คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.อ. ม. 158

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,873 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1306/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องเท็จต้องระบุรายละเอียดชัดเจน หากฟ้องไม่ชัดเจน ศาลยกฟ้องได้
เมื่อข้อความในฟ้องของจำเลยที่โจทก์กล่าวหาในคดีนี้ว่าเป็นฟ้องเท็จ มีข้อความยืดยาว มิได้เป็นเท็จไปทั้งหมดและโจทก์ก็ไม่ได้บรรยายให้ชัดแจ้งว่าข้อความที่จำเลยฟ้องกล่าวหาโจทก์กระทำผิดนั้น เป็นเท็จอย่างไร ฟ้องของโจทก์ย่อมไม่พอจะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี เป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1306/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำฟ้องที่ไม่ชัดเจน ทำให้จำเลยไม่เข้าใจข้อหา ฟ้องจึงไม่พอรับ
เมื่อข้อความในฟ้องของจำเลยที่โจทก์กล่าวหาในคดีนี้ว่าเป็นฟ้องเท็จ มีข้อความยืดยาว มิได้เป็นเท็จไปทั้งหมดและโจทก์ก็ไม่ได้บรรยายให้ชัดแจ้งว่าข้อความที่จำเลยฟ้องกล่าวหาโจทก์กระทำผิดนั้น เป็นเท็จอย่างไร ฟ้องของโจทก์ย่อมไม่พอจะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี เป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1140/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสั่งริบของกลางเกินคำขอ และสิทธิในการได้รับคืนทรัพย์สินของผู้ไม่กระทำผิด
ศาลชั้นต้นสั่งให้ริบไขควงของกลางซึ่งโจทก์มิได้ขอให้ริบอันเป็นการเกินคำขอ ฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 เมื่อจำเลยไม่ได้กระทำผิด ก็ชอบที่จะสั่งคืนเหล็กไขควงซึ่งมิใช่เป็นทรัพย์อันมีไว้เป็นความผิดแก่จำเลยผู้เป็นเจ้าของ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 881/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาเกินคำขอ และอำนาจศาลอุทธรณ์ในการรอการลงโทษ
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลย ฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยบรรยายฟ้องว่าปืนนั้นเป็นปืนมีทะเบียนแล้ว จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง แม้จะให้การด้วยว่าปืนนั้นเป็นปืนไม่มีทะเบียน ศาลก็ลงโทษจำเลยฐานมีอาวุธปืนไม่มีทะเบียนไว้ในครอบครองตามคำรับของจำเลยเองด้วยไม่ได้ เพราะเป็นการพิพากษาเกินคำขอที่โจทก์มิได้กล่าวในฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบา มิได้ขอให้รอการลงโทษ ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจพิพากษาให้รอการลงโทษได้ เพราะไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 และไม่มีบทบัญญัติห้ามศาลมิให้ใช้ดุลพินิจให้เป็นคุณแก่จำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 710/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาคดีทำเอกสารปลอม: การวินิจฉัยความเสียหายและขอบเขตการอุทธรณ์
ข้อความในเอกสารซึ่งจำเลยปลอมลายมือชื่อของ จ. ผู้เสียหาย น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหายหรือไม่นั้น เป็นปัญหาข้อเท็จจริง โจทก์ฟ้องว่าน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย แม้จำเลยรับสารภาพ แต่ศาลเห็นว่าไม่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย ศาลก็พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลแขวงว่า จำเลยปลอมลายมือชื่อ จ. ผู้เสียหายลงในเอกสารคำร้อง โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ จ. ผู้เสียหาย และ น.พนักงานเจ้าหน้าที่ศาลแขวงพิพากษาว่า ที่โจทก์อ้างว่าอาจจะเกิดความเสียหายแก่ จ. นั้น โจทก์มิได้บรรยายว่าจะเกิดความเสียหายอย่างใด จึงไม่อาจจะพิเคราะห์ได้. ส่วนที่อ้างว่าน่าจะเกิดความเสียหายแก่ น. นั้น ตามคำร้องไม่อาจทำให้ น.เสียหาย พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์ฎีกา ศาลฎีการับวินิจฉัยข้อที่ว่า ฟ้องที่เกี่ยวกับ จ.นั้นสมบูรณ์หรือไม่ เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายและรับวินิจฉัยข้อที่ว่าน่าจะเกิดความเสียหายแก่ จ.หรือไม่เพราะศาลแขวงยกฟ้องด้วยข้อกฎหมาย แต่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องด้วยข้อเท็จจริง โดยได้วินิจฉัยว่ายังไม่เกิดความเสียหายแก่ จ. โจทก์จึงมีสิทธิฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นการเสียหายแก่ จ. ส่วนข้อที่ว่าน่าจะเกิดความเสียหายแก่น.หรือไม่นั้น ศาลแขวงยกฟ้อง โดยฟังว่าไม่อาจทำให้น. เสียหาย โจทก์จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์โต้แย้ง แม้โจทก์จะอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ ก็ไม่ก่อให้เกิดสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 710/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาคดีปลอมแปลงเอกสาร: ความเสียหายที่ต้องพิสูจน์ และขอบเขตการอุทธรณ์
ข้อความในเอกสารซึ่งจำเลยปลอมลายมือชื่อของ จ. ผู้เสียหายน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหายหรือไม่นั้น เป็นปัญหาข้อเท็จจริงโจทก์ฟ้องว่าน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย แม้จำเลยรับสารภาพแต่ศาลเห็นว่าไม่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย ศาลก็พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลแขวงว่า จำเลยปลอมลายมือชื่อ จ. ผู้เสียหายลงในเอกสารคำร้อง โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ จ. ผู้เสียหายและ น.พนักงานเจ้าหน้าที่ศาลแขวงพิพากษาว่า ที่โจทก์อ้างว่าอาจจะเกิดความเสียหายแก่ จ. นั้น โจทก์มิได้บรรยายว่าจะเกิดความเสียหายอย่างใด จึงไม่อาจจะพิเคราะห์ได้. ส่วนที่อ้างว่าน่าจะเกิดความเสียหายแก่ น. นั้น ตามคำร้องไม่อาจทำให้ น.เสียหาย พิพากษายกฟ้องโจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์ฎีกา ศาลฎีการับวินิจฉัยข้อที่ว่า ฟ้องที่เกี่ยวกับ จ.นั้นสมบูรณ์หรือไม่ เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายและรับวินิจฉัยข้อที่ว่าน่าจะเกิดความเสียหายแก่ จ.หรือไม่เพราะศาลแขวงยกฟ้องด้วยข้อกฎหมาย แต่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องด้วยข้อเท็จจริง โดยได้วินิจฉัยว่ายังไม่เกิดความเสียหายแก่ จ.โจทก์จึงมีสิทธิฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นการเสียหายแก่ จ.ส่วนข้อที่ว่าน่าจะเกิดความเสียหายแก่น.หรือไม่นั้น ศาลแขวงยกฟ้องโดยฟังว่าไม่อาจทำให้น. เสียหาย โจทก์จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์โต้แย้งแม้โจทก์จะอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ ก็ไม่ก่อให้เกิดสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 474/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่น: การป้องกันตัวสมควรแก่เหตุ และขอบเขตการฟ้องร้องผู้สนับสนุน
จำเลยโกรธผู้เสียหาย ถือปืนไปท้ายิงผู้เสียหายที่เรือนผู้เสียหายผู้เสียหายเดินถือเสียมลงจากเรือนมาหาจำเลยในลักษณะที่จะต่อสู้กับจำเลย ต่อจากนั้นจำเลยได้ใช้ปืนยิงผู้เสียหายเช่นนี้ เป็นเรื่องสมัครใจเข้าวิวาทต่อสู้กัน จำเลยจะอ้างว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตัวหาได้ไม่
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยสองคนร่วมกันเป็นตัวการ ใช้ปืนยิงผู้เสียหายโดยเจตนาฆ่า ผู้เสียหายไม่ตายสมดังเจตนาของจำเลยทั้งสองให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,289, 80, 83แต่ทางพิจารณาปรากฏว่าขณะที่จำเลยที่ 1กำลังทะเลาะกับผู้เสียหายก่อนลงมือยิงนั้น จำเลยที่ 2 พูดยุให้จำเลยที่ 1 ยิง เมื่อโจทก์มิได้กล่าวในฟ้องว่าจำเลยที่ 2 ยุยงส่งเสริมให้จำเลยที่ 1 ยิงผู้เสียหายกับทั้งมิได้อ้างมาตรา 84 มาในฟ้องด้วย เช่นนี้ ศาลย่อมจะลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดตามข้อเท็จจริงที่โจทก์สืบได้นั้นไม่ได้เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์ไม่ประสงค์จะให้ลงโทษ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 474/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวในคดีทำร้ายร่างกายและข้อจำกัดการขยายฟ้องในความผิดฐานยุยงส่งเสริม
จำเลยโกรธผู้เสียหาย ถือปืนไปท้ายิงผู้เสียหายที่เรือนผู้เสียหาย ผู้เสียหายเดินถือเสียมลงจากเรือนมาหาจำเลยในลักษณะที่จะต่อสู้กับจำเลย ต่อจากนั้นจำเลยได้ใช้ปืนยิงผู้เสียหายเช่นนี้ เป็นเรื่องสมัครใจเข้าวิวาทต่อสู้กัน จำเลยจะอ้างว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตัวหาได้ไม่
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยสองคนร่วมกันเป็นตัวการ ใช้ปืนยิงผู้เสียหายโดยเจตนาฆ่า ผู้เสียหายไม่ตายสมดังเจตนาของจำเลยทั้งสอง ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,289,80,83 แต่ทางพิจารณาปรากฏว่าขณะที่จำเลยที่ 1กำลังทะเลาะกับผู้เสียหายก่อนลงมือยิงนั้น จำเลยที่ 2พูดยุให้จำเลยที่ 1 ยิง เมื่อโจทก์มิได้กล่าวในฟ้องว่าจำเลยที่ 2 ยุยงส่งเสริมให้จำเลยที่ 1 ยิงผู้เสียหาย กับทั้งมิได้อ้างมาตรา 84 มาในฟ้องด้วย เช่นนี้ ศาลย่อมจะลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดตามข้อเท็จจริงที่โจทก์สืบได้นั้นไม่ได้เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์ไม่ประสงค์จะให้ลงโทษ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 470/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความประมาทในการขับรถเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำเลยมีความผิดตามกฎหมายหลายบท
โจทก์ระบุมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2477มาในคำขอท้ายฟ้อง. แต่ปรากฏว่าตามคำบรรยายฟ้องกล่าวแต่เพียงว่า จำเลยขับรถด้วยความเร็วสูงเกินกว่า 100กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น มิได้กล่าวหาว่าจำเลยขับรถเร็วเกินอัตราซึ่งกำหนดไว้ในกฎหมายจึงพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามมาตราดังกล่าวไม่ได้
การที่จำเลยขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และได้รับอันตรายแก่กายนั้น เป็นกรรมเดียวแต่เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90ไม่ใช่ความผิดหลายกรรมต่างกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 470/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความประมาทในการขับรถ, การกำหนดความผิดตามกฎหมายจราจร, และการพิจารณาความผิดกรรมเดียว
โจทก์ระบุมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2477มาในคำขอท้ายฟ้อง. แต่ปรากฏว่าตามคำบรรยายฟ้องกล่าวแต่เพียงว่าจำเลยขับรถด้วยความเร็วสูงเกินกว่า 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้นมิได้กล่าวหาว่าจำเลยขับรถเร็วเกินอัตราซึ่งกำหนดไว้ในกฎหมายจึงพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามมาตราดังกล่าวไม่ได้
การที่จำเลยขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับอันตรายแก่กายนั้น เป็นกรรมเดียวแต่เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90ไม่ใช่ความผิดหลายกรรมต่างกันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91
of 188