คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 288

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 813 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 228/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฉ้อฉลในการโอนทรัพย์สินและการบังคับคดี: ศาลมีอำนาจวินิจฉัยการฉ้อฉลในชั้นบังคับคดีได้
ผู้ร้องร้องขัดทรัพย์ว่าทรัพย์ที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้อง โจทก์ต่อสู้ว่าทรัพย์นั้นเป็นของจำเลยทั้งนั้นไม่ใช่ของผู้ร้อง ที่ผู้ร้องร้องขัดทรัพย์ก็เพื่ออุบายฉ้อโกงไม่ชำระหนี้แก่โจทก์เท่านั้น ดังนี้ ย่อมมีความหมายอยู่ในตัวแล้วว่าอย่างน้อยก็เป็นการสมยอมกัน เป็นการฉ้อฉล การที่ศาลยกประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 ขึ้นวินิจฉัยจึงไม่ใช่นอกฟ้องนอกประเด็น
ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 11/2505)
เรื่องการฉ้อฉลนี้ศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยในชั้นร้องขัดทรัพย์ดังกล่าวแล้ว และเมื่อฟังว่าการโอนทรัพย์ระหว่างจำเลย (สามี) กับผู้ร้อง (ภรรยา) เป็นการฉ้อฉลตามมาตรา 237 ก็มีอำนาจที่จะพิพากษาว่าโจทก์นำยึดทรัพย์รายนี้ได้ ผู้ร้องไม่ชอบที่จะมาร้องขัดทรัพย์ และเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ผู้ร้องจะโต้แย้งว่าเป็นเรื่องของโจทก์ที่จะขอแบ่งแยกสินบริคณห์แล้วนำยึดเฉพาะส่วนของจำเลย ดังนี้ย่อมฟังไม่ขึ้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 202/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคุ้มครองสิทธิผู้ซื้อทรัพย์สินโดยสุจริต แม้การซื้อขายมีเจตนาฉ้อฉลก่อนฟ้องคดี
ตามมาตรา 238 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับบุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยสุจริตเช่นในคดีร้องขัดทรัพย์ (โจทก์นำยึดทรัพย์ที่อ้างว่าเป็นของจำเลยผู้ร้อง ร้องว่าทรัพย์นั้นผู้ร้องซื้อจากจำเลยแล้ว ขอให้ถอนการยึด โจทก์คัดค้านโดยอ้างว่าการซื้อขายไม่เป็นไปโดยสุจริต เพราะจำเลยโอนทรัพย์ให้ผู้ร้องโดยการสมยอมกัน)ผู้ร้องได้โอนทรัพย์นั้นให้บุคคลภายนอกไปอีกทอดหนึ่งแล้วถ้าโจทก์ขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลได้สำเร็จผลแห่งการเพิกถอนนั้นย่อมไม่กระทบกระทั่งถึงสิทธิของบุคคลภายนอกที่ได้รับโอนไป(อีกทอดหนึ่งนั้น)โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนก่อนที่โจทก์ขอให้เพิกถอนการฉ้อฉล

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 202/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิของบุคคลภายนอกที่ได้ทรัพย์สินมาโดยสุจริต แม้การซื้อขายมีเจตนาฉ้อฉล ก่อนฟ้องเพิกถอน
ตามมาตรา 238 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับบุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยสุจริต เช่น ในคดีร้องขัดทรัพย์ (โจทก์นำยึดทรัพย์อ้างว่าเป็นของจำเลย ผู้ร้อง ๆ ว่าทรัพย์นั้นผู้ร้องซื้อจากจำเลยแล้ว ขอให้ถอนการยึด โจทก์คัดค้านโดยอ้างว่าการซื้อขายไม่เป็นไปโดยสุจริต เพราะจำเลยโอนทรัพย์ให้ผู้ร้องโดยการสมยอมกัน) ผู้ร้องได้โอนทรัพย์นั้นให้บุคคลภายนอกไปอีกทอดหนึ่งแล้ว ถ้าโจทก์ขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลได้สำเร็จ ผลแห่งการเพิกถอนนั้นย่อมไม่กระทบกระทั่งถึงสิทธิของบุคคลภายนอกที่ได้รับโอนไป (อีกทอดหนึ่งนั้น) โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนก่อนที่โจทก์ขอให้เพิกถอนการฉ้อฉล

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 183/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าของร่วม: สิทธิการร้องขัดทรัพย์เมื่อทรัพย์สินเป็นของร่วม
คดีร้องขัดทรัพย์ ซึ่งโจทก์นำยึดอ้างว่าเป็นทรัพย์ของจำเลย ผู้ร้องคัดค้านว่าเป็นทรัพย์ของตนนั้น เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยและผู้ร้องเป็นเจ้าของร่วมกันผู้ร้องก็ย่อมไม่มีสิทธิร้องขัดทรัพย์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 183/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าของร่วม: สิทธิการร้องขัดทรัพย์มิอาจใช้ได้เมื่อทรัพย์สินเป็นของเจ้าของร่วม
คดีร้องขัดทรัพย์ ซึ่งโจทก์นำยึดอ้างว่าเป็นทรัพย์ของจำเลย ผู้ร้องคัดค้านว่าเป็นทรัพย์ของตนนั้น เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยและผู้ร้องเป็นเจ้าของร่วมกัน ผู้ร้องก็ย่อมไม่มีสิทธิร้องขัดทรัพย์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 168/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งทรัพย์สินสมรสหลังยอมความในคดีร้องขัดทรัพย์ ศาลยืนตามสิทธิการจัดการสินสมรส
ในกรณีที่ภริยาจำเลยร้องขัดทรัพย์แล้วทำยอมความในศาลกับโจทก์ให้ขายทรัพย์ที่ยึดเอาเงินครึ่งหนึ่งให้ผู้ร้องรับไป อีกครึ่งหนึ่งชำระหนี้โจทก์ เหลือก็คืนจำเลยนั้น หากปรากฏว่าทรัพย์ที่ยึดเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับผู้ร้อง ยินยอมให้ขายชำระหนี้โจทก์ได้แล้ว ก็ไม่มีปัญหาเรื่องจำเลยและผุ้ร้องจะมีสิทธิในทรัพย์ที่ยึดอย่งไร คงมีปัญหาอยู่ที่ว่า ฝ่ายใดจะมีสิทธิรับทรัพย์ส่วนของผู้ร้องตามยอมคืนไปเท่าใด และฝ่ายใดจะเป็นผู้ดำเนินคดีแก่ฝ่ายใดเท่านั้น จำเลยจะร้องอ้างว่าไม่ได้อนุญาตให้ผู้ร้องร้องขัดทรัพย์และทำยอมจึงขอบอกล้างเสียนั้นย่อมไม่ได้ เพราะไม่เป็นปัญหาเกี่ยวกับกรณีร้องขัดทรัพย์นี้ ชอบที่จำเลยและผู้ร้องจะไปว่ากล่าวเป็นอีกส่วนหนึ่งต่างหาก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 168/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งทรัพย์สินสมรสหลังยึดทรัพย์ชำระหนี้: สิทธิของสามีภริยาและการบอกล้างสัญญาประนีประนอม
ในกรณีที่ภริยาจำเลยร้องขัดทรัพย์แล้วทำยอมความในศาลกับโจทก์ให้ขายทรัพย์ที่ยึดเอาเงินครึ่งหนึ่งให้ผู้ร้องรับไป อีกครึ่งหนึ่งชำระหนี้โจทก์ เหลือก็คืนจำเลยนั้นหากปรากฏว่า ทรัพย์ที่ยึดเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับผู้ร้อง ยินยอมให้ขายชำระหนี้โจทก์ได้แล้ว ก็ไม่มีปัญหาเรื่องจำเลยและผู้ร้องจะมีสิทธิในทรัพย์ที่ยึดอย่างไร คงมีปัญหาอยู่ที่ว่า ฝ่ายใดจะมีสิทธิรับทรัพย์ส่วนของผู้ร้องตามยอมคืนไปเท่าใด และฝ่ายใดจะเป็นผู้ดำเนินคดีแก่ฝ่ายใดเท่านั้น จำเลยจะร้องอ้างว่าไม่ได้อนุญาตให้ผู้ร้องร้องขัดทรัพย์และทำยอม จึงขอบอกล้างเสียนั้นย่อมไม่ได้เพราะไม่เป็นปัญหาเกี่ยวกับกรณีร้องขัดทรัพย์นี้ ชอบที่จำเลยและผู้ร้องจะไปว่ากล่าวเป็นอีกส่วนหนึ่งต่างหาก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 28/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขัดทรัพย์ยึด: สิทธิครอบครอง vs. เจ้าของทรัพย์, ฟ้องซ้ำ, อายุความมรดก
เมื่อเจ้าหนี้นำยึดนาที่อยู่ในการครอบครองของผู้ร้องถือได้ว่ามีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิในการที่ผู้ร้องจะครอบครองที่นาพิพาทต่อไปแล้ว การร้องขอให้ปล่อยทรัพย์สินที่ถูกยึด ประเด็นมีอยู่ว่าลูกหนี้ตามคำพิพากษาเป็นเจ้าของทรัพย์สินนั้นหรือไม่ ถ้ามิใช่ ศาลก็ต้องสั่งปล่อย เหตุนี้ ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องขอให้ปล่อยนาพิพาทได้
ผู้ร้องอ้างว่าได้ครอบครองที่นาที่ถูกยึดโดยเจ้าของเดิมนำมาประกันเงินกู้ ขอให้สั่งปล่อยที่นานั้น แม้เจ้าของเดิมตายมากว่า 1 ปีแล้ว ผู้ร้องก็ยังฟ้องร้องอ้างได้ จะนำอายุความมรดกมาบังคับไม่ได้
คดีก่อน ผู้ร้องฟ้องขอให้ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับที่นาพิพาท แต่คดีนี้ผู้ร้องอ้างว่าที่นาพิพาทมิใช่ทรัพย์ของจำเลย ขอให้ศาลปล่อยนาพิพาทซึ่งถูกยึด ประเด็นและคู่ความต่างกันการร้องขัดทรัพย์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 28/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการครอบครองทรัพย์สินที่ถูกยึด - การขัดทรัพย์ - ไม่เป็นฟ้องซ้ำ - อายุความมรดก
เมื่อเจ้าหนี้มายึดนาที่อยู่ในการครอบครองของผู้ร้อง ถือได้ว่ามีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิในการที่ผู้ร้องจะครอบครองที่นาพิพาทต่อไปแล้ว การร้องขอให้ปล่อยทรัพย์สินที่ถูกยึด ประเด็นมีอยู่ว่า ลูกหนี้ตามคำพิพากษาเป็นเจ้าของทรัพย์สินนั้นหรือไม่ ถ้ามิใช่ศาลก็ต้องสั่งปล่อย เหตุนี้ ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องขอให้ปล่อยพิพาทได้
ผู้ร้องอ้างว่าได้ครอบครองที่นาที่ถูกยึดโดยเจ้าของเดิมนำมาประกันเงินกู้ ขอให้สั่งปล่อยที่นานั้น แม้เจ้าของเดิมตายมากกว่า 1 ปีแล้ว ผู้ร้องก็ยังฟ้องร้องอ้างได้ จะนำอายุความมรดกมาบังคับไม่ได้
คดีก่อน ผู้ร้องฟ้องขอให้ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับที่นาพิพาท แต่คดีนี้ผู้ร้องอ้างว่าที่นาพิพาทมิใช่ทรัพย์ของจำเลย ขอให้ศาลปล่อยนาพิพาทซึ่งถูกยึด ประเด็นและคู่ความต่างกัน การร้องขัดทรัพย์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1194/2505

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินหลังบอกเลิกสัญญา และข้อยกเว้นการยึดทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 288 ให้อำนาจแต่เพียงร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ถูกยึด ไม่มีข้อบัญญัติให้ผู้ร้องว่ากล่าวหรือเรียกร้องในกรณีอื่น เมื่อผู้ร้องขัดทรัพย์หาว่าโจทก์จำเลยทำให้ผู้ร้องเสียหายและเรียกค่าเสียหายจากโจทก์จำเลยเนื่องจากการถูกยึดทรัพย์ ผู้ร้องก็ต้องเสนอข้อหาโดยทำเป็นคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 จะเรียกร้องมาในคำร้องขัดทรัพย์ไม่ได้
จำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้ทำสัญญารับจ้างเหมาสร้างทางไว้กับผู้ร้องขัดทรัพย์ก่อนถูกเจ้าหนี้ตามคำพิพากษายึดทรัพย์ โดยมีข้อกำหนดในสัญญาว่า "ถ้ามีการเลิกสัญญาโดยผู้รับจ้างเหมาผิดสัญญาด้วยประการใด ๆ สัมภาระสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ของผู้รับจ้างเหมาที่นำไปไว้ในบริเวณที่ก่อสร้าง ผู้รับจ้างเหมายอมให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ว่าจ้างทั้งหมด ผู้รับจ้างเหมาจะนำเอาไปไม่ได้" และมีข้อสัญญาให้ผู้ว่าจ้างมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ในเมื่อผู้รับจ้างเหมาผิดสัญญา ดังนี้ เมื่อผู้ร้องขัดทรัพย์ซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างได้บอกเลิกสัญญาโดยจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา สัมภาระสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ที่ถูกยึดโดยเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องขัดทรัพย์ซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างตามข้อกำหนดในสัญญา แม้ถึงว่าการบอกเลิกสัญญานั้นจะกระทำภายหลังที่โจทก์ได้ยึดทรัพย์นี้แล้วก็ตาม โจทก์ก็ไม่มีสิทธิให้ขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดนั้นได้
of 82