คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.อ. ม. 158

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,873 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1436/2495

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิ่มโทษอาญาจากประวัติเคยต้องโทษ – ไม่เข็ดหลาบ ตามมาตรา 73
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์และขอให้เพิ่มโทษฐานไม่เข็ดหลาบ โดยบรรยายฟ้องว่าจำเลยเคยต้องโทษฐานรับของโจรมาแล้ว 2 ครั้ง แต่ละครั้งมีกำหนดจำคุกเกินกว่า 6 เดือน ดังปรากฏตามใบแดงแจ้งโทษท้ายฟ้อง พ้นโทษครั้งสุดท้ายมากระทำความผิดในคดีนี้อีกภายใน 5 ปีไม่เข็ดหลาบ ขอให้ลงโทษและเพิ่มโทษตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 74
จำเลยให้การรับว่า เคยต้องโทษมาหลายครั้งตามใบแดงแจ้งโทษท้ายฟ้อง และพ้นโทษครั้งสุดท้ายมายังไม่เกิน 5 ปีจริงดังฟ้องโจทก์ ดังนี้เมื่อปรากฏว่า ตามใบแดงแจ้งโทษจำเลยเคยต้องโทษมา 5 ครั้ง ครั้งที่ 5 ต้องโทษฐานรับของโจรจำคุก 8 เดือนพ้นโทษมายังไม่เกิน 3 ปี ก็มากระทำผิดคดีนี้อีก ก็ต้องฟังว่าคำรับของจำเลยแปลความได้ว่ารับรวมทั้งวันพ้นโทษตามใบแดงแจ้งโทษด้วย จึงเพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 73 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1436/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิ่มโทษอาญาเนื่องจากเคยต้องโทษและกระทำผิดซ้ำภายใน 5 ปี
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานหลักทรัพย์และขอให้เพิ่มโทษฐานไม่เข็ดหลาบ โดยบรรยายฟ้องว่าจำเลยเคยต้องโทษฐานรับของโจรมาแล้ว 2 ครั้ง แต่ละครั้งมีกำหนดจำคุกเกินกว่า 6 เดือน ดังปรากฏตามใบแดงแจ้งโทษท้ายฟ้อง พ้นโทษครั้งสุดท้ายมากระทำความผิดในคดีนี้อีกภายใน 5 ปีไม่เข็ดหลาบ ขอให้ลงโทษและเพิ่มโทษตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 74
จำเลยให้การรับว่า เคยต้องโทษมาหลายครั้งตามใบแดงแจ้งโทษท้ายฟ้อง และพ้นโทษครั้งสุดท้ายมายังไม่เกิน 5 ปีจริงดังฟ้องโจทก์ ดังนี้เมื่อปรากฏว่า ตามใบแดงแจ้งโทษจำเลยเคยต้องโทษมา 5 ครั้งๆที่ 5 ต้องโทษฐานรับของโจรจำทุก 8 เดือนพ้นโทษมายังไม่เกิน 3 ปี ก็มากระทำผิดคดีนี้อีก ก็ต้องฟังว่าคำรับของจำเลยแปลความได้ว่ารับรวมทั้งพ้นโทษตามใบแดงแจ้งโทษด้วย จึงเพิ่มโทษจำเลยตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตารา 73 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1241/2495

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลักทรัพย์เวลากลางคืน: ศาลลงโทษตามมาตราที่เกี่ยวข้องได้ แม้การฟ้องไม่ระบุเวลาที่ชัดเจน
โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยลักทรัพย์ ระหว่างวันนั้น ถึงวันนั้น ซึ่งเป็นเวลา 20 วันเศษเวลาใดไม่ปรากฏชัดขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 288,293 ดังนี้ย่อมกินความตลอดทั้งเวลากลางวันและกลางคืน ซึ่งเมื่อจำเลยรับสารภาพว่า ลักทรัพย์เขาไปในเวลากลางคืนแล้ว ศาลก็ย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนตามมาตรา 293 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1241/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลักทรัพย์เวลากลางคืน: ศาลลงโทษตามมาตราที่ครอบคลุมทั้งกลางวันและกลางคืนได้
โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยลักทรัพย์ระหว่างนั้น ถึงวันนั้น ซึ่งเป็นระยะเวลา 20 วันเศษ เวลาใดไม่ปรากฎชัด ขอให้ลงโทษตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 288, 293. ดังนี้ ย่อมกินความตลอดทั้งเวลากลางวันและกลางคืน ซึ่งเมื่อจำเลยรับสารภาพว่า ลักทรัพย์เขาไปในเวลากลางคืนแล้ว ศาลก็ย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์
ในเวลากลางคืนตามมาตรา 293 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1153-1154/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสมคบคิดก่อการกบถ: วันเวลาที่ระบุในฟ้อง และการล้มล้างรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎหมาย
ฟ้องหาว่าจำเลยได้สมคบกันพยายามจะก่อการกบถโดยจะกระทำการประทุษฐร้ายเพื่อทำลายรัฐบาล ฯลฯ ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม 2491 เวลาใดไม่ปรากฎถึง วันที่ 2 ตุลาคม ปีเดียวกันเวลากลางวัน ฯลฯ ดังนี้ ถือได้ว่าเป็นฟ้องที่ระบุวันเวลาจำกัดพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้แล้ว กฎหมายหาได้บังคับให้แยกเป็นเวลา เป็นรายตัวบุคคลไม่ และไม่จำเป็นต้องแยกว่า จำเลยคนใดกระทำผิดอย่างใด เมื่อได้บรรยายการกระทำผิดมาพอที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ก็ย่อมเป็นฟ้องที่สมบูรณ์
การล้มล้างรัฐบาลเก่า ตั้งเป็นรัฐบาลขึ้นใหม่โดยใช้กำลังนั้น ในตอนต้นอาจไม่ชอบด้วยกฎหมายจนกว่าประชาชนจะได้ยอมรับนับถือแล้ว เมื่อเป็นรัฐบาลที่ถูกต้องตามความเป็นจริงคือหมายความว่า ประชาชนได้ยอมรับนับถือแล้ว ผู้ก่อการกบถล้มล้างรัฐบาลดั่งกล่าวก็ต้องเป็นผิดตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 102

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1153-1154/2495

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความสมบูรณ์ของฟ้องคดีกบฏ และการเปลี่ยนแปลงสถานะของรัฐบาล
ฟ้องหาว่าจำเลยได้สมคบกันพยายามจะก่อการกบฏโดยจะกระทำการประทุษร้ายเพื่อทำลายรัฐบาล ฯลฯ ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม 2491 เวลาใดไม่ปรากฏถึงวันที่ 2 ตุลาคมปีเดียวกันเวลากลางวัน ฯลฯ ดังนี้ ถือได้ว่าเป็นฟ้องที่ระบุวันเวลาจำกัดพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้แล้วกฎหมายหาได้บังคับให้แยกเป็นเวลา เป็นรายตัวบุคคลไม่ และไม่จำเป็นต้องแยกว่า จำเลยคนใดกระทำผิดอย่างใด เมื่อได้บรรยายการกระทำผิดมาพอที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ก็ย่อมเป็นฟ้องที่สมบูรณ์
การล้มล้างรัฐบาลเก่า ตั้งเป็นรัฐบาลขึ้นใหม่โดยใช้กำลังนั้น ในตอนต้นอาจไม่ชอบด้วยกฎหมายจนกว่าประชาชนจะได้ยอมรับนับถือแล้ว เมื่อเป็นรัฐบาลที่ถูกต้องตามความเป็นจริงคือหมายความว่า ประชาชนได้ยอมรับนับถือแล้วผู้ก่อการกบฏล้มล้างรัฐบาลดังกล่าวก็ต้องเป็นผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 102

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1029/2495

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าพนักงานใช้อำนาจในทางทุจริตเรียกรับเงิน, สมคบกระทำผิด, ความผิดฐานชิงทรัพย์
จำเลยเป็นตำรวจประจำการได้สมคบกับพวกแกล้งกล่าวหาว่าเขาทำผิดกฎหมาย แล้วนำตัวเขาไปเพื่อจะดำเนินคดี ระหว่างทางเขายอมให้เงิน 60 บาทแก่พวกจำเลยตามคำเรียกร้องของจำเลยกับพวก แล้วจำเลยก็ปล่อยเขากลับบ้านได้ ดังนี้จะถือว่าจำเลยกับพวกใช้กำลังทำร้ายหรือขู่เข็ญจะทำร้ายอันจะปรับบทเป็นความผิด ฐานชิงทรัพย์ไม่ได้ แต่อาจเป็นความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 136 ได้
ฟ้องบรรยายว่า จำเลยกับพวกอีกคนหนึ่ง สมคบกันใช้วาจาขู่เข็ญผู้เสียหายว่า จะจับกุมเพราะไม่เสียภาษีและไม่ออกใบรับเงินปิดอากรแสตมป์โดยประสงค์จะเรียกร้องบังคับเอาเงินเป็นผลประโยชน์รายได้ อันมิควรจะได้ตามกฎหมายผู้เสียหายได้ถูกจับกุมไป ระหว่างทางมีความกลัวจึงให้เงินแก่พวกจำเลย เพื่อให้จำเลยปล่อยตัวฯลฯ จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจประจำสถานีฯลฯ ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 136,298 ดังนี้ พอถือได้ว่าเป็นฟ้องที่มีข้อหาในฐานเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ในทางทุจริตด้วย ศาลย่อมลงโทษจำเลยตามมาตรา 136 ได้
สำหรับผู้ที่มิได้เป็นเจ้าพนักงานนั้น ถ้าได้สมคบกับเจ้าพนักงานกระทำผิดตามมาตรา 136 แล้ว ก็มีโทษตามมาตรา 136 ได้ แต่ผิดเพียงฐานสมรู้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1029/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าพนักงานใช้อำนาจในหน้าที่โดยทุจริต และความผิดฐานสมรู้ร่วมคิดในการเรียกรับเงิน
จำเลยเป็นตำรวจประจำการได้สมคบกับพวกแกล้งกล่าวหาว่าเขาทำผิดกฎหมาย แล้วนำตัวเขาไปเพื่อดำเนินคดีระหว่างทางเขายอมให้เงิน 60 บาท แก่พวกจำเลยตามคำเรียกร้องของจำเลยกับพวก แล้วจำเลยก็ปล่อยเขากลับบ้านได้ ดังนี้จะถือได้ว่าจำเลยกับพวกใช้กำลังทำร้ายหรือขู่เข็ญจะทำหร้ายอันจะปรับบทเป็นความผิด ฐานชิงทรัพย์ไม่ได้ แต่อาจเป็นความผิดตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 136 ได้
ฟ้องบรรยายว่า จำเลยกับพวกอีกคนหนึ่ง สมคบกันให้ใช้วาจาขู่เข็ญผู้เสียหายว่า จะจับกุมเพราะไม่เสียภาษีและไม่ออกใบรับเงินปิดอากรแสตมป์ โดยประสงค์จะเรียกร้องบังคับเอาเงินเป็นผลประโยชน์รายได้ อันมิควรจะได้ตามกฎหมาย ผู้เสียหายได้ถูกจับกุมไป ระหว่างทางมีความกลัวจึงให้เงินแก่พวกจำเลย เพื่อ+++จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจประจำสถานี...ฯลฯ ขอให้ลงโทษตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 136, 298 ดังนี้ พอถือได้ว่าเป็นฟ้องที่มีข้อหาในฐานเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ในทางทุจริตด้วย ศาลย่อมลงโทษจำเลยตามมาตรา 136 ได้
สำหรับผู้ทีมิได้เป็นเจ้าพนักงานนั้น ถ้าได้สมคบกับเจ้าพนักงานกระทำผิดตามมาตรา 136 แล้ว ก็มีโทษตามมาตรา 136 ได้ แต่ผิดเพียงฐานสมรู้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 999/2495

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องยักยอกทรัพย์ต้องระบุรายละเอียดชัดเจน และการหลอกลวงขายของเป็นความผิดตามกฎหมาย
ฟ้องหาว่า จำเลยยักยอกทรัพย์ แต่มิได้ระบุวันเวลาที่กล่าวหา เป็นแต่ระบุเดือนปีที่กล่าวหาทั้งเดือน และไม่ได้บรรยายด้วยว่าจำเลยได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดูแลรักษาหรือเก็บรักษาทรัพย์หรือจัดการทรัพย์อย่างใดๆ นั้นศาลย่อมไม่รับพิจารณาข้อหาฐานยักยอกทรัพย์
ฟ้องหาว่าจำเลยใช้อุบายหลอกลวงโจทก์ว่าจำเลยเป็นเจ้าของตู้เย็น ขอขายให้โจทก์ โจทก์หลงเชื่อรับซื้อไว้ ดังนี้ แม้จะมิได้กล่าวว่าหลงเชื่อว่าอย่างไรก็พอเข้าใจได้ว่าหลงเชื่อว่าเป็นทรัพย์ของจำเลยตามที่ใช้อุบายหลอกลวงนั้น คำว่าใช้อุบายหลอกลวงว่าจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ก็พอเข้าใจได้ว่า จำเลยเอาความเท็จมากล่าวว่าเป็นของจำเลย และเมื่อพิจารณาประกอบฟ้องอีกข้อหนึ่ง ที่ว่าโจทก์ไปที่ร้านค้าจำเลย ปรากฏว่าสิ่งของทั้งหมดไม่มีอยู่ในร้าน ถามจำเลยจำเลยว่าของเหล่านี้เดิมจำเลยเช่ามาจากเจ้าของ เจ้าของเอาไปหมดแล้ว เป็นการแสดงว่า ของที่กล่าวไม่ใช่ของจำเลย แต่จำเลยใช้อุบายหลอกลวงว่าเป็นของจำเลย และขายให้โจทก์ จึงเป็นฟ้องที่ศาลควรรับฟ้องไว้พิจารณาตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 304 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 888/2495

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความครบถ้วนของฟ้องอาญา: การระบุสถานที่ศาล
ฟ้องหาว่าจำเลยยื่นคำร้องเท็จต่อศาลอาญา ขอให้ลงโทษแม้จะไม่กล่าวในฟ้องว่า ศาลอาญาตั้งอยู่ที่ตำบล อำเภอ และจังหวัดใด จำเลยก็เข้าใจข้อหาได้ดีเพราะมีศาลอาญาเดียวในประเทศไทย ถือว่าเป็นฟ้องที่ครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)แล้ว
of 188