พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,873 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 447/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องหมิ่นประมาทต้องระบุรายละเอียดให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ชัดเจน
ฟ้องโจทก์กล่าวโดยสรุปว่า โจทก์เป็นหญิงสาว มีอาชีพรับราชการถูกจำเลยใส่ความต่อหัวหน้าการประถมศึกษาอำเภอว่า มี พฤติการณ์ทำนองชู้สาวกับ ส.อาจารย์ใหญ่โรงเรียนโดยส. มีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่แล้ว คำฟ้องของโจทก์จึงมีความหมาย ที่เข้าใจได้ ว่าโจทก์เป็นคนมีความประพฤติไม่ดี มีความสัมพันธ์ ทางชู้สาวกับสามีของหญิงอื่น อาจทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูก ดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังได้ ส่วนรายละเอียดเกี่ยวกับพฤติการณ์ ในทำนองชู้สาวว่ามีอย่างไร ชอบที่โจทก์จะนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่ได้กล่าวถึงถ้อยคำพูด หนังสือ อันเกี่ยวกับข้อหมิ่นประมาทไว้โดยบริบูรณ์พอที่จะ ให้จำเลยเข้าใจ ข้อหาได้ดี เป็นคำฟ้องที่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158(5).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 446/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดหลายบท: การบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์เป็นกรรมต่อเนื่อง
จำเลยบุกรุกเข้าไปในที่ดินที่โจทก์มีสิทธิครอบครอง โดยนำรถแทรกเตอร์เข้าไปไถ โค่น เผาต้นยางพารา และขนำของโจทก์ที่ปลูกไว้เสียหาย แล้วจำเลยปลูกต้นมะพร้าว ต้นยางพาราต้นมะม่วงหิมพานต์ ของจำเลยลงในที่ดินดังกล่าวแทน การกระทำของจำเลยเป็นการต่อเนื่องกัน โดยจำเลยมีเจตนาถือการครอบครองที่ดินของโจทก์และทำให้ทรัพย์สินของโจทก์ในที่ดินดังกล่าวเสียหายในคราวเดียวกัน จึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดหลายกระทงและแยกการกระทำของจำเลยมาในฟ้องเป็นข้อ ก. และข้อ ข. แสดงให้เห็นว่าเป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ศาลก็จะลงโทษจำเลยหลายกรรมเป็นกระทงความผิดไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6416/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาคดีทำร้ายร่างกายสาหัส ต้องมีการบรรยายรายละเอียดบาดเจ็บในฟ้อง
โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าโจทก์ร่วมได้รับอันตรายสาหัสอย่างไรจึงพิพากษาลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 297 ไม่ได้ พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 295.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5848/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นเกี่ยวกับการก่อสร้างอาคาร การรื้อถอน และอำนาจศาลในการวินิจฉัย
ความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่ให้รื้ออาคารตาม พ.ร.บ. ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 นั้น เมื่อฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่าการกระทำของจำเลยไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องตามกฎหมายจึงรับฟังไม่ได้ว่ามีกรณีเจ้าพนักงานท้องถิ่นจะใช้อำนาจสั่งให้รื้อถอนอาคารได้ตามกฎหมาย การที่จำเลยไม่รื้อถอนอาคารจึงไม่มีความผิด ปัญหาว่าคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่สั่งให้รื้อถอนอาคารขอบหรือไม่ ย่อมกระทบกระเทือนถึงความสงบสุขของประชาชนและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง จึงเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลอุทธรณ์มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ การกระทำความผิดตามกฎหมาย ซึ่งผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกหรือปรับหรือทั้งจำทั้งปรับ เมื่อจำเลยต้องโทษถึงจำคุก แม้จะมีโทษปรับด้วย ศาลก็มีอำนาจพิจารณาลงโทษจำคุกจำเลยแต่เพียงสถานเดียวได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2402/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดหลายบท: ความผิดต่อเนื่องกับการครอบครองไม้หวงห้าม
โจทก์บรรยายฟ้องความผิดฐานเข้าไปยึดถือครอบครองแผ้วถาง เผาป่า และโค่นตัดฟันทำไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ โดยระบุเวลาในการกระทำผิดว่าจำเลยกระทำผิดระหว่างวันที่ 4เมษายน 2532 ถึงวันที่ 4 พฤษภาคม 2532 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน แต่มิได้ระบุว่ากระทำผิดฐานใด ในวันเวลาใดให้ชัดแจ้ง จึงถือได้ว่าจำเลยกระทำความผิดในคราวเดียวกัน เป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ส่วนความผิดฐานมีไม้หวงห้ามไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นความผิดแยกต่างหากจากความผิดฐานยึดถือครอบครองแผ้วถาง เผาป่าและโค่นตัดฟันทำไม้ในป่าสงวนแห่งชาติ ถือได้ว่าเป็นความผิดอีกกรรมหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1613/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลจำกัดตามฟ้อง – การลงโทษฐานต่างจากที่ฟ้อง – ข้อจำกัดการอุทธรณ์
ความผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีนและความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย มีการกระทำอันเป็นความผิดแตกต่างกัน เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษฐานจำหน่ายเฮโรอีนเพียงฐานเดียวโดยมิได้ฟ้องฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายด้วย การที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192วรรคแรก กรณีมิใช่ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องในข้อมิใช่สาระสำคัญ ตามมาตรา 192วรรคสอง และกรณีไม่ต้องด้วย มาตรา 192 วรรคสาม ศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจพิพากษาลงโทษในข้อหาดังกล่าวที่พิจารณาได้ความได้ เพราะเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานจำหน่ายเฮโรอีน ศาลชั้นต้นลงโทษฐานพยายามจำหน่ายเฮโรอีน โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษฐานจำหน่ายเฮโรอีนตามฟ้องการที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันจำหน่ายเฮโรอีนของกลาง แต่ฟังได้ว่าจำเลยมีเฮโรอีนไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายและพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วลงโทษจำเลยในความผิดฐานดังกล่าว เป็นการที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องในข้อหาจำหน่ายเฮโรอีนยืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น การที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษฐานจำหน่ายเฮโรอีนอีก จึงต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 220 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1613/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการลงโทษเกินคำขอและข้อจำกัดในการแก้ไขคำพิพากษาในคดีอาญา
ความผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีนและความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย มีการกระทำอันเป็นความผิดแตกต่างกันเมื่อโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษฐานจำหน่ายเฮโรอีนเพียงฐานเดียวโดยมิได้ฟ้องฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายด้วย การที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้องตาม ป.วิ.อ.มาตรา 192 วรรคแรก กรณีมิใช่ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องในข้อมิใช่สาระสำคัญตามมาตรา 192 วรรคสอง และกรณีไม่ต้องด้วย มาตรา 192 วรรคสามศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจพิพากษาลงโทษในข้อหาดังกล่าวที่พิจารณาได้ความได้ เพราะเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานจำหน่ายเฮโรอีน ศาลชั้นต้นลงโทษฐานพยายามจำหน่ายเฮโรอีน โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษฐานจำหน่ายเฮโรอีนตามฟ้อง การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันจำหน่ายเฮโรอีนของกลาง แต่ฟังได้ว่าจำเลยมีเฮโรอีนไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายและพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วลงโทษจำเลยในความผิดฐานดังกล่าว เป็นการที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องในข้อหาจำหน่ายเฮโรอีนยืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น การที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษฐานจำหน่ายเฮโรอีนอีกจึงต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 220 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1337/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำผิดโดยประมาทและเจตนา, ความรับผิดของผู้สนับสนุน, การรอการลงโทษ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองมีหน้าที่ร่วมกันตามกฎหมายที่จะต้องร่วมกันจัดทำแผ่นป้ายแสดงข้อความว่ารถกำลังลากจูง และต้องจัดให้มีและเปิดโคม ไฟหรือจุดไฟแสงขาวส่องที่ป้ายดังกล่าว เพื่อให้แสงสว่างเพียงพอสำหรับผู้ใช้ถนนหรือผู้ที่ขับรถยนต์ตามหลังมามองเห็นได้ว่ามีการลากจูง จำเลยทั้งสองสามารถกระทำและใช้ความระมัดระวังดังกล่าวแต่ไม่ได้กระทำ เป็นการละเว้นการปฏิบัติตามกฎหมาย ตามคำฟ้องของโจทก์กล่าวถึงความประมาทของจำเลยทั้งสองไว้ชัดเจนแล้วว่าจำเลยทั้งสองกระทำโดยประมาทอย่างไร โจทก์หาได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับอันตรายสาหัสไม่ แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องในข้อ 1(ข)ว่า หลังจากจำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำผิดตามฟ้องข้อ 1 ก. แล้ว..."และในฟ้องข้อ 1 ก. ดังกล่าวจะมีข้อหาเกี่ยวกับการกระทำความผิดโดยประมาทอยู่ก็ตามแต่ก็มีความผิดซึ่งเป็นความผิดที่ต้องกระทำโดยเจตนาอยู่ด้วย ทั้งคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ที่ระบุประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83มาด้วย ก็พอที่จะแปลความได้ว่าหมายถึงจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันกระทำความผิดในข้อหาดังกล่าวนั่นเอง หาใช่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำโดยประมาทไม่ ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ผู้สนับสนุนในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดนั้น มีได้เฉพาะการสนับสนุนผู้กระทำความผิดโดยเจตนาเท่านั้น ผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดโดยประมาทไม่อาจมีได้ตามกฎหมาย เพราะผู้สนับสนุนต้องมีเจตนาประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลในการสนับสนุนด้วย โดยสภาพจึงไม่อาจมีการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการกระทำผิดโดยประมาทได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 960/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาเรียกเงินเพื่อวิ่งเต้นเจ้าพนักงาน ถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143 แม้จะยังไม่ได้มีการวิ่งเต้นจริง
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยเรียกเงินจากผู้เสียหายเพื่อตอบแทนการที่จำเลยจะจูงใจพนักงานสอบสวนให้ไม่ดำเนินคดีแก่ ณ. และปล่อยตัว ณ. ให้หลุดพ้นจากคดีข้อหาลักทรัพย์ เป็นการบรรยายฟ้องครบองค์ประกอบแห่งความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143 แล้วส่วนการที่จำเลยจะได้ไปติดต่อหรือจูงใจเจ้าพนักงานหรือไม่ มิใช่องค์ประกอบแห่งความผิดอันต้องบรรยายในฟ้อง และการที่โจทก์บรรยายว่าจำเลยใช้อุบายหลอกลวงผู้เสียหายโดยอ้างว่ารู้จักกับพนักงานสอบสวนสามารถวิ่งเต้นให้ ณ. หลุดพ้นจากคดีอาญา ก็เป็นการกล่าวถึงพฤติการณ์แห่งการกระทำของจำเลยว่าได้เอาความเท็จมากล่าวเพื่อหลอกลวงผู้เสียหายให้จ่ายเงินเท่านั้น จะถือว่าจำเลยไม่มีเจตนากระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143 หาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 778/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนกรรมสิทธิ์รถแยกจากทะเบียน การโอนทะเบียนหลังยึดไม่ใช่ความผิด
การโอนรถทางทะเบียนนั้น เป็นเพียงหลักฐานเพื่อแสดงว่าใครเป็นเจ้าของและมีสิทธิใช้รถซึ่งเป็นมาตรการในการควบคุมการใช้รถ ตามนัย พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ. 2522 มาตรา 6,17 เท่านั้นมิใช่เป็นหลักฐานการโอนกรรมสิทธิ์ โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยโอนรถไปเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2528ภายหลังการยึดหนึ่งวัน และนำสืบเพียงว่า วันที่ 17 มกราคม2528 เป็นเพียงการโอนทางทะเบียน มิใช่โอนกรรมสิทธิ์ในตัวรถเช่นนี้ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยได้โอนกรรมสิทธิ์ในรถคันที่โจทก์ฟ้องไปก่อนการยึดแล้ว แม้ต่อมาจำเลยจะเพิ่งโอนทะเบียนรถไปหลังจากการยึด 1 วัน ก็เป็นเพียงโอนทางทะเบียน มิใช่โอนกรรมสิทธิ์ในตัวรถ ดังนั้นจำเลยย่อมไม่มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 350.