คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.อ. ม. 158

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,873 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7194/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียวความผิดเดียว: การเสพเมทแอมเฟตามีนและการขับรถภายใต้ฤทธิ์ยา
คำฟ้องของโจทก์บรรยายว่า เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2537เวลากลางคืนหลังเที่ยงจำเลยได้กระทำผิดต่อกฎหมาย (ก) จำเลยได้เสพเมทแอมเฟตามีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 เข้าสู่ร่างกายโดยวิธีรับประทานอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย (ข) จำเลยซึ่งได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถยนต์บรรทุกได้ปฏิบัติหน้าที่ผู้ประจำรถโดยเป็นผู้ขับรถยนต์บรรทุกไปตามทางหลวงและถนนสาธารณะโดยขณะขับรถได้เสพเมทแอมเฟตามีนตามคำฟ้องข้อ (ก) เข้าสู่ร่างกายโดยวิธีรับประทาน อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ไม่ได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยเสพเมทแอม-เฟตามีนต่างเวลาและต่างจำนวนกัน แต่กลับยอมรับว่าเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยเสพตามฟ้อง ข้อ (ก) กับที่จำเลยเสพขณะขับรถยนต์บรรทุกตามฟ้อง ข้อ (ข) เป็นจำนวนเดียวกันและเสพในครั้งหนึ่งคราวเดียวกัน แม้การเสพเมทแอมเฟตามีนเพียงอย่างเดียวจะเป็นความผิดสำเร็จในตัวเอง แต่ความผิดฐานขับรถยนต์บรรทุกไปตามทางหลวงและทางสาธารณะโดยขณะขับรถได้เสพเมทแอมเฟตามีนก็เป็นกรรมเดียวที่เกิดจากการกระทำหลายอันเพราะต้องอาศัยองค์ประกอบความผิดคือการเสพเมทแอมเฟตามีนประกอบกับการขับรถไปตามทางหลวงหรือทางสาธารณะด้วยจึงจะเป็นความผิดดังนั้น การกระทำของจำเลยตามฟ้องจึงเป็นความผิดกรรมเดียว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7194/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียวผิดหลายบท: การเสพยาแล้วขับรถบรรทุก ศาลฎีกาวินิจฉัยเป็นกรรมเดียว
คำฟ้องของโจทก์บรรยายว่าเมื่อวันที่16พฤศจิกายน2537เวลากลางคืนหลังเที่ยงจำเลยได้กระทำผิดต่อกฎหมาย(ก)จำเลยได้เสพเมทแอมเฟตามีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท2เข้าสู่ร่างกายโดยวิธีรับประทานอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย(ข)จำเลยซึ่งได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถยนต์บรรทุกได้ปฎิบัติหน้าที่ผู้ประจำรถโดยเป็นผู้ขับรถยนต์บรรทุกไปตามทางหลวงและถนนสาธารณะโดยขณะขับรถได้เสพเมทแอมเฟตามีนตามคำฟ้องข้อ(ก)เข้าสู่ร่างกายโดยวิธีรับประทานอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายไม่ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยเสพเมทแอมเฟตามีนต่างเวลาและต่างจำนวนกันแต่กลับยอมรับว่าเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยเสพตามฟ้องข้อ(ก)กับที่จำเลยเสพขณะขับรถยนต์บรรทุกตามฟ้องข้อ(ข)เป็นจำนวนเดียวกันและเสพในครั้งหนึ่งคราวเดียวกันแม้การเสพเมทแอมเฟตามีนเพียงอย่างเดียวจะเป็นความผิดสำเร็จในตัวเองแต่ความผิดฐานขับรถยนต์บรรทุกไปตามทางหลวงและทางสาธารณะโดยขณะขับรถได้เสพเมทแอมเฟตามีนก็เป็นกรรมเดียวที่เกิดจากการกระทำหลายอันเพราะต้องอาศัยองค์ประกอบความผิดคือการเสพเมทแอมเฟตามีนประกอบกับการขับรถไปตามทางหลวงหรือทางสาธารณะด้วยจึงจะเป็นความผิดดังนั้นการกระทำของจำเลยตามฟ้องจึงเป็นความผิดกรรมเดียว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6810/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบวกโทษคดีที่เคยรอการลงโทษไว้กับคดีใหม่ แม้โจทก์มิได้ขอ โดยอาศัยความปรากฏต่อศาล
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา58วรรคหนึ่งซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่10)พ.ศ.2532มาตรา4เมื่อจำเลยแถลงรับตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นว่าจำเลยเคยต้องโทษตามคดีอาญาอีกคดีหนึ่งของศาลชั้นต้นจริงและคดีดังกล่าวศาลอุทธรณ์พิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำเลยฐานมีเฮโรอีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตจำคุก6เดือนโดยให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด2ปีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา56และในระหว่างที่ยังไม่ครบ2ปีจำเลยได้มากระทำความผิดคดีนี้เช่นนี้แม้โจทก์จะมิได้บรรยายฟ้องและขอให้บวกโทษในคดีดังกล่าวเข้ากับโทษคดีนี้แต่เป็นกรณีที่ความปรากฎแก่ศาลเองจากรายงานการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติทั้งจำเลยก็ยอมรับข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้วข้างต้นศาลจึงต้องนำโทษที่รอไว้ในคดีอาญาเรื่องนั้นของศาลชั้นต้นมาบวกเข้ากับโทษในคดีนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6810/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบวกโทษคดีอาญาเดิมที่รอการลงโทษเข้ากับคดีใหม่ แม้โจทก์มิได้ขอ
ป.อ.มาตรา 58 วรรคหนึ่ง ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 10) พ.ศ.2532 มาตรา 4 เมื่อจำเลยแถลงรับตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นว่าจำเลยเคยต้องโทษตามคดีอาญาอีกคดีหนึ่งของศาลชั้นต้นจริง และคดีดังกล่าวศาลอุทธรณ์พิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำเลยฐานมีเฮโรอีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตจำคุก 6 เดือน โดยให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตาม ป.อ.มาตรา56 และในระหว่างที่ยังไม่ครบ 2 ปี จำเลยได้มากระทำความผิดคดีนี้ เช่นนี้แม้โจทก์จะมิได้บรรยายฟ้องและขอให้บวกโทษในคดีดังกล่าวเข้ากับโทษคดีนี้แต่เป็นกรณีที่ความปรากฏแก่ศาลเองจากรายงานการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติ ทั้งจำเลยก็ยอมรับข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้วข้างต้น ศาลจึงต้องนำโทษที่รอไว้ในคดีอาญาเรื่องนั้นของศาลชั้นต้นมาบวกเข้ากับโทษในคดีนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5914/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การผลิตยาเสพติดโดยแบ่งบรรจุเข้าข่ายความหมาย 'ผลิต' ตามกฎหมาย และการลงโทษกรรมเดียวผิดหลายบท
พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ.2522มาตรา4คำว่า"ผลิต"หมายความรวมตลอดถึงการแบ่งบรรจุหรือรวมบรรจุด้วยดังนั้นการที่จำเลยนำเฮโรอีนมาแบ่งบรรจุหลอดพลาสติกจึงเป็นการผลิตเฮโรอีนตามความหมายของมาตรา4แล้ว เจ้าพนักงานตำรวจแจ้งข้อหาผลิตเฮโรอีนให้จำเลยทราบตั้งแต่ชั้นจับกุมซึ่งถือได้ว่าเป็นการเริ่มต้นแห่งขบวนการสอบสวนจำเลยแล้วแม้พนักงานสอบสวนมิได้เบิกความถึงการแจ้งข้อหาผลิตเฮโรอีนก็ตามแต่จำเลยก็ได้ให้การรับสารภาพเช่นเดียวกันกับในชั้นจับกุมเฮโรอีนที่จับได้ก็เป็นจำนวนเดียวกันจึงถือได้ว่ามีการสอบสวนในความผิดฐานนี้แล้วโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องศาลลงโทษจำเลยฐานผลิตเฮโรอีนตามมาตรา65ได้ วันแรกที่ศาลชั้นต้นได้อ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟังและสอบคำให้การจำเลยนั้นศาลได้สอบถามเรื่องทนายความแล้วจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องและแถลงว่าไม่ต้องการทนายความในสำนวนก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยซักค้านพยานโจทก์หรือดำเนินกระบวนพิจารณาอื่นใดที่ต้องอาศัยทนายความและยังแถลงว่าไม่ติดใจสืบพยานจำเลยเพิ่งมาโต้แย้งในชั้นฎีกาว่าศาลชั้นต้นต้องตั้งทนายความให้จำเลยดังนี้ต้องถือว่าศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาไม่ขัดต่อมาตรา173 โจทก์บรรยายฟ้องเพียงว่าจำเลยได้บังอาจผลิตโดยแบ่งเฮโรอีนบรรจุหลอดเครื่องดื่มและมีเฮโรอีนไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยมิได้รับอนุญาตคำว่า"เพื่อจำหน่าย"นั้นโจทก์มุ่งถึงข้อหามีเฮโรอีนไว้ในความครอบครองมิใช่ข้อหาผลิตเฮโรอีนดังนั้นจึงถือไม่ได้ว่าโจทก์บรรยายฟ้องข้อหาผลิตเฮโรอีนเพื่อจำหน่ายมาแล้วในฟ้อง เฮโรอีนที่จำเลยผลิตและมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเป็นเฮโรอีนจำนวนเดียวกันการกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวกันผิดต่อกฎหมายหลายบทต้องใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา90

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5386/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องเคลือบคลุม – การเปลี่ยนแปลงข้อกล่าวหา – เจตนาจัดหางาน – พ.ร.บ.จัดหางาน
ปัญหาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย จำเลยยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ แม้จะไม่ได้ยกขึ้นในศาลล่างทั้งสอง
คำฟ้องของโจทก์ในตอนแรกที่บรรยายว่าจำเลยกับพวกร่วมกันจัดหางานให้แก่ผู้เสียหายซึ่งประสงค์จะไปทำงานให้แก่นายจ้างที่ประเทศญี่ปุ่น โดยจำเลยกับพวกเรียกและรับเงินค่าบริการเป็นค่าตอบแทนจากผู้เสียหาย โดยจำเลยกับพวกมิได้รับใบอนุญาตจัดหางานจากนายทะเบียนตามกฎหมาย ส่วนคำฟ้องตอนหลังที่บรรยายว่า จำเลยกับพวกสามารถจัดส่งคนหางานไปทำงานยังประเทศญี่ปุ่นได้ความจริงแล้วจำเลยกับพวกไม่ได้รับอนุญาตจัดหางาน และไม่สามารถจัดส่งคนไปทำงานตามที่ได้หลอกลวง เป็นเหตุให้ผู้เสียหายหลงเชื่อตกลงให้จำเลยกับพวกจัดหางานให้ และเป็นเหตุให้จำเลยกับพวกได้ไปซื้อทรัพย์สินจากผู้เสียหาย โดยโจทก์มิได้บรรยายฟ้องยืนยันว่า จำเลยกระทำผิดคราวเดียวกัน 2 ฐาน ปล่อยให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดจากผลการพิจารณาข้อเท็จจริงเอาเอง ทั้งจำเลยให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา แสดงว่าจำเลยเข้าใจข้อกล่าวหาได้ดี ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
แม้คำฟ้องตอนแรกบรรยายว่า จำเลยจัดหางานโดยเรียกรับค่าบริการโดยไม่ได้รับอนุญาตจัดหางานจากนายทะเบียนตามกฎหมาย แต่คำฟ้องตอนหลังที่ว่าจำเลยกับพวกได้ร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่า จำเลยกับพวกสามารถจัดส่งคนงานไปทำงานยังประเทศญี่ปุ่นได้ความจริงแล้วจำเลยกับพวกไม่สามารถจัดส่งคนไปทำงานในประเทศญี่ปุ่น ตามที่ได้หลอกลวงแต่อย่างใด เป็นการยืนยันข้อเท็จจริงว่า จำเลยไม่มีเจตนาจัดหางานการกระทำของจำเลยตามฟ้องจึงไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 มาตรา 30, 82

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5386/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องเคลือบคลุม-เจตนาจัดหางาน: ศาลฎีกายกฟ้อง คดีจัดหางานต่างประเทศ
ปัญหาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยจำเลยยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้แม้จะไม่ได้ยกขึ้นในศาลล่างทั้งสอง คำฟ้องของโจทก์ในตอนแรกที่บรรยายว่าจำเลยกับพวกร่วมกันจัดหางานให้แก่ผู้เสียหายซึ่งประสงค์จะไปทำงานให้แก่นายจ้างที่ประเทศญี่ปุ่น โดยจำเลยกับพวกเรียกและรับเงินค่าบริการเป็นค่าตอบแทนจากผู้เสียหายโดยจำเลยกับพวกมิได้รับใบอนุญาตจัดหางานจากนายทะเบียนตามกฎหมายส่วนคำฟ้องตอนหลังที่บรรยายว่าจำเลยกับพวกสามารถจัดส่งคนหางานไปทำงานยังประเทศญี่ปุ่นได้ความจริงแล้วจำเลยกับพวกไม่ได้รับอนุญาตจัดหางานและไม่สามารถจัดส่งคนไปทำงานตามที่ได้หลอกลวงเป็นเหตุให้ผู้เสียหายหลงเชื่อตกลงให้จำเลยกับพวกจัดหางานให้และเป็นเหตุให้จำเลยกับพวกได้ไปซื้อทรัพย์สินจากผู้เสียหายโดยโจทก์มิได้บรรยายฟ้องยืนยันว่าจำเลยกระทำผิดคราวเดียวกัน2ฐานปล่อยให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดจากผลการพิจารณาข้อเท็จจริงเอาเองทั้งจำเลยให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาแสดงว่าจำเลยเข้าใจข้อกล่าวหาได้ดีฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม แม้คำฟ้องตอนแรกบรรยายว่าจำเลยจัดหางานโดยเรียกรับค่าบริการโดยไม่ได้รับอนุญาตจัดหางานจากนายทะเบียนตามกฎหมายแต่คำฟ้องตอนหลังที่ว่าจำเลยกับพวกได้ร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่าจำเลยกับพวกสามารถจัดส่งคนงานไปทำงานยังประเทศญี่ปุ่นได้ความจริงแล้วจำเลยกับพวกไม่สามารถจัดส่งคนไปทำงานในประเทศญี่ปุ่น ตามที่ได้หลอกลวงแต่อย่างใดเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงว่าจำเลยไม่มีเจตนาจัดหางานการกระทำของจำเลยตามฟ้องจึงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางานพ.ศ.2528มาตรา30,82

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5385/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาหลอกลวงไม่ใช่เจตนาจัดหางาน ผู้กระทำจึงไม่ผิดตาม พ.ร.บ.จัดหางาน
ที่จำเลยฎีกาว่าตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดดังฟ้องเพราะขาดองค์ประกอบอันจะเป็นความผิดตามบทกฎหมายดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยจำเลยจึงยกขึ้นฎีกาได้ กรณีจะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางานพ.ศ.2528มาตรา30วรรคหนึ่งนั้นผู้กระทำต้องมีเจตนาที่จะจัดหางานให้คนหางานเพื่อทำงานในต่างประเทศแต่ตามฟ้องคดีนี้โจทก์บรรยายว่าจำเลยได้หลอกลวงผู้เสียหายทั้งหกว่าจำเลยสามารถจัดส่งผู้เสียหายทั้งหกไปทำงานในประเทศญี่ปุ่น โดยจะได้รับค่าจ้างคนละ40,000บาทต่อเดือนซึ่งผู้เสียหายทั้งหกจะต้องเสียค่าใช้จ่ายและค่าบริการให้จำเลยซึ่งเป็นความเท็จเพราะความจริงแล้วจำเลยไม่สามารถส่งผู้เสียหายทั้งหกไปทำงานในประเทศญี่ปุ่นได้จากคำบรรยายฟ้องดังกล่าวแสดงว่าจำเลยมิได้มีเจตนาจัดหางานให้แก่ผู้เสียหายทั้งหกคงมีแต่เจตนาหลอกลวงผู้เสียหายทั้งหกเพื่อที่จะได้รับเงินค่าใช้จ่ายและค่าบริการจากผู้เสียหายทั้งหกเท่านั้นการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานจัดหางานโดยมิได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางานพ.ศ.2528 เมื่อการกระทำของจำเลยตามที่โจทก์ฟ้องไม่เป็นความผิดแม้จำเลยจะให้การรับสารภาพก็ไม่อาจลงโทษจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5385/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาหลอกลวงไม่ใช่การจัดหางาน แม้รับสารภาพก็ไม่อาจลงโทษได้
ที่จำเลยฎีกาว่า ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดดังฟ้อง เพราะขาดองค์ประกอบอันจะเป็นความผิดตามบทกฎหมายดังกล่าว เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยจำเลยจึงยกขึ้นฎีกาได้
กรณีจะเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 มาตรา 30 วรรคหนึ่ง นั้น ผู้กระทำต้องมีเจตนาที่จะจัดหางานให้คนหางานเพื่อทำงานในต่างประเทศ แต่ตามฟ้องคดีนี้โจทก์บรรยายว่าจำเลยได้หลอกลวงผู้เสียหายทั้งหกว่า จำเลยสามารถจัดส่งผู้เสียหายทั้งหกไปทำงานในประเทศญี่ปุ่น โดยจะได้รับค่าจ้างคนละ 40,000 บาท ต่อเดือน ซึ่งผู้เสียหายทั้งหกจะต้องเสียค่าใช้จ่ายและค่าบริการให้จำเลยซึ่งเป็นความเท็จเพราะความจริงแล้วจำเลยไม่สามารถส่งผู้เสียหายทั้งหกไปทำงานในประเทศญี่ปุ่นได้ จากคำบรรยายฟ้องดังกล่าวแสดงว่าจำเลยมิได้มีเจตนาจัดหางานให้แก่ผู้เสียหายทั้งหก คงมีแต่เจตนาหลอกลวงผู้เสียหายทั้งหกเพื่อที่จะได้รับเงินค่าใช้จ่ายและค่าบริการจากผู้เสียหายทั้งหกเท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานจัดหางานโดยมิได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ. จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528
เมื่อการกระทำของจำเลยตามที่โจทก์ฟ้องไม่เป็นความผิดแม้จำเลยจะให้การรับสารภาพก็ไม่อาจลงโทษจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4748/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ องค์ประกอบความผิดฉ้อโกงและการเบียดบังทรัพย์ในความผิดยักยอก: การระบุรายละเอียดวันเวลาที่กระทำผิด
ตามคำฟ้องแยกข้อหาฉ้อโกงไว้ข้อ ก. ข. และ ง. และข้อหายักยอกไว้ ข้อ ค. เมื่อพิเคราะห์คำฟ้องข้อ ก. ข. และ ง.แล้ว มีความหมายพอเข้าใจได้ว่า โจทก์ได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยมีเจตนาทุจริตแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดข้อความจริงอันควรบอกให้แจ้งโดยหลอกลวงโจทก์ร่วมในฟ้องข้อ ก.ว่าโจทก์ร่วมต้องเสียภาษีต่อกรมสรรพากรเป็นจำนวน 147,053 บาท และในฟ้องข้อ ข.และ ง. ว่า โจทก์ร่วมต้องเสียภาษีต่อกรมสรรพากรเป็นจำนวน 60,813.58 บาทและ 71,999.20 บาท ซึ่งเป็นความเท็จ ส่วนที่โจทก์บรรยายฟ้องตอนต่อมาในข้อ ก.ว่า จำเลยกลับไปยื่นแบบแสดงรายการภาษีต่อกรมสรรพากรเพียง 122,543.65 บาทและใน ข. และ ง. ว่า จำเลยกลับทำแบบแสดงรายการภาษีโดยไม่ต้องชำระภาษีต่อกรมสรรพากรนั้นเท่ากับโจทก์ได้บรรยายว่า ความจริงแล้วโจทก์ต้องเสียภาษีในฟ้องข้อ ก.เพียงใด หรือไม่ต้องเสียภาษีในฟ้องข้อ ข. และ ง. เลยจนโจทก์ร่วมหลงเชื่อได้จ่ายเงินให้จำเลยไปตามที่จำเลยขอเบิก แล้วจำเลยได้เอาเงินส่วนที่เบิกเกินไปตามข้อ ก. และส่วนที่ไม่ได้ชำระภาษีเลยตามข้อ ข. และ ง.ไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวจึงเป็นการบรรยายฟ้องที่ครบองค์ประกอบความผิดในข้อหาฉ้อโกงตาม ป.อ.มาตรา341 แล้ว
การบรรยายคำฟ้องในการกระทำผิดข้อหายักยอกนั้น ต้องระบุถึงวันเวลาที่จำเลยเบียดบังเอาทรัพย์ซึ่งเป็นวันกระทำผิดมาในฟ้องด้วย ส่วนวันที่จำเลยครอบครองทรัพย์ไม่ใช่วันกระทำผิดเพราะผู้ครอบครองทรัพย์ของผู้อื่นไว้แต่ไม่ได้เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต ผู้นั้นย่อมไม่มีความผิดข้อหายักยอกตามคำฟ้องข้อ ค. ที่กล่าวแต่เพียงวันที่จำเลยครอบครองทรัพย์ของโจทก์แต่ไม่มีข้อความแสดงว่าจำเลยได้เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนวันเวลาใดจะถือเอาวันที่จำเลยครอบครองทรัพย์เป็นวันที่จำเลยกระทำผิดหาได้ไม่ เพราะไม่มีข้อความตอนใดที่จะให้เข้าใจได้เช่นนั้น จึงเป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วย ป.อ.มาตรา 158 (5)
of 188