คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.อ. ม. 158

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,873 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2326-2328/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเบิกความเท็จต่อศาล: การบรรยายฟ้องที่ครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเป็นพยานในคดีที่โจทก์ถูกฟ้องว่ากีดขวางลำบางทางน้ำสาธารณะ ได้เอาความที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นความเท็จมาเบิกความเป็นข้อสำคัญในคดี โดยโจทก์บรรยายคำเบิกความของจำเลยอันมีใจความว่า ลำบางนั้นเป็นทางนำสาธารณะ และว่าความจริงเป็นลำบางหรือคูที่โจทก์ขุดขึ้นในที่ดินของโจทก์ บุคคลทั่วไปมิได้ใช้เรือผ่านไปมาดังนี้ ข้อที่ว่าทางน้ำที่โจทก์ถูกฟ้องว่ากระทำการกีดขวางจะเป็นทางน้ำสาธารณะจริงหรือไม่นั้น ย่อมเป็นที่เข้าใจได้แล้วว่าเป็นข้อสำคัญในคดี ฟ้องโจทก์จึงสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1764/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความสมบูรณ์ของคำฟ้องความเท็จต่อศาล: การระบุความแตกต่างระหว่างคำเบิกความและคำให้การในชั้นสอบสวน
บรรยายฟ้องว่า จำเลยซึ่งเป็นพยานโจทก์ในคดีปล้นทรัพย์ เบิกความเท็จต่อศาลว่าจำคนร้ายไม่ได้ อันเป็นความเท็จและเป็นข้อสำคัญในคดี ซึ่งความจริงจำเลยเคยให้การในฐานะพยานในชั้นสอบสวนว่าจำคนร้ายได้ ดังนี้ แม้จะมิได้กล่าวให้ปรากฏชัดว่าความจริงเป็นดังที่จำเลยเบิกความหรือเป็นดังที่จำเลยให้การ ก็ย่อมเข้าใจได้แล้วว่าโจทก์กล่าวอ้างว่าคำเบิกความของจำเลยเป็นความเท็จ ส่วนความจริงเป็นดังที่จำเลยได้ให้การไว้ในชั้นสอบสวนนั่นเอง และในคดีอาญาเรื่องปล้นทรัพย์ คำเบิกความของพยานในข้อที่ว่าจำคนร้ายได้หรือไม่นั้น ย่อมเป็นข้อสำคัญในคดี คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 ที่สมบูรณ์แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1764/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำฟ้องเบิกความเท็จต่อศาล: การบรรยายฟ้องต้องระบุความขัดแย้งระหว่างคำเบิกความกับคำให้การในชั้นสอบสวน
บรรยายฟ้องว่า จำเลยซึ่งเป็นพยานโจทก์ในคดีปล้นทรัพย์เบิกความเท็จต่อศาลว่าจำคนร้ายไม่ได้ อันเป็นความเท็จและเป็นข้อสำคัญในคดี ซึ่งความจริงจำเลยเคยให้การในฐานะพยานในชั้นสอบสวนว่าจำคนร้ายได้ ดังนี้ แม้จะมิได้กล่าวให้ปรากฏชัดว่าความจริงเป็นดังที่จำเลยเบิกความหรือเป็นดังที่จำเลยให้การ ก็ย่อมเข้าใจได้แล้วว่าโจทก์กล่าวอ้างว่าคำเบิกความของจำเลยเป็นความเท็จ ส่วนความจริงเป็นดังที่จำเลยได้ให้การไว้ในชั้นสอบสวนนั่นเอง และในคดีอาญาเรื่องปล้นทรัพย์ คำเบิกความของพยานในข้อที่ว่าจำคนร้ายได้หรือไม่นั้น ย่อมเป็นข้อสำคัญในคดี คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 ที่สมบูรณ์แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1575/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจดะโต๊ะยุติธรรมในการวินิจฉัยข้อกฎหมายอิสลาม และการฟ้องอาญามาตรา 157
จำเลยดำรงตำแหน่งเป็นดะโต๊ะยุติธรรมประจำศาลจังหวัดปัตตานีได้วินิจฉัยชี้ขาดและลงลายมือชื่อในคำพิพากษาที่วินิจฉัยข้อกฎหมายอิสลามเรื่องมรดกของศาลดังกล่าวตามอำนาจหน้าที่ตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามฯ จำเลยจึงมีฐานะเป็นผู้พิพากษา มีอำนาจหน้าที่ที่จะนั่งพิจารณาร่วมกับผู้พิพากษาศาลชั้นต้น และวินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายนั้นได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเป็นดะโต๊ะยุติธรรม ได้วินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายอิสลามในเรื่องสละมรดกของโจทก์ที่ 1 แตกต่างไปจากคำแปลหลักกฎหมายอิสลามว่าด้วยครอบครัวมรดกมาตรา 194 วรรค 1 ซึ่งทางราชการกระทรวงยุติธรรมได้จัดทำขึ้น หากจำเลยวินิจฉัยชี้ขาดตามคำแปลดังกล่าว มรดกที่โจทก์ที่ 1 สละ ย่อมตกได้แก่โจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นทายาทของโจทก์ที่ 1 การกระทำของจำเลยเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ฝ่าฝืนระเบียบปฏิบัติ ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ดังนี้ เป็นเรื่องที่โจทก์ไม่เห็นพ้องด้วยข้อวินิจฉัยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แม้โจทก์จะอุทธรณ์ฎีกาคัดค้านคำวินิจฉัยนั้นไม่ได้ ก็เป็นเรื่องกฎหมายวิธีสบัญญัติ เมื่อโจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบอย่างไรเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ฟ้องของโจทก์จึงไม่เข้าองค์ประกอบความผิดของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 569/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองบุหรี่เทียบเท่าการมียาสูบตาม พ.ร.บ.ยาสูบ ไม่ต้องบรรยายข้อยกเว้น
ฟ้องบรรยายว่าจำเลยมีบุหรี่ซิกาแรตไว้ในครอบครองมีผลเท่ากับระบุว่าจำเลยมียาสูบตาม พระราชบัญญัติยาสูบ พ.ศ.2509 มาตรา 4 แล้วและมิต้องบรรยายถึงข้อยกเว้นว่าเป็นของผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งอาจได้รับการยกเว้นฟ้องดังนี้ไม่ขาดองค์ประกอบความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 237/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดเกี่ยวกับยา สถานพยาบาล และการประกอบวิชาชีพเวชกรรม โดยไม่ได้รับอนุญาต
คำว่า 'ขาย' ตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติยาพ.ศ.2510 หมายความถึงจำหน่าย จ่าย แจก หรือแลกเปลี่ยนเพื่อประโยชน์ในการค้า และมีไว้เพื่อขายด้วย
ยาที่จำเลยได้ขายและมีไว้เพื่อขายโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นทรัพย์สินที่ต้องริบตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ.2510 มาตรา 126 ส่วนเครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์ซึ่งจำเลยใช้ในการรักษาพยาบาลคนไข้ในสถานพยาบาลซึ่งจำเลยเป็นผู้ดำเนินการโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นทรัพย์สินที่ศาลมีอำนาจสั่งริบได้ตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ.2504 มาตรา 37
พระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ.2504 มาตรา 38 เป็นกรณีที่ผู้ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการสถานพยาบาลอยู่ก่อนและได้ดำเนินการต่อไปเมื่อใบอนุญาตสิ้นอายุแล้ว จำเลยไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ดำเนินการสถานพยาบาล แต่ได้เปิดดำเนินการสถานพยาบาลการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ.2504 มาตรา 37
พระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2511 ยกเลิกพระราชบัญญัติควบคุมการประกอบโรคศิลปะในส่วนที่เกี่ยวกับเวชกรรมดังนั้นการที่โจทก์อ้างพระราชบัญญัติควบคุมการประกอบโรคศิลปะ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ถูกยกเลิกแล้ว มาขอให้ลงโทษจำเลยเท่ากับโจทก์ไม่ได้อ้างกฎหมายเลย ศาลยกข้อนี้ขึ้นวินิจฉัยยกฟ้องได้เอง
ความผิดตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล ฯ พระราชบัญญัติยา ฯขายยาและดำเนินการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาตซึ่งได้กระทำในระหว่างวันเวลาเดียวกัน เป็นความผิดหลายกระทง ศาลลงโทษเรียงกระทงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ซึ่งแก้ไขโดยประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 พ.ศ.2514 ข้อ2

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 151/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประมาทในการขับรถและการลงโทษ แม้ข้อเท็จจริงต่างจากที่ฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขับรถชนรถโจทก์ร่วมในขณะรถโจทก์ร่วมหยุดอยู่ แต่ทางพิจารณาได้ความว่ารถโจทก์ร่วมกำลังขับเคลื่อนไปมิได้หยุด เมื่อการชนเกิดขึ้นเนื่องจากการขับรถโดยประมาทของจำเลยศาลย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยได้ หาใช่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็นและเป็นเรื่องที่โจทก์มิได้ประสงค์ให้ลงโทษไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 151/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประมาทในการขับรถและการพิพากษาลงโทษ แม้ข้อเท็จจริงไม่ตรงตามฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถชนรถโจทก์ร่วมในขณะรถโจทก์ร่วมหยุดอยู่ แต่ทางพิจารณาได้ความว่า รถโจทก์ร่วมกำลังขับเคลื่อนไปมิได้หยุด เมื่อการชนเกิดขึ้นเนื่องจากการขับรถโดยประมาทของจำเลย ศาลย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยได้หาใช่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น และเป็นเรื่องที่โจทก์มิได้ประสงค์ให้ลงโทษไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2737/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องอาญาฐานยักยอกทรัพย์ต้องระบุรายละเอียดการกระทำ ความเสียหาย และช่วงเวลาที่ชัดเจน หากไม่ชัดเจนฟ้องไม่สมบูรณ์
ฟ้องว่า จำเลยมีหน้าที่ควบคุมดูแลจัดการเก็บรักษาการบัญชีรับจ่ายและรักษาเงินขององค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ระหว่างวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2513 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2514เป็นเวลาถึง 1 ปี 7 เดือน จำเลยได้บังอาจยักยอกเบียดบังเอาเงินจำนวน 11,726.39 บาท ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ไปปรากฏจากข้อนำสืบของโจทก์ว่า งบประมาณขององค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์มี 5งบ คือ งบทั่วไปงบเร่งรัดพัฒนาชนบท งบส่วนการศึกษา งบภาคตะวันออกเฉียงเหนือและงบอุดหนุนสภาตำบล เงินที่หายไปนี้เป็นเงินที่อยู่ในงบเร่งรัดพัฒนาชนบทและเกิดจากการที่จำเลยยักยอกเงินตามบัญชีเงินสดเกินหรือขาดไปรวม 22 รายการ แต่ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายรายละเอียดที่เป็นสารสำคัญว่า เป็นเงินงบใด และยักยอกแต่ละครั้ง เป็นจำนวนเท่าใดและเมื่อใด เมื่อบรรยายรวมๆกันมาเช่นนี้ จำเลยจะเข้าใจข้อหาเกี่ยวกับเงินที่จำเลยต้องหาว่ายักยอกเบียดบังมิได้เลย ย่อมเสียเปรียบในการต่อสู้คดีฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158 (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 894/2508)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 และมีคำขอให้จำเลยคืนเงินที่จำเลยยักยอกนั้นแก่ผู้เสียหายด้วยนั้น เป็นคำขอส่วนแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาที่โจทก์ฟ้อง แม้ศาลจะไม่ลงโทษจำเลย เพราะคำฟ้องของโจทก์ในส่วนอาญาไม่สมบูรณ์ แต่เมื่อจำเลยรับว่าได้ยักยอกเบียดบังเอาเงินของผู้เสียหายไปจริง อำนาจของพนักงานอัยการที่จะว่ากล่าวเกี่ยวกับคำขอส่วนแพ่งคงมีต่อไป ศาลมีอำนาจสั่งให้จำเลยคืนเงินจำนวนนั้นแก่ผู้เสียหายได้
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา147 โดยบรรยายฟ้องเป็นใจความว่า จำเลยได้กระทำผิดในวันเวลาใดไม่ปรากฏชัดในระหว่างที่จำเลยดำรงตำแหน่งพนักงานบัญชีและรักษาการในตำแหน่งหัวหน้าหมวดการเงินและการบัญชีส่วนการคลังอีกตำแหน่งหนึ่ง และต่อมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าหมวดดังกล่าวติดต่อกันมาคือ ระหว่างวันที่ 19สิงหาคม 2512 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2515 และเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2514 เวลากลางวัน จำเลยได้รับเงินอุดหนุนขององค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 101,910 บาทจากนายเสถียร ศรีพนา จำเลยได้จ่ายเงินดังกล่าวโดยหักเงินสะสมไว้ 4,056 บาท แล้วยักยอกเบียดบังเอาเงินจำนวน 4,056 บาทไปจึงเป็นฟ้องที่กล่าวหาว่าจำเลยยักยอกเบียดบังเอาเงินไปในระหว่างวันที่ 29 มกราคม 2514 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยรับเงิน ถึงวันที่ 30 กันยายน2515 ฟ้องข้อนี้จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158 (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1330/2506)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2737/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความสมบูรณ์ของฟ้องอาญาคดียักยอกทรัพย์: การระบุรายละเอียดการกระทำผิดและผลกระทบต่อการต่อสู้คดี
ฟ้องว่า จำเลยมีหน้าที่ควบคุมดูแลจัดการเก็บรักษาการบัญชีรับจ่ายและรักษาเงินขององค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ระหว่างวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2513 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2514 เป็นเวลาถึง 1 ปี 7 เดือน จำเลยได้บังอาจยักยอกเบียดบังเอาเงินจำนวน 11,726.39 บาท ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ไป ปรากฏจากข้อนำสืบของโจทก์ว่า งบประมาณขององค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์มี 5งบ คือ งบทั่วไป งบเร่งรัดพัฒนาชนบท งบส่วนการศึกษางบภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และงบอุดหนุนสภาตำบล เงินที่หายไปนี้เป็นเงินที่อยู่ในงบเร่งรัดพัฒนาชนบทและเกิดจากการที่จำเลยยักยอกเงินตามบัญชีเงินสดเกินหรือขาดไปรวม 22 รายการ แต่ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายรายละเอียดที่เป็นสารสำคัญว่า เป็นเงินงบใด และยักยอกแต่ละครั้ง เป็นจำนวนเท่าใดและเมื่อใด เมื่อบรรยายรวมๆกันมาเช่นนี้ จำเลยจะเข้าใจข้อหาเกี่ยวกับเงินที่จำเลยต้องหาว่ายักยอกเบียดบังมิได้เลย ย่อมเสียเปรียบในการต่อสู้คดี ฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 894/2508)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 และมีคำขอให้จำเลยคืนเงินที่จำเลยยักยอกนั้นแก่ผู้เสียหายด้วยนั้น เป็นคำขอส่วนแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาที่โจทก์ฟ้อง แม้ศาลจะไม่ลงโทษจำเลย เพราะคำฟ้องของโจทก์ในส่วนอาญาไม่สมบูรณ์ แต่เมื่อจำเลยรับว่าได้ยักยอกเบียดบังเอาเงินของผู้เสียหายไปจริง อำนาจของพนักงานอัยการที่จะว่ากล่าวเกี่ยวกับคำขอส่วนแพ่งคงมีต่อไป ศาลมีอำนาจสั่งให้จำเลยคืนเงินจำนวนนั้นแก่ผู้เสียหายได้
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา147 โดยบรรยายฟ้องเป็นใจความว่า จำเลยได้กระทำผิดในวันเวลาใดไม่ปรากฏชัดในระหว่างที่จำเลยดำรงตำแหน่งพนักงานบัญชีและรักษาการในตำแหน่งหัวหน้าหมวดการเงินและการบัญชีส่วนการคลังอีกตำแหน่งหนึ่ง และต่อมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าหมวดดังกล่าวติดต่อกันมา คือ ระหว่างวันที่ 19สิงหาคม 2512 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2515 และเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2514 เวลากลางวัน จำเลยได้รับเงินอุดหนุนขององค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 101,910 บาท จากนายเสถียรศรีพนา จำเลยได้จ่ายเงินดังกล่าวโดยหักเงินสะสมไว้ 4,056 บาท แล้วยักยอกเบียดบังเอาเงินจำนวน 4,056 บาทไป จึงเป็นฟ้องที่กล่าวหาว่าจำเลยยักยอกเบียดบังเอาเงินไปในระหว่างวันที่ 29 มกราคม 2514 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยรับเงิน ถึงวันที่ 30 กันยายน 2515 ฟ้องข้อนี้จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158 (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1330/2506)
of 188