พบผลลัพธ์ทั้งหมด 86 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 225/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งความเท็จในฐานะผู้ต้องหา: การให้ข้อมูลเท็จระหว่างถูกสอบสวนไม่ใช่ความผิดฐานแจ้งความเท็จ
ร้อยตำรวจตรีกมลกับพวกจับกุมจำเลยในข้อหาเล่นการพนันสลากกินรวบ และค้นตัวจำเลยได้บัตรรับฝากรถจักรยานและกระดาษฟุลสแก๊ปมีเขียนเลข 2 ฉบับ จำเลยแจ้งว่าเป็นสลากกินรวบซื้อมาจากโจทก์ดังนี้ ถือว่าจำเลยกล่าวในฐานะผู้ต้องหาหรือเสมือนผู้ต้องหาจำเลยหามีความผิดฐานแจ้งความเท็จไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 897/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แจ้งความเท็จ: การเล่าเหตุการณ์ตามความเข้าใจ ไม่ถือเป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จ หากไม่มีเจตนาใส่ร้าย
จำเลยไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน.โดยเล่าเรื่องให้ฟังตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าบิดาโจทก์กับบิดาจำเลยเป็นความกันเรื่องทางเดิน จำเลยพาคนไปถ่ายภาพทางเดินนั้นเพื่อประกอบคดีในขณะที่โจทก์กับพวกกำลังเดินออกจากบ้าน ขณะที่ถ่ายภาพอยู่นั้นได้มีเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด จำเลยไม่เห็นคนยิง แต่เชื่อหรือเข้าใจว่าโจทก์เป็นผู้ยิงพนักงานสอบสวนได้สรุปข้อความตามคำแจ้งความแล้วให้ตำรวจบันทึกคำแจ้งความไว้ มีความตอนหนึ่งว่า โจทก์ใช้ปืนพกยิงจำเลยเข้าใจว่าโจทก์มีเจตนาจะยิงจำเลยให้ถึงแก่ความตาย ดังนี้ เห็นได้ว่าจำเลยไปแจ้งความโดยเล่าเรื่องตามที่เกิดขึ้นซึ่งมีเหตุการณ์ทำให้จำเลยเข้าใจเช่นนั้นได้ ข้อความที่บันทึกไว้นั้นก็เป็นข้อความที่พนักงานสอบสวนบอกให้ตำรวจเขียน ไม่ใช่ถ้อยคำที่จำเลยแจ้งโดยแท้จริง ทั้งมีพฤติการณ์ต่อมาแสดงว่าจำเลยมิได้เจตนาแกล้งเอาความเท็จไปกล่าวหาโจทก์ การกระทำของจำเลยจึงยังไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 847/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แจ้งความเท็จ: ความเข้าใจผิดของผู้แจ้ง ไม่ถึงเจตนาใส่ร้าย ถือว่าไม่เป็นความผิด
จำเลยไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนโดยเล่าเรื่องให้ฟังตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าบิดาโจทก์กับบิดาจำเลยเป็นความกันเรื่องทางเดิน จำเลยหาคนไปถ่ายภาพทางเดินนั้นเพื่อประกอบคดีในขณะที่โจทก์กับพวกกำลังเดินออกจากบ้านขณะที่ถ่ายภาพอยู่นั้น ได้มีเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด จำเลยไม่เห็นคนยิง แต่เชื่อหรือเข้าใจว่าโจทก์เป็นผู้ยิง พนักงานสอบสวนได้สรุปข้อความตามคำแจ้งความ แล้วให้ตำรวจบันทักคำแจ้งความไว้ มีความตอนหนึ่งว่า โจทก์ใช้ปืนพกยิง จำเลยเข้าใจว่าโจทก์มีเจตนาจะยิงจำเลยให้ถึงแก่ความตาย ดังนี้เห็นได้ว่าจำเลยไปแจ้งความโดยเล่าเรื่องตามที่เกิดขึ้น ซึ่งมีเหตุการณ์ทำให้จำเลยเข้าใจเช่นนั้นได้ ข้อความที่บันทึกไว้นั้นก็เป็นข้อความที่พนักงานสอบสวนบอกให้เขียน ไม่ใช่ถ้อยคำที่จำเลยแจ้งโดยแท้จริง ทั้งมีพฤติการณ์ต่อมาแสดงว่าจำเลยมิได้เจตนาแกล้งเอาความเท็จไปกล่าวหาโจทก์ การกระทำของจำเลยจึงยังไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 284/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แจ้งความเท็จเกี่ยวกับเช็ค: เหตุแห่งความผิดอยู่ที่เช็คไม่สามารถขึ้นเงินได้ ไม่ใช่สถานที่ออกเช็ค
การที่จำเลยแจ้งความต่อเจ้าพนักงานสอบสวนว่า โจทก์ออกเช็คโดยไม่มีเงินในธนาคารนั้น แม้จำเลยจะแจ้งสถานที่ที่โจทก์ออกเช็คและมอบเช็คให้จำเลยผิดไปจากความจริง จำเลยก็ไม่ต้องรับผิดฐานแจ้งความเท็จ เพราะถ้าเช็คนั้นมีการใช้เงินหรือขึ้นเงินจากธนาคารได้แล้ว การระบุสถานที่ออกเช็คและรับมอบเช็คนั้น แม้จะผิดไปจากความจริง ก็ไม่เป็นเหตุที่จะเกิดความผิดอันจะต้องมีการสอบสวน เหตุที่จะเกิดความผิดอยู่ที่ว่า เช็คนั้นขึ้นเงินไม่ได้ อันพนักงานสอบสวนจะต้องดำเนินการสอบสวน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 844/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจับกุมฐานบุกรุกป่า: การพิสูจน์สภาพที่ดินเป็นป่า และเจตนาของเจ้าพนักงาน
เจ้าของเดิมเข้าบุกเบิกแผ้วถางป่าปลูกพืชผลมา 7 - 8 ปีแล้วโดยมิชอบด้วยกฎหมายที่ดิน เพราะเข้าบุกเบิกโดยพลการมิได้ขออนุญาตจากเจ้าพนักงานและเมื่อประกาศใช้ประมวลกฏหมายที่ดิน ก็มิได้แจ้งการครอบครอง แม้ต่อมาจะมีผู้อื่นซื้อที่ดินนี้จากเจ้าของเดิมก็ยังต้องถือว่าที่ดินนี้คงมีสภาพเป็นป่าอยู่ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 4
พนักงานป่าไม้ปฏิบัติตามคำสั่งของป่าไม้เขตเข้าจับกุมผู้ไถพรวนดินและสุมเผากิ่งไม้อยู่ในเขตที่มีผู้แจ้งว่ามีการบุกรุกแผ้วถางป่าหาว่ากระทำผิดพระราชบัญญัติป่าไม้-เมื่อไม่ปรากฎว่าเป็นการแกล้งจับหรือแจ้งข้อหาเท็จ ทั้งที่ดินนั้นก็ยังต้องถือว่ามีสภาพเป็นป่าอยู่ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ ดังนี้ จะหาว่าพนักงานป่าไม้นั้นกระผิดตามมาตรา 157,172,173 แห่งประมวลกฎหมายอาญาหาได้ไม่.
พนักงานป่าไม้ปฏิบัติตามคำสั่งของป่าไม้เขตเข้าจับกุมผู้ไถพรวนดินและสุมเผากิ่งไม้อยู่ในเขตที่มีผู้แจ้งว่ามีการบุกรุกแผ้วถางป่าหาว่ากระทำผิดพระราชบัญญัติป่าไม้-เมื่อไม่ปรากฎว่าเป็นการแกล้งจับหรือแจ้งข้อหาเท็จ ทั้งที่ดินนั้นก็ยังต้องถือว่ามีสภาพเป็นป่าอยู่ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ ดังนี้ จะหาว่าพนักงานป่าไม้นั้นกระผิดตามมาตรา 157,172,173 แห่งประมวลกฎหมายอาญาหาได้ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 844/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจับกุมผู้บุกรุกป่าโดยเจ้าพนักงานป่าไม้ การพิสูจน์สภาพที่ดินเป็นป่า และการไม่มีเจตนาแกล้งจับกุม
เจ้าของเดิมเขาบุกเบิกแผ้วถางป่าปลูกพืชผลมา 7-8 ปีแล้วโดยมิชอบด้วยกฎหมายที่ดิน เพราะเขาบุกเบิกโดยพลการมิได้ขออนุญาตจากเจ้าพนักงานและเมื่อประกาศใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน ก็มิได้แจ้งการครอบครอง แม้ต่อมาจะมีผู้อื่นซื้อที่ดินนี้จากเจ้าของเดิมก็ยังต้องถือว่าที่ดินนี้คงมีสภาพเป็นป่าอยู่ตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ.2484 มาตรา 4
พนักงานป่าไม้ปฏิบัติตามคำสั่งของป่าไม้เขตเข้าจับกุมผู้ไถพรวนดินและสุมเผากิ่งไม้อยู่ในเขตที่มีผู้แจ้งว่ามีการบุกรุกแผ้วถางป่าหาว่ากระทำผิดพระราชบัญญัติป่าไม้เมื่อไม่ปรากฏว่าเป็นการแกล้งจับหรือแจ้งข้อหาเท็จทั้งที่ดินนั้นก็ยังถือว่ามีสภาพเป็นป่าอยู่ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ดังนี้จะหาว่าพนักงานป่าไม้นั้นกระทำผิดตามมาตรา 157,172,173 แห่งประมวลกฎหมายอาญาหาได้ไม่
พนักงานป่าไม้ปฏิบัติตามคำสั่งของป่าไม้เขตเข้าจับกุมผู้ไถพรวนดินและสุมเผากิ่งไม้อยู่ในเขตที่มีผู้แจ้งว่ามีการบุกรุกแผ้วถางป่าหาว่ากระทำผิดพระราชบัญญัติป่าไม้เมื่อไม่ปรากฏว่าเป็นการแกล้งจับหรือแจ้งข้อหาเท็จทั้งที่ดินนั้นก็ยังถือว่ามีสภาพเป็นป่าอยู่ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ดังนี้จะหาว่าพนักงานป่าไม้นั้นกระทำผิดตามมาตรา 157,172,173 แห่งประมวลกฎหมายอาญาหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 586-600/2504
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานแจ้งความเท็จและการใช้เช็คโดยมิได้คิดบัญชีหักทอน ความรับผิดทางอาญาและทางแพ่ง
จำเลยจ้างโจทก์ทำการก่อสร้างอาคารและจ่ายเงินให้โจทก์นำไปใช้ในการก่อสร้าง โดยให้โจทก์ออกเช็คไว้ให้เป็นประกันการก่อสร้างโดยเป็นที่เข้าใจกันว่าจะบังคับใช้ให้มีการจ่ายเงินตามเช็คได้ต่อเมื่อได้คิดบัญชีหักทอนกันก่อน แต่ต่อมาโจทก์จำเลยผิดใจกัน จำเลยนำเช็คเข้าบัญชีธนาคาร ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยก็ไปแจ้งความตำรวจหาว่าโจทก์ทำผิดอาญา โดยกู้ยืมเงินไปแล้วออกเช็คไว้ให้ไม่มีเงินพอจ่าย ทั้งนี้โดยไม่ได้คิดบัญชีกันเลยดังนี้ จำเลยมีความผิดฐานแจ้งความเท็จ ส่วนโจทก์ไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2497(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 14/2504)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 804/2502 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแจ้งความเท็จต้องระบุรายละเอียดชัดเจน หากไม่ชัดเจนถือเป็นฟ้องไม่สมบูรณ์
ฟ้องโจทก์ที่บรรยายว่า จำเลยร้องเรียนแจ้งความเท็จจริงต่อเจ้าพนักงาน ถ้าโจทก์มิได้บรรยายให้ชัดแจ้งว่า ข้อความที่จำเลยร้องเรียนและแจ้งแก่เจ้าพนักงานนั้น เท็จอย่างใด และความจริงเป็นฉันใด อันพอที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี แม้ข้อความในตอนท้ายจะมีกล่าวว่า โดยจำเลยรู้อยู่ก่อนแล้วว่า เป็นข้อความเท็จหรือมิได้มีการกระทำผิดอาญาเกิดขึ้น ก็เป็นข้อความที่กล่าวอย่างเคลือบคลุม ไม่ปรากฏว่าจำเลยรู้ว่าเป็นข้อเท็จในข้อใด คำว่า "หรือมิได้มีการกระทำผิดอาญาเกิดขึ้น" ก็เป็นคำกล่าวอย่างกว้าง ๆ ไม่แน่ชัดว่าเหตุที่ไม่มีการกระทำผิดเกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะไม่มีการกระทำหรือว่าเป็นเพราะการกระทำนั้นไม่เป็นผิดอาญา ทั้งมีคำว่า "หรือ" ประกอบอยู่ในฟ้อง ซึ่งเป็นถ้อยคำที่แสดงถึงการไม่ยืนยันให้แน่ชัด ฟ้องโจทก์เช่นนี้ย่อมไม่สมบูรณ์ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5)
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยไปแจ้งความเท็จหาว่าโจทก์ลักทรัพย์เป็นเหตุให้เจ้าพนักงานจับโจทก์ไปควบคุมไว้ ขอให้ลงโทษจำเลยฐานทำให้เสื่อมเสียอิสระภาพนั้น การที่โจทก์ถูกจับกุมและถูกควบคุมตัวดังที่กล่าวในฟ้อง ย่อมเป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานซึ่งจะเห็นสมควรปฏิบัติต่อโจทก์อย่างใด ตามควรแก่กรณี เพียงแต่พิจารณาฟ้อง ก็ยกฟ้องได้แล้ว เพราะตามที่บรรยายในฟ้องจำเลยยังไม่มีความผิดฐานนี้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยไปแจ้งความเท็จหาว่าโจทก์ลักทรัพย์เป็นเหตุให้เจ้าพนักงานจับโจทก์ไปควบคุมไว้ ขอให้ลงโทษจำเลยฐานทำให้เสื่อมเสียอิสระภาพนั้น การที่โจทก์ถูกจับกุมและถูกควบคุมตัวดังที่กล่าวในฟ้อง ย่อมเป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานซึ่งจะเห็นสมควรปฏิบัติต่อโจทก์อย่างใด ตามควรแก่กรณี เพียงแต่พิจารณาฟ้อง ก็ยกฟ้องได้แล้ว เพราะตามที่บรรยายในฟ้องจำเลยยังไม่มีความผิดฐานนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 804/2502
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องไม่สมบูรณ์! จำเลยแจ้งความเท็จ-ทำให้เสื่อมเสียอิสรภาพ โจทก์บรรยายฟ้องไม่ชัดเจน
ฟ้องโจทก์ที่บรรยายว่า จำเลยร้องเรียนและแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน ถ้าโจทก์มิได้บรรยายให้ชัดแจ้งว่า ข้อความที่จำเลยร้องเรียนและแจ้งแก่เจ้าพนักงานนั้น เท็จอย่างใดและความจริงเป็นฉันใด อันพอที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี แม้ข้อความในตอนท้ายจะมีกล่าวว่าโดยจำเลยรู้อยู่ก่อนแล้วว่า เป็นข้อความเท็จหรือมิได้มีการกระทำผิดอาญาเกิดขึ้น ก็เป็นข้อความที่กล่าวอย่างเคลือบคลุม ไม่ปรากฏว่าจำเลยรู้ว่าเป็นเท็จในข้อใด คำว่า "หรือมิได้มีการกระทำผิดอาญาเกิดขึ้น" ก็เป็นคำกล่าวอย่างกว้างๆ ไม่แน่ชัดว่าเหตุที่ไม่มีการกระทำผิดเกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะไม่มีการกระทำหรือว่าเป็นเพราะการกระทำนั้นไม่เป็นผิดอาญาทั้งมีคำว่า "หรือ" ประกอบอยู่ในฟ้อง ซึ่งเป็นถ้อยคำที่แสดงถึงการไม่ยืนยันให้แน่ชัด ฟ้องโจทก์เช่นนี้ย่อมไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยไปแจ้งความเท็จหาว่าโจทก์ลักทรัพย์เป็นเหตุให้เจ้าพนักงานจับโจทก์ไปควบคุมไว้ ขอให้ลงโทษจำเลยฐานทำให้เสื่อมเสียอิสระภาพนั้น การที่โจทก์ถูกจับกุมและถูกควบคุมตัวดังที่กล่าวในฟ้อง ย่อมเป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานซึ่งจะเห็นสมควรปฏิบัติต่อโจทก์อย่างใดตามควรแก่กรณี เพียงแต่พิจารณาฟ้อง ก็ยกฟ้องได้แล้ว เพราะตามที่บรรยายในฟ้องจำเลยยังไม่มีความผิดฐานนี้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยไปแจ้งความเท็จหาว่าโจทก์ลักทรัพย์เป็นเหตุให้เจ้าพนักงานจับโจทก์ไปควบคุมไว้ ขอให้ลงโทษจำเลยฐานทำให้เสื่อมเสียอิสระภาพนั้น การที่โจทก์ถูกจับกุมและถูกควบคุมตัวดังที่กล่าวในฟ้อง ย่อมเป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานซึ่งจะเห็นสมควรปฏิบัติต่อโจทก์อย่างใดตามควรแก่กรณี เพียงแต่พิจารณาฟ้อง ก็ยกฟ้องได้แล้ว เพราะตามที่บรรยายในฟ้องจำเลยยังไม่มีความผิดฐานนี้