คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.อ. ม. 158

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,873 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1344/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษจำเลยในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ศาลมีอำนาจพิจารณาลงโทษจำคุกหรือปรับ หรือทั้งสองอย่างตามความเหมาะสม
โจทก์บรรยายฟ้องแจ้งชัดว่าจำเลยผลิตกัญชาอันเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 โดยผิดกฎหมายและอ้างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26 อันเป็นบทห้ามกระทำผิด แม้โจทก์จะมิได้อ้างบทลงโทษมาตรา 75 ศาลก็ลงโทษจำเลยตามมาตราดังกล่าวได้
กรณีที่กฎหมายกำหนดให้ลงโทษทั้งจำคุกและปรับ ถ้าศาลเห็นสมควรก็ลงแต่โทษจำคุกสถานเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 20 ได้ และศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจรอการลงโทษจำคุกนั้นตามมาตรา 56 ได้ด้วย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 678/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบุกรุกและการทำให้เสียทรัพย์เป็นคนละกรรมกัน แม้โจทก์มิได้ขอเรียงกระทง ศาลลงโทษได้หากบรรยายฟ้องหลายกรรม
จำเลยบุกรุกเข้าบ้านผู้เสียหาย เมื่อคนในบ้านรู้ตัวเรียกจำเลยให้ออกจากห้อง จำเลยกลับพังฝาห้องกระโดดลงจากบ้านหลบหนี ดังนี้การกระทำฐานบุกรุกสำเร็จลงแล้ว ส่วนการกระทำให้เสียทรัพย์เป็นเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังจึงเป็นคนละกรรมกัน แม้โจทก์จะมิได้ขอให้เรียงกระทงลงโทษ แต่เมื่อบรรยายฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันศาลลงโทษ 2กรรมได้ ไม่เกินคำขอ.(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 635/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามในปัญหาข้อเท็จจริง: การชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานและข้อสงสัยตามกฎหมาย
คดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลย5 ปี เป็นคดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ฎีกาของจำเลยที่ว่าพยานหลักฐานในคดีไม่ปรากฏว่าใครเป็นเจ้าของทรัพย์ที่แท้จริง และโจทก์ก็มิได้นำสืบถึงผู้เสียหาย และเจ้าของทรัพย์ที่ถูกลัก การที่ศาลลงโทษจำเลยโดยอาศัยพยานหลักฐานแวดล้อมเป็นการฟังพยานหลักฐานที่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227และเมื่อคดีมีข้อสงสัยว่า จำเลยจะได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ศาลควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลย โดยพิพากษายกฟ้องโจทก์เสียนั้น เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานของศาล จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร โดยบรรยายฟ้องตอนต้นว่า มีคนร้ายเข้าไปลักทรัพย์ในเคหสถานของผู้เสียหายต่อมาในฟ้องข้อ 2 โจทก์ได้บรรยายฟ้องต่อไปว่า มีผู้พบเห็นทรัพย์ของผู้เสียหายที่ถูกลักไปอยู่ในความครอบครองของจำเลย จึงกล่าวหาว่า จำเลยเป็นคนร้ายลักทรัพย์ดังกล่าวไปหรือมิฉะนั้นจำเลยก็รับทรัพย์นั้นไว้จากคนร้ายโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์อันเป็นความผิดฐานรับของโจร โดยขอให้ลงโทษจำเลยฐานใดฐานหนึ่งซึ่งก็แล้วแต่ทางพิจารณาว่าจำเลยกระทำผิดฐานใด โจทก์มิได้ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐาน ดังนั้น คำฟ้องของโจทก์จึงไม่ขัดแย้งกัน และสมบูรณ์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(5) แล้ว.(ที่มา-เนติ)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 222/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิ่มเติมฟ้องคดีเช็ค: รายละเอียดวันปฏิเสธการจ่ายเงินเป็นรายละเอียดการกระทำ ไม่ใช่ขาดองค์ประกอบความผิด
คดีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คนั้น การที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเป็นการกระทำผิดอย่างหนึ่งที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด ส่วนวันที่ที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินนั้นเป็นวันที่มีการกระทำผิดซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่เป็นรายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำที่อ้างว่าเป็นความผิด ดังนั้นเมื่อโจทก์กล่าวในฟ้องว่าธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คโดยมิได้ระบุว่าปฏิเสธการจ่ายเงินเมื่อวันใด จึงเป็นฟ้องที่ขาดรายละเอียดที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีเท่านั้น มิใช่ฟ้องที่บรรยายข้อเท็จจริงขาดองค์ประกอบความผิด โจทก์จึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอแก้หรือเพิ่มเติมฟ้องได้ในเมื่อจำเลยมิได้เสียเปรียบในการต่อสู้คดีหรือหลงข้อต่อสู้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 163,164.
หมายเหตุ ประชุมใหญ่ครั้งที่ 1/2530

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 222/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีเช็ค: วันที่ปฏิเสธการจ่ายเงินเป็นรายละเอียดของข้อหา โจทก์ขอแก้ฟ้องได้หากจำเลยไม่เสียเปรียบ
คดีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คนั้น การที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเป็นการกระทำผิดอย่างหนึ่งที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด ส่วนวันที่ที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินนั้นเป็นวันที่มีการกระทำผิดซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่เป็นรายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำที่อ้างว่าเป็นความผิด ดังนั้นเมื่อโจทก์กล่าวในฟ้องว่าธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คโดยมิได้ระบุว่าปฏิเสธการจ่ายเงินเมื่อวันใด จึงเป็นฟ้องที่ขาดรายละเอียดที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีเท่านั้น มิใช่ฟ้องที่บรรยายข้อเท็จจริงขาดองค์ประกอบความผิด โจทก์จึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอแก้หรือเพิ่มเติมฟ้องได้ในเมื่อจำเลยมิได้เสียเปรียบในการต่อสู้คดีหรือหลงข้อต่อสู้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 163,164
หมายเหตุ ประชุมใหญ่ครั้งที่ 1/2530

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 222/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การระบุวันกระทำผิดในฟ้องคดีเช็ค: รายละเอียดสำคัญที่จำเลยต้องเข้าใจ ไม่ใช่ขาดองค์ประกอบความผิด
คดีความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คนั้นการที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเป็นการกระทำอย่างหนึ่งที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด ส่วนวันที่ที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินนั้นเป็นวันที่มีการกระทำผิดซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่เป็นรายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำที่อ้างว่าเป็นความผิด ดังนั้นเมื่อโจทก์กล่าวในฟ้องว่าธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คโดยมิได้ระบุว่าปฏิเสธการจ่ายเงินเมื่อวันใด จึงเป็นฟ้องที่ขาดรายละเอียดที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีเท่านั้น มิใช่ฟ้องที่บรรยายข้อเท็จจริงขาดองค์ประกอบความผิด โจทก์จึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอแก้ หรือเพิ่มเติมฟ้องได้ในเมื่อจำเลยมิได้เสียเปรียบในการต่อสู้คดีหรือหลงข้อต่อสู้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 163,164.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4656/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อัตราโทษจำคุกไม่ถึงสิบปี ศาลไม่ต้องสอบถามจำเลยเรื่องทนายก่อนพิจารณาคดี
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำผิด 2 กรรมตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ ฐานมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมาย ตามมาตรา 7 ซึ่งมีโทษตามมาตรา 72 วรรคสาม จำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปี กับฐานพาอาวุธปืนไปตามมาตรา 8 ทวิ วรรคสอง ซึ่งมีโทษตามมาตรา 72 ทวิ วรรคสอง จำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปีนั้น ความผิดที่โจทก์ฟ้องมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่ถึงสิบปี แม้คำขอท้ายฟ้อง ของโจทก์ไม่ระบุว่าวรรคใด ก็ต้องถือเอาคำขอที่สอดคล้องกับคำบรรยายฟ้อง เป็นสำคัญ กรณีเช่นนี้ศาลไม่ต้องสอบถามจำเลยในเรื่องทนายก่อนเริ่มพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 173 เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ ศาลย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยได้
ในชั้นอุทธรณ์ จำเลยอุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษหรือรอการกำหนดโทษไว้ แต่ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยปัญหาข้อนี้ เพื่อให้การพิจารณาคดี เป็นไปตามลำดับชั้นศาล ศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาดังกล่าวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4656/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อัตราโทษจำคุกไม่ถึงสิบปี ศาลไม่ต้องสอบถามจำเลยเรื่องทนายก่อนพิจารณาคดี
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำผิด 2 กรรมตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯฐานมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมาย ตามมาตรา 7 ซึ่งมีโทษตามมาตรา 72 วรรคสามจำคุกตั้งแต่หกเดือน ถึงห้าปี กับฐานพาอาวุธปืนไปตามมาตรา 8ทวิวรรคสอง ซึ่งมีโทษ ตาม มาตรา 72 ทวิ วรรคสอง จำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปีนั้น ความผิดที่โจทก์ฟ้องมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่ถึงสิบปี แม้คำขอท้ายฟ้อง องโจทก์ไม่ระบุว่าวรรคใด ก็ต้องถือเอาคำขอที่สอดคล้องกับคำบรรยายฟ้อง เป็นสำคัญ กรณีเช่นนี้ศาลไม่ต้องสอบถามจำเลยในเรื่องทนายก่อนเริ่ม พิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 173 เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ ศาลย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยได้
ในชั้นอุทธรณ์ จำเลยอุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษหรือรอการกำหนดโทษไว้ แต่ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยปัญหาข้อนี้ เพื่อให้การพิจารณาคดี เป็นไปตามลำดับชั้นศาล ศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาดังกล่าวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4656/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาคดีอาญาที่ศาลไม่ต้องสอบถามจำเลยเรื่องทนาย หากอัตราโทษจำคุกไม่ถึงสิบปี และการพิจารณาคำขอรอการลงโทษ
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำผิด2กรรมตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯฐานมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายตามมาตรา7ซึ่งมีโทษตามมาตรา72วรรคสามจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปีกับฐานพาอาวุธปืนไปตามมาตรา8ทวิวรรคสองซึ่งมีโทษตามมาตรา72ทวิวรรคสองจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปีนั้นความผิดที่โจทก์ฟ้องมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่ถึงสิบปีแม้คำขอท้ายฟ้องของโจทก์ไม่ระบุว่าวรรคใดก็ต้องถือเอาคำขอที่สอดคล้องกับคำบรรยายฟ้องเป็นสำคัญกรณีเช่นนี้ศาลไม่ต้องสอบถามจำเลยในเรื่องทนายก่อนเริ่มพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา173เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพศาลย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยได้ ในชั้นอุทธรณ์จำเลยอุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษหรือรอการกำหนดโทษไว้แต่ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยปัญหาข้อนี้เพื่อให้การพิจารณาคดีเป็นไปตามลำดับชั้นศาลศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาดังกล่าวได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4447/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความถูกต้องของฟ้องอาญา กรณีจำเลยร่วมกันออกเช็คโดยเจตนาทุจริต ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าฟ้องของโจทก์ชอบแล้ว
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้ร่วมกันออกเช็ค โดยจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อสั่งจ่าย จำเลยที่ 2 เป็นผู้กรอกรายการในเช็คชำระหนี้ ให้ อ.แล้วอ. นำมาชำระหนี้ให้โจทก์ ทั้งนี้จำเลยทั้งสองร่วมกันออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค ดังนี้ เป็นฟ้องที่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แล้ว ต้องรับฟังไว้ดำเนินการต่อไป
of 188