พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,873 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1700/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิป่าไม้และการชักลากไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต การซื้อขายที่ดินไม่ครอบคลุมสิทธิในป่า
มีผู้ยกคันนาทั้ง 3 ด้านล้อมนาและป่าที่มีต้นสักขึ้นอยู่ไว้เพียงเท่านี้ ยังหาทำให้ผู้นั้นเป็นเจ้าของป่าและไม้สักได้ตามกฎหมายไม่ ฉะนั้นแม้ผู้นั้นจะขายที่ดินทั้งหมดให้แก่ผู้อื่น โดยมีเจ้าพนักงานไปรังวัดและไม่มีผู้คัดค้านก็ดีการซื้อขายนั้นก็ไม่ทำให้ผู้รับซื้อมีกรรมสิทธิในที่ป่าและต้นสักนั้น ฉะนั้นผู้ใดตัดต้นสักในที่นั้นโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ จึงย่อมมีความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้
ฟ้องของโจทก์หาว่าจำเลยชักลากไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต อ้าง พ.ร.บ. ป่าไม้ 2484 มาตรา 39 ซึ่งบัญญัติถึงการนำไม้หรือของป่าเคลื่อนที่ต้องมีใบอนุญาตเบิกทางของพนักงานเจ้าหน้าที่กำกับไปด้วยและจำเลยก็เข้าใจข้อหาข้อนี้ดีแล้ว ถือว่าไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
ฟ้องของโจทก์หาว่าจำเลยชักลากไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต อ้าง พ.ร.บ. ป่าไม้ 2484 มาตรา 39 ซึ่งบัญญัติถึงการนำไม้หรือของป่าเคลื่อนที่ต้องมีใบอนุญาตเบิกทางของพนักงานเจ้าหน้าที่กำกับไปด้วยและจำเลยก็เข้าใจข้อหาข้อนี้ดีแล้ว ถือว่าไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1699/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบรรยายฟ้องคดีอาญา ไม่จำต้องใช้ถ้อยคำตามกฎหมาย หากบรรยายลักษณะความผิดครบถ้วน
การบรรยายฟ้องคดีอาญานั้น ไม่จำต้องเขียนข้อความล้อหรือเลียนให้เหมือนถ้อยคำที่บัญญัติไว้ในตัวบทกฎหมาย เมื่อได้กล่าวบรรยายลักษณะของความผิดครบถ้วนและถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 แล้วก็ใช้ได้
การฟ้องคดีหาว่า จำเลยเบิกความเท็จนั้น แม้ในฟ้องจะมิได้ใช้คำว่า ถ้อยคำที่จำเลยเบิกความนั้นจำเลยรู้อยู่ว่าเป็นเท็จ แต่เมื่อถ้อยคำทั้งหลายในฟ้องแสดงให้เห็นชัดว่า จำเลยเบิกความโดยจงใจนำความเท็จมากล่าวว่าเป็นความจริง ซึ่งเท่ากับเอาความที่รู้อยู่ว่าเป็นเท็จมาเบิกความนั่นเอง ไม่มีความหมายผิดแผกแตกต่างอะไรกัน ฉะนั้นเมื่อฟ้องบรรยายลักษณะความผิดครบถ้วนและถูกต้องตามมาตรา 158 แห่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา แล้วก็ใช้ได้
การฟ้องคดีหาว่า จำเลยเบิกความเท็จนั้น แม้ในฟ้องจะมิได้ใช้คำว่า ถ้อยคำที่จำเลยเบิกความนั้นจำเลยรู้อยู่ว่าเป็นเท็จ แต่เมื่อถ้อยคำทั้งหลายในฟ้องแสดงให้เห็นชัดว่า จำเลยเบิกความโดยจงใจนำความเท็จมากล่าวว่าเป็นความจริง ซึ่งเท่ากับเอาความที่รู้อยู่ว่าเป็นเท็จมาเบิกความนั่นเอง ไม่มีความหมายผิดแผกแตกต่างอะไรกัน ฉะนั้นเมื่อฟ้องบรรยายลักษณะความผิดครบถ้วนและถูกต้องตามมาตรา 158 แห่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา แล้วก็ใช้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1699/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบรรยายลักษณะความผิดในฟ้องคดีอาญา ไม่จำต้องลอกเลียนตัวบท หากบรรยายครบถ้วนและถูกต้องตามกฎหมาย
การบรรยายฟ้องคดีอาญานั้นไม่จำต้องเขียนข้อความล้อหรือเลียนให้เหมือนถ้อยคำที่บัญญัตไว้ในตัวบทกฎหมาย เมื่อได้กล่าวบรรยายลักษณะของความผิดครบถ้วนและถูกต้องตาม ป.ม.วิ.อาญามาตรา 158 แล้วก็ใช้ได้
การฟ้องคดีหาว่าจำเลยเบิกความเท็จนั้นแม้ในฟ้องจะมิได้ใช้คำว่าถ้อยคำที่จำเลยเบิกความนั้นจำเลยรู้อยู่ว่าเป็น เท็จแต่เมื่อถ้อยคำทั้งหลายในฟ้องแสดงให้เห็นชัดว่าจำเลยเบิกความโดยจงใจนำความเท็จมากล่าวว่าเป็นความ จริง ซึ่งเท่ากับเอาความที่รู้อยู่ว่าเป็นเท็จมาเบิกความนั่นเอง ไม่มีความหมายผิดแผกแตกต่างอะไรกันฉะนั้นเมื่อฟ้องบรรยายลักษณะความผิดครบถ้วนและถูกต้องตามมาตรา 158 แห่ง ป.ม.วิ.อาญาแล้วก็ใช้ได้
การฟ้องคดีหาว่าจำเลยเบิกความเท็จนั้นแม้ในฟ้องจะมิได้ใช้คำว่าถ้อยคำที่จำเลยเบิกความนั้นจำเลยรู้อยู่ว่าเป็น เท็จแต่เมื่อถ้อยคำทั้งหลายในฟ้องแสดงให้เห็นชัดว่าจำเลยเบิกความโดยจงใจนำความเท็จมากล่าวว่าเป็นความ จริง ซึ่งเท่ากับเอาความที่รู้อยู่ว่าเป็นเท็จมาเบิกความนั่นเอง ไม่มีความหมายผิดแผกแตกต่างอะไรกันฉะนั้นเมื่อฟ้องบรรยายลักษณะความผิดครบถ้วนและถูกต้องตามมาตรา 158 แห่ง ป.ม.วิ.อาญาแล้วก็ใช้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1610/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการฟ้องคดีอาญา - การลงโทษเกินฟ้อง และการป้องกันตัวเกินกว่าเหตุ
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยทำร้ายร่างกายเขามีบาดเจ็บ ถึงสาหัสแล้ว เขาทนพิษบาดแผลไม่ไหว ได้ถึงแก่ความตายในเวลาต่อมานั้นเอง ไม่มีข้อความว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าเขาแม้ท้ายฟ้องจะระบุ กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 249 ก็ถือไม่ได้ว่า เป็นฟ้องที่ขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาคงถือได้ว่าเป็นฟ้องที่ขอให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 251 เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1610/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตฟ้องจำกัด - การลงโทษเกินเลยจากข้อกล่าวหาเดิม
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยทำร้ายร่างกายเขามีบาดเจ็บถึงสาหัสแล้วเขาทนพิษบาดแผลไม่ไหวได้ถึงแก่ความตายในเวลาต่อมานั้นเอง ไม่มีข้อความว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าเขาแม้ท้ายฟ้องจะระบุ ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 249 ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นฟ้องที่ขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา คงถือได้ว่าเป็นฟ้องที่ขอให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 251 เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1607/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจ่ายเงินรางวัลให้เจ้าพนักงานผู้จับกุมจาก พ.ร.บ.ป้องกันการค้ากำไรเกินควร แม้ฟ้องไม่ชัดเจน
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ป้องกันการค้ากำไรเกินควรและขอให้จ่ายรางวัลด้วย ตามคำบรรยายฟ้องกล่าวแต่ว่าเจ้าพนักงานจับจำเลยได้ แต่คำขอท้ายฟ้องขอให้จ่ายเงินรางวัลแก่พลตำรวจผู้หนึ่งโดยระบุชื่อตำรวจผู้นั้นลงไปโดยไม่ได้กล่าวยืนยันว่าตำรวจผู้นั้นเป็นผู้จับจำเลยด้วยหรือไม่ดังนี้ ศาลก็พิพากษาให้จ่ายเงินรางวัลให้แก่เจ้าพนักงานผู้จับจำเลยได้ โดยไม่ต้องระบุชื่อว่า จ่ายให้ใคร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1607/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจ่ายเงินรางวัลให้เจ้าพนักงานผู้จับกุม แม้คำขอท้ายฟ้องไม่ได้ระบุชัดเจน ศาลสามารถพิจารณาจากอำนาจของพนักงานอัยการได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ป้องกันการค้ากำไรเกินควรและขอให้จ่ายรางวัลด้วย ตามคำบรรยายฟ้องกล่าวแต่ว่าเจ้าพนักงานจับจำเลยได้แต่คำขอท้ายฟ้องขอให้จ่ายเงินรางวัลแก่พลตำรวจผู้หนึ่ง โดยระบุชื่อตำรวจผู้นั้นลงไปโดยไม่ได้กล่าวยืนยันว่าตำรวจผู้นั้นเป็นผู้จับจำเลยด้วยหรือไม่ดังนี้ศาลก็พิพากษาให้จ่ายเงินรางวัลให้แก่เจ้าพนักงานผู้จับจำเลยได้ โดยไม่ต้องระบุชื่อว่าจ่ายให้ใคร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1418/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องอาญาประมาทต้องระบุรายละเอียดการกระทำที่เป็นเหตุแห่งความประมาท มิฉะนั้นฟ้องไม่สมบูรณ์
ฟ้องหาว่าเขาขับรถยนต์โดยประมาทปราศจากความระมัดระวังอันควร เป็นวิสัยของปกติชนเป็นเหตุให้ชนรถผู้อื่นเสียหายและเกิดบาดเจ็บสาหัสขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก 2477 และ ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 259 ดังนี้ เมื่อฟ้องมิได้บรรยายว่าจำเลยมีความประมาทอย่างไรอันเป็นลักษณะของคดีที่จะทำให้จำเลยรู้ข้อหาในความประ มาทของตนได้ จัดว่าเป็นฟ้องไม่สมบูรณ์ตาม ป.ม.วิ.อาญามาตรา 158(5)
(อ้างฎีกาที่ 241/2493)
(อ้างฎีกาที่ 241/2493)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1418/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องขับรถประมาทต้องระบุรายละเอียดความประมาท มิฉะนั้นฟ้องไม่สมบูรณ์
ฟ้องหาว่า เขาขับรถยนต์โดยประมาทปราศจากความระมัดระวังอันควรเป็นวิสัยของปกติชน เป็นเหตุให้ชนรถผู้อื่นเสียหายและเกิดบาดเจ็บสาหัส ขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก 2477 และ กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 259 ดังนี้ เมื่อฟ้องมิได้บรรยายว่าจำเลยมีความประมาทอย่างไร อันเป็นลักษณะของคดีที่จะทำให้จำเลยรู้ข้อหาในความประมาทของตนได้ จัดว่าเป็นฟ้องไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) (อ้างฎีกาที่ 241/2493) (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 2/2484)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1414/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความไม่สมบูรณ์ของฟ้องอาญาคดีลักทรัพย์ เนื่องจากการระบุวันเวลาการกระทำผิดไม่ชัดเจน
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยยักยอกข้าวสารของโจทก์ แต่ในฟ้องระบุแต่เพียงวันที่จำเลยได้รับมอบข้าวไปจากโจทก์ มิได้ระบุวันเวลาที่หาว่า จำเลยยักยอกข้าวไว้เลย และจะตีความว่าโจทก์หาเอาวันที่มอบข้าวเป็นวันกระทำผิด ก็ไม่ได้แล้ว ก็ต้องถือว่าฟ้องของโจทก์ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย