พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,873 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3861/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำหน่ายไม้แปรรูปที่ยังไม่เป็นสิ่งประดิษฐ์ ฝ่าฝืนข้อกำหนดควบคุมการแปรรูปไม้
ไม้ของกลางของ ท. ซึ่งเป็นไม้ที่ได้รับอนุญาตโดยชอบด้วยกฎหมายถูกส่งไปที่โรงงานของจำเลยซึ่งเป็นโรงงานแปรรูปไม้เพื่อทำเป็นเครื่องเรือนสำเร็จรูปตามคำสั่งของท. จำเลยทำไม้แล้วส่งต่อไปยังบริษัท ม. จำกัดเพื่อบรรจุหีบห่อ เมื่อข้อเท็จจริงฟังว่าไม้ของกลางยังเป็นไม้แปรรูปไม่ใช่สิ่งประดิษฐ์ จำเลยส่งไม้ออกไปที่อื่นจึงเป็นการจำหน่ายหรือโอนออกไปเป็นการฝ่าฝืนข้อกำหนดฉบับที่ 6(พ.ศ. 2520) ข้อ 15 ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 ว่าด้วยการควบคุมการแปรรูปไม้ อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้พุทธศักราช 2484 มาตรา 58,73 ทวิ และความผิดดังกล่าวโจทก์ไม่ต้องบรรยายฟ้องว่าที่เกิดเหตุอยู่ในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ และเขตควบคุมสิ่งประดิษฐ์เครื่องใช้ หรือสิ่งอื่นใด บรรดาที่ทำด้วยไม้หวงห้ามตามมาตรา 47 และ53 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3861/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแปรรูปไม้และการจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต ความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้
ไม้ของกลางของ ท. ซึ่งเป็นไม้ที่ได้รับอนุญาตโดยชอบด้วยกฎหมายถูกส่งไปที่โรงงานของจำเลยซึ่งเป็นโรงงานแปรรูปไม้เพื่อทำเป็นเครื่องเรือนสำเร็จรูปตามคำสั่งของท. จำเลยทำไม้แล้วส่งต่อไปยังบริษัท ม. จำกัดเพื่อบรรจุหีบห่อ เมื่อข้อเท็จจริงฟังว่าไม้ของกลางยังเป็นไม้แปรรูปไม่ใช่สิ่งประดิษฐ์ จำเลยส่งไม้ออกไปที่อื่นจึงเป็นการจำหน่ายหรือโอนออกไปเป็นการฝ่าฝืนข้อกำหนดฉบับที่ 6(พ.ศ. 2520) ข้อ 15 ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 ว่าด้วยการควบคุมการแปรรูปไม้ อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้พุทธศักราช 2484 มาตรา 58,73 ทวิ และความผิดดังกล่าวโจทก์ไม่ต้องบรรยายฟ้องว่าที่เกิดเหตุอยู่ในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ และเขตควบคุมสิ่งประดิษฐ์เครื่องใช้ หรือสิ่งอื่นใด บรรดาที่ทำด้วยไม้หวงห้ามตามมาตรา 47 และ53 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3854/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาโทษอาญาที่ถูกต้อง การลดโทษ และการริบของกลางตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 ประกอบด้วยมาตรา 340 ตรี จำคุก 18 ปี เพิ่มโทษตามมาตรา 93 เป็นจำคุก 27 ปี มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิฐานมีอาวุธปืนจำคุก 1 ปี 6 เดือน ฐานพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะจำคุกคนละ 6 เดือน เป็นโทษจำคุก 29 ปี ลดโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก19 ปี 4 เดือน จำเลยอุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 จำคุก 12 ปี เพิ่มโทษตามมาตรา 93 เป็นจำคุก 18 ปี รวมกับโทษฐานมีอาวุธปืนพาอาวุธปืนติดตัวไปในทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร เป็นจำคุก 20 ปี ไม่ได้ลดโทษให้แก่จำเลย เป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยโดยที่โจทก์มิได้อุทธรณ์ เป็นการไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาพิพากษาแก้โดยลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกไว้ 13 ปี 4 เดือน
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 โดยมิได้ระบุวรรคใด ยังไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาพิพากษาแก้โดยระบุวรรคให้ถูกต้อง
แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏในทางพิจารณาว่า เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมกับยึดอาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียนและกระสุนปืนจากจำเลยเป็นของกลางซึ่งเป็นทรัพย์ที่ผู้ใดมีไว้เป็นความผิดอันจะต้องริบเสียทั้งสิ้นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา32 ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์มิได้กล่าวไว้ในฟ้องว่า ได้มีการยึดอาวุธปืนและกระสุนปืนเป็นของกลาง ทั้งมิได้มีคำขอให้ศาลสั่งริบ ศาลย่อมริบอาวุธปืนและกระสุนปืนดังกล่าวมิได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคแรก.
(วรรคสุดท้ายวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 8/2530).
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 โดยมิได้ระบุวรรคใด ยังไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาพิพากษาแก้โดยระบุวรรคให้ถูกต้อง
แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏในทางพิจารณาว่า เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมกับยึดอาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียนและกระสุนปืนจากจำเลยเป็นของกลางซึ่งเป็นทรัพย์ที่ผู้ใดมีไว้เป็นความผิดอันจะต้องริบเสียทั้งสิ้นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา32 ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์มิได้กล่าวไว้ในฟ้องว่า ได้มีการยึดอาวุธปืนและกระสุนปืนเป็นของกลาง ทั้งมิได้มีคำขอให้ศาลสั่งริบ ศาลย่อมริบอาวุธปืนและกระสุนปืนดังกล่าวมิได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคแรก.
(วรรคสุดท้ายวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 8/2530).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3854/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาลงโทษฐานชิงทรัพย์และมีอาวุธปืนโดยมิได้รับอนุญาต รวมถึงประเด็นการลดโทษและริบของกลาง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 ประกอบด้วยมาตรา 340 ตรี จำคุก 18 ปี เพิ่มโทษตามมาตรา 93เป็นจำคุก 27 ปี มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯมาตรา 7,8 ทวิ,72,72 ทวิฐานมีอาวุธปืนจำคุก 1 ปี 6 เดือนฐานพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะจำคุกคนละ 6เดือน เป็นโทษจำคุก29 ปี ลดโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุก19 ปี 4 เดือน จำเลยอุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 จำคุก 12 ปีเพิ่มโทษตามมาตรา 93เป็นจำคุก 18 ปี รวมกับโทษฐานมีอาวุธปืนพาอาวุธปืนติดตัวไปในทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร เป็นจำคุก 20 ปี ไม่ได้ลดโทษให้แก่จำเลย เป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยโดยที่โจทก์มิได้อุทธรณ์ เป็นการไม่ถูกต้องศาลฎีกาพิพากษาแก้โดยลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกไว้ 13 ปี 4 เดือน
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 โดยมิได้ระบุวรรคใด ยังไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาพิพากษาแก้โดยระบุวรรคให้ถูกต้อง
แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏในทางพิจารณาว่า เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมกับยึดอาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียนและกระสุนปืนจากจำเลยเป็นของกลางซึ่งเป็นทรัพย์ที่ผู้ใดมีไว้เป็นความผิดอันจะต้องริบเสียทั้งสิ้นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา32 ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์มิได้กล่าวไว้ในฟ้องว่า ได้มีการยึดอาวุธปืนและกระสุนปืนเป็นของกลาง ทั้งมิได้มีคำขอให้ศาลสั่งริบ ศาลย่อมริบอาวุธปืนและกระสุนปืนดังกล่าวมิได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคแรก. (วรรคสุดท้ายวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่8/2530).
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 โดยมิได้ระบุวรรคใด ยังไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาพิพากษาแก้โดยระบุวรรคให้ถูกต้อง
แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏในทางพิจารณาว่า เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมกับยึดอาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียนและกระสุนปืนจากจำเลยเป็นของกลางซึ่งเป็นทรัพย์ที่ผู้ใดมีไว้เป็นความผิดอันจะต้องริบเสียทั้งสิ้นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา32 ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์มิได้กล่าวไว้ในฟ้องว่า ได้มีการยึดอาวุธปืนและกระสุนปืนเป็นของกลาง ทั้งมิได้มีคำขอให้ศาลสั่งริบ ศาลย่อมริบอาวุธปืนและกระสุนปืนดังกล่าวมิได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคแรก. (วรรคสุดท้ายวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่8/2530).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3681/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำหน่ายไม้แปรรูปโดยไม่ได้รับอนุญาตฝ่าฝืนข้อกำหนดควบคุมการแปรรูปไม้
ไม้ของกลางของ ท. ซึ่งเป็นไม้ที่ได้รับอนุญาตโดยชอบด้วยกฎหมายถูกส่งไปที่โรงงานของจำเลยซึ่งเป็นโรงงานแปรรูปไม้เพื่อทำเป็นเครื่องเรือนสำเร็จรูปตามคำสั่งของ ท. จำเลยทำไม้แล้วส่งต่อไปยังบริษัท ม. จำกัด เพื่อบรรจุหีบห่อเมื่อข้อเท็จจริงฟังว่าไม้ของกลางยังเป็นไม้แปรรูปไม่ใช่สิ่งประดิษฐ์ จำเลยส่งไม้ออกไปที่อื่นจึงเป็นการจำหน่ายหรือโอนออกไป เป็นการฝ่าฝืนข้อกำหนดฉบับที่ 6(พ.ศ.2520)ข้อ 15 ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484ว่าด้วยการควบคุมการแปรรูปไม้ อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช2484 มาตรา 58,73 ทวิ และความผิดดังกล่าวโจทก์ไม่ต้องบรรยายฟ้องว่าที่เกิดเหตุอยู่ในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ และเขตควบคุมสิ่งประดิษฐ์ เครื่องใช้หรือสิ่งอื่นใดบรรดาที่ทำด้วยไม้หวงห้ามตามมาตรา 47 และ53 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3681/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำหน่ายไม้แปรรูปโดยไม่ได้รับอนุญาต ถือเป็นการฝ่าฝืนข้อกำหนดควบคุมการแปรรูปไม้
ไม้ของกลางของ ท. ซึ่งเป็นไม้ที่ได้รับอนุญาตโดยชอบด้วยกฎหมายถูกส่งไปที่โรงงานของจำเลยซึ่งเป็นโรงงานแปรรูปไม้เพื่อทำเป็น เครื่องเรือนสำเร็จรูปตามคำสั่งของ ท. จำเลยทำไม้แล้วส่งต่อไปยังบริษัท ม. จำกัด เพื่อบรรจุหีบห่อเมื่อข้อเท็จจริงฟังว่าไม้ของกลางยังเป็นไม้แปรรูปไม่ใช่สิ่งประดิษฐ์ จำเลยส่งไม้ออกไปที่อื่นจึงเป็นการจำหน่ายหรือโอนออกไป เป็นการฝ่าฝืนข้อกำหนดฉบับที่ 6 (พ.ศ.2520) ข้อ 15 ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 ว่าด้วยการควบคุมการแปรรูปไม้ อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 มาตรา 58, 73 ทวิ และความผิดดังกล่าวโจทก์ไม่ต้องบรรยายฟ้องว่าที่เกิดเหตุอยู่ในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ และเขตควบคุมสิ่งประดิษฐ์ เครื่องใช้หรือสิ่งอื่นใดบรรดาที่ทำด้วยไม้หวงห้ามตามมาตรา 47 และ 53 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3179/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดเช็ค: วันที่กระทำผิดต้องหลังวันที่ออกเช็ค ศาลอุทธรณ์มีอำนาจวินิจฉัยได้เอง
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยออกเช็คพิพาทให้ผู้เสียหายเมื่อเดือนธันวาคม 2528 สั่งจ่ายเงินในวันที่ 15 มกราคม 2528 และผู้เสียหายนำเช็คพิพาทไปเบิกเงินจากธนาคารตามเช็คในวันที่ 4เมษายน 2528 ในวันเดียวกันเวลากลางวัน ธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค วันที่ความผิดเกิดก็คือวันที่ 4 เมษายน 2528 ที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินซึ่งเป็นวันที่ย้อนหลังจากวันที่จำเลยมอบเช็คให้ผู้เสียหาย จึงเป็นไปไม่ได้ที่วันที่กระทำผิดจะเกิดก่อนวันที่จำเลยมอบเช็คพิพาทให้ผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องจึงไม่เป็นความผิด กรณีเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลพิพากษายกฟ้องได้โดยไม่จำต้องวินิจฉัยพยานหลักฐานในสำนวน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3179/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดเช็ค: วันที่กระทำผิดต้องหลังวันที่ออกเช็ค การบรรยายฟ้องไม่ชัดเจนทำให้ศาลยกฟ้อง
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยออกเช็คพิพาทให้ผู้เสียหายเมื่อเดือนธันวาคม 2528 สั่งจ่ายเงินในวันที่ 15 มกราคม 2528 และผู้เสียหายนำเช็คพิพาทไปเบิกเงินจากธนาคารตามเช็คในวันที่4 เมษายน 2528 ในวันเดียวกันเวลากลางวัน ธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค วันที่ความผิดเกิดก็คือวันที่ 4 เมษายน 2528ที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินซึ่งเป็นวันที่ย้อนหลังจากวันที่จำเลยมอบเช็คให้ผู้เสียหาย จึงเป็นไปไม่ได้ที่วันที่กระทำผิดจะเกิดก่อนวันที่จำเลยมอบเช็คพิพาทให้ผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องจึงไม่เป็นความผิด กรณีเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลพิพากษายกฟ้องได้โดยไม่จำต้องวินิจฉัยพยานหลักฐานในสำนวน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2856/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน - เมรุเผาศพสร้างเพื่อสาธารณประโยชน์ ไม่ทำให้กรรมสิทธิ์เปลี่ยนเป็นของแผ่นดิน
โจทก์บรรยายฟ้องไว้ว่าเมรุเผาศพเป็นของโจทก์แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องต่อไปว่า เมรุเผาศพนี้สร้างไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ให้ประชาชนใช้เผาศพร่วมกัน ก็เป็นการบรรยายให้เห็นว่าเมรุเผาศพของโจทก์นี้ใช้ประโยชน์อย่างไร หาทำให้เมรุเผาศพของโจทก์กลายเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไม่โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายและมีอำนาจฟ้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2776/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำกัดความผิดฐานทำร้ายร่างกายสาหัส: การพิจารณาอันตรายสาหัสตามหลักฐานทางการแพทย์
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ใช้มีดแทงผู้เสียหายโดยเจตนาฆ่า ถูกบริเวณท้องทำให้กระเพาะอาหารทะลุ แพทย์ลงความเห็นว่าต้องใช้เวลารักษาตัว 30 วัน โดยไม่มีข้อความว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสอย่างไร เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีเจตนาฆ่าคงมีแต่เจตนาทำร้ายจึงลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 ไม่ได้ คงลงโทษได้ตามมาตรา 295 เท่านั้น
การที่ศาลล่างพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 เกินกว่าที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้.
การที่ศาลล่างพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 เกินกว่าที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้.