยกระทำการก่อสร้างไม่เสร็จภายในกำหนดแห่งสัญญา โดยบรรยายข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า จำเลยก่อสร้างไม่เสร็จภายใน 300 วันตามที่กำหนดไว้ในสัญญาซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 30 กันยายน 2516 หากจำเลยทำงานไม่เสร็จภายในกำหนด ยอมให้โจทก์ปรับวันละ 500 บาท คำฟ้องดังกล่าวเป็นเรื่องเรียกเบี้ยปรับในกรณีที่จำเลยไม่ชำระหนี้ตามเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญา เพียงแต่บรรยายว่าจำเลยไม่กระทำการก่อสร้างให้เสร็จภายในกำหนดแห่งสัญญาก็แจ้งชัดพอแล้ว แม้จะไม่มีรายละเอียดการก่อสร้างที่อ้างว่าทำไม่เสร็จ ก็ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม