พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,873 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2143-2146/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินโดยเจตนาสุจริตและการพิสูจน์ความเชื่อมั่นในกรรมสิทธิ์
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินหนองน้ำสาธารณะนายอำเภอมีคำสั่งให้ออกไป จำเลยฝ่าฝืนไม่ยอมออก ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368จำเลยให้การปฏิเสธ แม้จะปรากฏจากคำฟ้องเองว่าจำเลยครอบครองที่ดินนั้นมานานแล้ว แต่การครอบครองมานานก็มิใช่เหตุผลที่แสดงอยู่ในตัวว่าจำเลยเชื่อมั่นโดยสุจริตใจว่าที่ดินนั้นเป็นของจำเลยเองไม่ใช่ที่สาธารณะ และแม้จำเลยจะให้การว่าที่ดินนั้นมี ส.ค.1 แล้ว ซึ่งอาจเป็นพยานหลักฐานอย่างหนึ่งแสดงว่าจำเลยครอบครองมาโดยไม่รู้ว่าเป็นที่สาธารณะได้และโจทก์แถลงรับว่าจำเลยได้ยื่น ส.ค.1 ไว้ต่อพนักงานสอบสวนจริงแต่โจทก์ก็ยังแถลงโต้แย้งอยู่ว่าที่ดินตาม ส.ค.1 ที่จำเลยอ้างนั้นเป็นคนละแห่งกับที่ที่โจทก์ฟ้อง เรื่อง ส.ค.1 อันจะเป็นเรื่องสนับสนุนข้อแก้ตัวของจำเลยจึงยังเป็นข้อโต้เถียงกันอยู่อีกเช่นกัน ตามคำฟ้องคำให้การ และคำแถลงของโจทก์ ดังนี้ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีความเชื่อมั่นโดยสุจริตใจ ว่าที่ดินเป็นของจำเลยอันจะพึงถือว่าจำเลยมีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควรที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายอำเภอ ที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานแล้วพิพากษายกฟ้องจึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 11/2517)
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 11/2517)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2143-2146/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์เจตนาสุจริตในการครอบครองที่ดินสาธารณะ: จำเป็นต้องมีการสืบพยานเพิ่มเติมเพื่อวินิจฉัย
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินหนองน้ำสาธารณะนายอำเภอมีคำสั่งให้ออกไป จำเลยฝ่าฝืนไม่ยอมออก ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368จำเลยให้การปฏิเสธ แม้จะปรากฏจากคำฟ้องเองว่าจำเลยครอบครองที่ดินนั้นมานานแล้ว แต่การครอบครองมานานก็มิใช่เหตุผลที่แสดงอยู่ในตัวว่าจำเลยเชื่อมั่นโดยสุจริตใจว่าที่ดินนั้นเป็นของจำเลยเองไม่ใช่ที่สาธารณะ และแม้จำเลยจะให้การว่าที่ดินนั้นมี ส.ค.1 แล้ว ซึ่งอาจเป็นพยานหลักฐานอย่างหนึ่งแสดงว่าจำเลยครอบครองมาโดยไม่รู้ว่าเป็นที่สาธารณะได้ และโจทก์แถลงรับว่าจำเลยได้ยื่น ส.ค.1 ไว้ต่อพนักงานสอบสวนจริง แต่โจทก์ก็ยังแถลงโต้แย้งอยู่ว่าที่ดินตาม ส.ค.1 ที่จำเลยอ้างนั้นเป็นคนละแห่งกับที่ที่โจทก์ฟ้อง เรื่อง ส.ค.1 อันจะเป็นเรื่องสนับสนุนข้อแก้ตัวของจำเลยจึงยังเป็นข้อโต้เถียงกันอยู่อีกเช่นกัน ตามคำฟ้อง คำให้การ และคำแถลงของโจทก์ ดังนี้ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีความเชื่อมั่นโดยสุจริตใจ ว่าที่ดินเป็นของจำเลยอันจะพึงถือว่าจำเลยมีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควรที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายอำเภอ ที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานแล้วพิพากษายกฟ้อง จึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 11/2517)
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 11/2517)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2054/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความผิดหมิ่นประมาท แจ้งความเท็จ และอำนาจฟ้องในคดีอาญา
คำเบิกความของจำเลยซึ่งเท้าความไปถึงเรื่องระหองระแหงต่าง ๆ ระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดีอาญาที่ศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายโจทก์นั้น แม้จะเป็นความเท็จ ก็หาใช่ข้อสำคัญในคดีดังกล่าวไม่
คำเบิกความของจำเลยในคดีอาญาซึ่งอ้างตนเองเป็นพยานเพื่อประโยชน์แก่คดีของตนนั้น ถือว่าเป็นถ้อยคำของคู่ความในกระบวนพิจารณา จึงไม่อาจเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
การเบิกความเท็จต่อศาลในการพิจารณาคดี มิใช่เรื่องแจ้งความต่อเจ้าพนักงาน เพราะศาลทำหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานในการยุติธรรมในการพิจารณาคดี ซึ่งมีบทบัญญัติไว้โดยเฉพาะตามมาตรา 177 มิได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานทั่วไป จึงไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จ
ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่า การแจ้งความเท็จของจำเลยอาจทำให้โจทก์เสียหาย เป็นแต่กล่าวว่าอาจทำให้ผู้อื่นเสียหายโจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องในข้อหาฐานนี้
คำเบิกความของจำเลยในคดีอาญาซึ่งอ้างตนเองเป็นพยานเพื่อประโยชน์แก่คดีของตนนั้น ถือว่าเป็นถ้อยคำของคู่ความในกระบวนพิจารณา จึงไม่อาจเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
การเบิกความเท็จต่อศาลในการพิจารณาคดี มิใช่เรื่องแจ้งความต่อเจ้าพนักงาน เพราะศาลทำหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานในการยุติธรรมในการพิจารณาคดี ซึ่งมีบทบัญญัติไว้โดยเฉพาะตามมาตรา 177 มิได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานทั่วไป จึงไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จ
ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่า การแจ้งความเท็จของจำเลยอาจทำให้โจทก์เสียหาย เป็นแต่กล่าวว่าอาจทำให้ผู้อื่นเสียหายโจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องในข้อหาฐานนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2054/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความผิดฐานหมิ่นประมาท แจ้งความเท็จ และการแจ้งความเท็จต่อศาล
คำเบิกความของจำเลยซึ่งเท้าความไปถึงเรื่องระหองระแหงต่างๆระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดีอาญาที่ศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายโจทก์นั้น แม้จะเป็นความเท็จ ก็หาใช่ข้อสำคัญในคดีดังกล่าวไม่
คำเบิกความของจำเลยในคดีอาญาซึ่งอ้างตนเองเป็นพยานเพื่อประโยชน์แก่คดีของตนนั้น ถือว่าเป็นถ้อยคำของคู่ความในกระบวนพิจารณา จึงไม่อาจเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
การเบิกความเท็จต่อศาลในการพิจารณาคดี มิใช่เรื่องแจ้งความต่อเจ้าพนักงาน เพราะศาลทำหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานในการยุติธรรมในการพิจารณาคดี ซึ่งมีบทบัญญัติไว้โดยเฉพาะตามมาตรา 177 มิได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานทั่วไป จึงไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จ
ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่า การแจ้งความเท็จของจำเลยอาจทำให้โจทก์เสียหายเป็นแต่กล่าวว่า อาจทำให้ผู้อื่นเสียหายโจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องในข้อหาฐานนี้
คำเบิกความของจำเลยในคดีอาญาซึ่งอ้างตนเองเป็นพยานเพื่อประโยชน์แก่คดีของตนนั้น ถือว่าเป็นถ้อยคำของคู่ความในกระบวนพิจารณา จึงไม่อาจเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
การเบิกความเท็จต่อศาลในการพิจารณาคดี มิใช่เรื่องแจ้งความต่อเจ้าพนักงาน เพราะศาลทำหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานในการยุติธรรมในการพิจารณาคดี ซึ่งมีบทบัญญัติไว้โดยเฉพาะตามมาตรา 177 มิได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานทั่วไป จึงไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จ
ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่า การแจ้งความเท็จของจำเลยอาจทำให้โจทก์เสียหายเป็นแต่กล่าวว่า อาจทำให้ผู้อื่นเสียหายโจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องในข้อหาฐานนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1907/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองอสังหาริมทรัพย์ผู้อื่น และอำนาจศาลในการงดตรวจพยานวัตถุ รวมถึงการลงโทษตามบทมาตราที่ถูกต้อง
คำขอท้ายฟ้องโจทก์ที่ว่า ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2499 มาตรา 362,364 นั้น แม้จะมีคำว่า "พ.ศ. 2499" เกินมา ก็ย่อมเห็นได้ว่าโจทก์ประสงค์ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญานั่นเอง ศาลจึงมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญาได้
ในคดีอาญา แม้กฎหมายจะกำหนดให้ศาลไปทำการตรวจพยานวัตถุ ที่ไม่สามารถนำมาศาลได้ไว้ก็ตาม แต่ถ้าศาลเห็นว่าไม่จำเป็น ก็อาจใช้ดุลพินิจสั่งงดเสียได้
เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยเข้าไปในบ้านอันเป็นอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์เพื่อถือการครอบครองบ้านนั้น การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา362 กรณีไม่จำต้องปรับบทด้วยมาตรา 364 อีก
ในคดีอาญา แม้กฎหมายจะกำหนดให้ศาลไปทำการตรวจพยานวัตถุ ที่ไม่สามารถนำมาศาลได้ไว้ก็ตาม แต่ถ้าศาลเห็นว่าไม่จำเป็น ก็อาจใช้ดุลพินิจสั่งงดเสียได้
เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยเข้าไปในบ้านอันเป็นอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์เพื่อถือการครอบครองบ้านนั้น การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา362 กรณีไม่จำต้องปรับบทด้วยมาตรา 364 อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1907/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองบ้านของผู้อื่น และอำนาจศาลในการตรวจพยานวัตถุและการลงโทษตามกฎหมาย
คำขอท้ายฟ้องโจทก์ที่ว่า ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2499 มาตรา 362, 364 นั้น แม้จะมีคำว่า "พ.ศ. 2499" เกินมาก็ย่อมเห็นได้ว่าโจทก์ประสงค์ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญานั่นเอง ศาลจึงมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญาได้
ในคดีอาญา แม้กฎหมายจะกำหนดให้ศาลไปทำการตรวจพยานวัตถุที่ไม่สามารถนำมาศาลได้ไว้ก็ตาม แต่ถ้าศาลเห็นว่าไม่จำเป็น ก็อาจใช้ดุลพินิจสั่งงดเสียได้
เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยเข้าไปในบ้านอันเป็นอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์เพื่อถือการครอบครองบ้านนั้น การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 362 กรณีไม่จำต้องปรับบทด้วยมาตรา 364 อีก
ในคดีอาญา แม้กฎหมายจะกำหนดให้ศาลไปทำการตรวจพยานวัตถุที่ไม่สามารถนำมาศาลได้ไว้ก็ตาม แต่ถ้าศาลเห็นว่าไม่จำเป็น ก็อาจใช้ดุลพินิจสั่งงดเสียได้
เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยเข้าไปในบ้านอันเป็นอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์เพื่อถือการครอบครองบ้านนั้น การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 362 กรณีไม่จำต้องปรับบทด้วยมาตรา 364 อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1881/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องฉ้อโกงและรับของโจรต้องชัดเจน การบรรยายฟ้องขัดแย้งกันทำให้จำเลยสับสนและไม่สามารถต่อสู้คดีได้อย่างถูกต้อง
ความผิดฐานฉ้อโกงเป็นเรื่องที่ผู้กระทำผิดได้ทรัพย์ด้วยการหลอกลวงแต่ความผิดฐานรับของโจร ทรัพย์ที่ได้มาด้วยการฉ้อโกงนั้น ผู้รับของโจรไม่ได้ไปหลอกลวงด้วย เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องในข้อ (ข) สำหรับความผิดฐานฉ้อโกงว่า จำเลยที่ 2ได้ปุ๋ยมาด้วยการร่วมกับจำเลยที่ 1 นำใบอินวอยซ์ปลอมไปหลอกลวงเจ้าหน้าที่บริษัท ส. แต่กลับบรรยายฟ้องข้อ(ค)ในความผิดฐานรับของโจรว่า จำเลยที่ 2 รับปุ๋ยรายเดียวกันนี้ไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นปุ๋ยที่ได้มาจากการฉ้อโกงซึ่งแสดงว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้ไปหลอกลวงด้วยจึงขัดแย้งกัน การที่โจทก์ฟ้องรวมกันมาเพื่อให้ศาลวินิจฉัยไปตามข้อเท็จจริงแห่งคดีว่าจะเป็นความผิดฐานใดเช่นนี้ จำเลยที่ 2 ไม่อาจเข้าใจได้ว่าโจทก์กล่าวหาว่ากระทำการอย่างใดแน่ ย่อมต่อสู้คดีไม่ถูกฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ในความผิดสองฐานนี้จึงเป็นฟ้องที่เคลือบคลุม แต่สำหรับจำเลยที่ 1 โจทก์มิได้กล่าวหาว่ากระทำผิดฐานรับของโจรด้วย ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานฉ้อโกงจึงไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1881/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องฉ้อโกงและรับของโจร: ฟ้องเคลือบคลุมเมื่อบรรยายขัดแย้งกัน จำเลยไม่เข้าใจข้อกล่าวหา
ความผิดฐานฉ้อโกงเป็นเรื่องที่ผู้กระทำผิดได้ทรัพย์ด้วยการหลอกลวง แต่ความผิดฐานรับของโจร ทรัพย์ที่ได้มาด้วยการฉ้อโกงนั้น ผู้รับของโจรไม่ได้ไปหลอกลวงด้วย เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องในข้อ (ข) สำหรับความผิดฐานฉ้อโกงว่า จำเลยที่ 2 ได้ปุ๋ยมาด้วยการร่วมกับจำเลยที่ 1 นำใบอินวอยซ์ปลอมไปหลอกลวงเจ้าหน้าที่บริษัท ส. แต่กลับบรรยายฟ้องข้อ(ค) ในความผิดฐานรับของโจรว่า จำเลยที่ 2 รับปุ๋ยรายเดียวกันนี้ไว้โดยรู้อยู่แล้วว่า เป็นปุ๋ยที่ได้มาจากการฉ้อโกงซึ่งแสดงว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้ไปหลอกลวงด้วยจึงขัดแย้งกัน การที่โจทก์ฟ้องรวมกันมาเพื่อให้ศาลวินิจฉัยไปตามข้อเท็จจริงแห่งคดีว่าจะเป็นความผิดฐานใดเช่นนี้ จำเลยที่ 2 ไม่อาจเข้าใจได้ว่าโจทก์กล่าวหาว่ากระทำการอย่างใดแน่ ย่อมต่อสู้คดีไม่ถูก ฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ในความผิดสองฐานนี้จึงเป็นฟ้องที่เคลือบคลุม แต่สำหรับจำเลยที่ 1 โจทก์มิได้กล่าวหาว่ากระทำผิดฐานรับของโจรด้วย ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานฉ้อโกงจึงไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1461/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งข้อความเท็จเกี่ยวกับการสืบราคาจัดซื้อสีและการพิสูจน์หลักฐานความถูกต้อง
ฟ้องของโจทก์มีความหมายว่า ระหว่างวันเวลาที่โจทก์กล่าวในฟ้องเพื่อที่จำเลยจะซื้อสีและอุปกรณ์การทาสีไว้ทาบ้านพักข้าราชการมิได้มีการตั้งกรรมการสืบราคา และกรรมการมิได้ทำการสืบราคาสีและอุปกรณ์การทาสี แต่จำเลยได้ทำหลักฐานอันเป็นเท็จว่า ได้มีการตั้งกรรมการ และกรรมการได้ทำการสืบราคาถูกต้องตามระเบียบของทางราชการแล้วนั้น มิได้หมายความถึงว่าจำเลยได้ซื้อสีหรืออุปกรณ์การทาสีไว้ก่อนแล้ว โดยมิได้มีการตั้งกรรมการสืบราคาและไม่มีการสืบราคาก่อนซื้อ เพราะโจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้พอเข้าใจได้เป็นทำนองนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1461/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสร้างหลักฐานเท็จเกี่ยวกับการสืบราคาจัดซื้อสี การกระทำความผิดมาตรา 162 อาญา
ฟ้องของโจทก์มีความหมายว่า ระหว่างวันเวลาที่โจทก์กล่าวในฟ้องเพื่อที่จำเลยจะซื้อสีและอุปกรณ์การทาสีไว้ทาบ้านพักข้าราชการมิได้มีการตั้งกรรมการสืบราคา และกรรมการมิได้ทำการสืบราคาสีและอุปกรณ์การทาสี แต่จำเลยได้ทำหลักฐานอันเป็นเท็จว่า ได้มีการตั้งกรรมการ และกรรมการได้ทำการสืบราคาถูกต้องตามระเบียบของทางราชการแล้วนั้น มิได้หมายความถึงว่าจำเลยได้ซื้อสีหรืออุปกรณ์การทาสีไว้ก่อนแล้ว โดยมิได้มีการตั้งกรรมการสืบราคาและไม่มีการสืบราคาก่อนซื้อ เพราะโจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้พอเข้าใจได้เป็นทำนองนั้น