คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.อ. ม. 158

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,873 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 861/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานยักยอกเงินขององค์การตลาดโดยเจ้าพนักงาน แม้เป็นเจ้าพนักงานชั้นผู้น้อย
โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยเรียกเก็บเงินค่าเช่าแผงลอยค่าโอนแผงลอย ค่าต่อสัญญาเช่าต่างๆ เป็นรายเดือนจากบุคคลหลายราย ในหลายท้องที่ และเรียกเก็บอยู่เป็นระยะเวลาประมาณ 1 ปี. ในระหว่างนั้นก็ได้ยักยอกเอาเงินที่เรียกเก็บมาได้นั้นไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวเสียในระหว่างวันเวลาสถานที่ดังกล่าวในฟ้อง. ดังนี้ คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายถึงลักษณะวิธีการพฤติการณ์ในการกระทำผิดของจำเลย.และกล่าวความเกี่ยวกับวันเวลาสถานที่ที่หาว่าจำเลยกระทำผิดพอสมควร ที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว. ไม่ใช่คำฟ้องเคลือบคลุม.
จำเลยเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการเงินขององค์การตลาดให้เป็นไปตามหน้าที่ของจำเลย. การที่จำเลยยักยอกเอาเงินขององค์การตลาดไป. จึงเป็นความผิดในฐานะเป็นเจ้าพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐกระทำการทุจริตต่อหน้าที่. เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502มาตรา 4.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 861/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดเจ้าพนักงานยักยอกเงินขององค์การตลาด แม้เป็นเจ้าพนักงานชั้นผู้น้อยก็ต้องรับผิด
โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยเรียกเก็บเงินค่าเช่าแผงลอยค่าโอนแผงลอย ค่าต่อสัญญาเช่าต่างๆ เป็นรายเดือนจากบุคคลหลายราย ในหลายท้องที่ และเรียกเก็บอยู่เป็นระยะเวลาประมาณ 1 ปี ในระหว่างนั้นก็ได้ยักยอกเอาเงินที่เรียกเก็บมาได้นั้นไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวเสียในระหว่างวันเวลาสถานที่ดังกล่าวในฟ้อง ดังนี้ คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายถึงลักษณะวิธีการพฤติการณ์ในการกระทำผิดของจำเลยและกล่าวความเกี่ยวกับวันเวลาสถานที่ที่หาว่าจำเลยกระทำผิดพอสมควร ที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีแล้วไม่ใช่คำฟ้องเคลือบคลุม
จำเลยเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการเงินขององค์การตลาดให้เป็นไปตามหน้าที่ของจำเลยการที่จำเลยยักยอกเอาเงินขององค์การตลาดไปจึงเป็นความผิดในฐานะเป็นเจ้าพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐกระทำการทุจริตต่อหน้าที่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502มาตรา 4

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 861/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดเจ้าพนักงานยักยอกเงินขององค์การตลาด แม้เป็นเจ้าพนักงานชั้นผู้น้อยก็ต้องรับผิด
โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยเรียกเก็บเงินค่าเช่าแผงลอย ค่าโอนแผงลอยค่าต่อสัญญาเช่าต่าง ๆ เป็นรายเดือนจากบุคคลหลายราย ในหลายท้องที่ และเรียกเก็บอยู่เป็นระยะเวลาประมาณ 1 ปี ในระหว่างนั้นก็ได้ยักยอกเอาเงินที่เรียกเก็บมาได้นั้นไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวเสียในระหว่างวันเวลา สถานที่ดังกล่าวในฟ้อง ดังนี้ คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายถึงลักษณะวิธีการพฤติการณ์ในการกระทำผิดของจำเลย และกล่าวความเกี่ยวกับวันเวลาสถานที่ที่หาว่าจำเลยกระทำผิดพอสมควร ที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ไม่ใช่คำฟ้องเคลือบคลุม
จำเลยเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการเงินขององค์การตลาด ให้เป็นไปตามหน้าที่ของจำเลย การที่จำเลยยักยอกเอาเงินขององค์การตลาดไป จึงเป็นความผิดในฐานะเป็นเจ้าพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐกระทำการทุจริตต่อหน้าที่ เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 4

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 722/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีฉ้อโกงและการฟ้องคดีเกี่ยวกับสมาคม: ผู้เสียหายและสมาชิกภาพ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเจตนาทุจริตใช้อุบายหลอกลวงนางคอย ทรัพย์อ่วม โจทก์และประชาชนด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดความจริง แต่มิได้บรรยายมาในฟ้องว่าความจริงเป็นอย่างไร และความเท็จเป็นอย่างไรฟ้องโจทก์จึงไม่มีมูลเป็นความผิดฐานฉ้อโกง
โจทก์ไม่ใช่สมาชิกของสมาคมได้ฟ้องสมาคมซึ่งจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแล้วกับพวกเป็นจำเลย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัดสมาคมและมูลนิธิ พ.ศ.2499มาตรา 52,53,5556 ตามมาตรา 53 ของพระราชบัญญัติดังกล่าวเป็นเรื่องที่สมาชิกของสมาคมจะดำเนินคดี โจทก์จะมาดำเนินคดีหาได้ไม่ และตามมาตรา 52,55 โจทก์ก็ไม่ใช่ผู้เสียหายส่วนมาตรา 56ก็เป็นเรื่องของสมาคมที่ยังไม่ได้จดทะเบียนแต่เรื่องนี้สมาคมจำเลยได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องที่ควรรับไว้พิจารณา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 722/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีฉ้อโกงและคดีเกี่ยวกับสมาคม: ผู้เสียหายและองค์ประกอบความผิด
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเจตนาทุจริตใช้อุบายหลอกลวงนางคอย ทรัพย์อ่วม โจทก์และประชาชนด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดความจริง แต่มิได้บรรยายมาในฟ้องว่าความจริงเป็นอย่างไร และความเท็จเป็นอย่างไร ฟ้องโจทก์จึงไม่มีมูลเป็นความผิดฐานฉ้อโกง
โจทก์ไม่ใช่สมาชิกของสมาคม ได้ฟ้องสมาคมซึ่งจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแล้วกับพวกเป็นจำเลย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499 มาตรา 52, 53, 55, 56 ตามมาตรา 53 ของพระราชบัญญํติดังกล่าวเป็นเรื่องที่สมาชิกของสมาคมจะดำเนินคดีโจทก์จะมาดำเนินคดีหาได้ไม่ และตามมาตรา 52, 55 โจทก์ก็ไม่ใช่ผู้เสียหาย ส่วนมาตรา 56 ก็เป็นเรื่องของสมาคมที่ยังไม่ได้จดทะเบียนแต่เรื่องนี้สมาคมจำเลยได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องที่ควรรับไว้พิจารณา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 722/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีฉ้อโกงและคดีเกี่ยวกับสมาคม: ผู้เสียหายและสมาชิกภาพ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเจตนาทุจริตใช้อุบายหลอกลวงนางคอย ทรัพย์อ่วม. โจทก์และประชาชนด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดความจริง. แต่มิได้บรรยายมาในฟ้องว่าความจริงเป็นอย่างไร. และความเท็จเป็นอย่างไร.ฟ้องโจทก์จึงไม่มีมูลเป็นความผิดฐานฉ้อโกง.
โจทก์ไม่ใช่สมาชิกของสมาคม. ได้ฟ้องสมาคมซึ่งจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแล้วกับพวกเป็นจำเลย. ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ.2499มาตรา 52,53,5556 ตามมาตรา 53 ของพระราชบัญญัติดังกล่าวเป็นเรื่องที่สมาชิกของสมาคมจะดำเนินคดี. โจทก์จะมาดำเนินคดีหาได้ไม่. และตามมาตรา 52,55 โจทก์ก็ไม่ใช่ผู้เสียหาย. ส่วนมาตรา 56ก็เป็นเรื่องของสมาคมที่ยังไม่ได้จดทะเบียนแต่เรื่องนี้สมาคมจำเลยได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายแล้ว. ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องที่ควรรับไว้พิจารณา.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 534/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความชัดเจนในการระบุสถานที่กระทำผิดในคดีอาญา และการโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ต้องห้ามตามกฎหมาย
คำบรรยายฟ้องที่ไม่ถือว่าเคลือบคลุม
กฎหมายห้ามมิให้โจทก์อ้างตัวจำเลยเป็นพยานโจทก์เท่านั้น มิได้ห้ามโจทก์อ้างผู้ที่กระทำผิดเช่นเดียวกับจำเลยมาเป็นพยาน
ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยแผ้วถางที่ดินที่ยังมีสภาพเป็นป่าอยู่โดยรอบ จำเลยฎีกาว่าจำเลยไม่ได้ถางที่ดินที่ยังมีสภาพเป็นป่า เป็นการถางที่มีประโยชน์ที่ไม่มีสภาพเป็นป่า ข้อเถียงดังนี้เป็นการเถียงข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 534/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความชัดเจนในการบรรยายฟ้องคดีอาญาเกี่ยวกับป่าไม้ และข้อจำกัดในการอ้างพยานร่วมกระทำผิด
คำบรรยายฟ้องที่ไม่ถือว่าเคลือบคลุม.
กฎหมายห้ามมิให้โจทก์อ้างตัวจำเลยเป็นพยานโจทก์เท่านั้น. มิได้ห้ามโจทก์อ้างผู้ที่กระทำผิดเช่นเดียวกับจำเลยมาเป็นพยาน.
ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยแผ้วถางที่ดินที่ยังมีสภาพเป็นป่าอยู่โดยรอบ. จำเลยฎีกาว่าจำเลยไม่ได้ถางที่ดินที่ยังมีสภาพเป็นป่า.เป็นการถางที่มีประโยชน์ที่ไม่มีสภาพเป็นป่า. ข้อเถียงดังนี้เป็นการเถียงข้อเท็จจริง. จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 534/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีอาญาฐานทำลายป่า: สถานที่กระทำผิดต้องระบุชัดเจน และการอ้างพยานผู้กระทำผิดก็ทำได้
คำบรรยายฟ้องที่ไม่ถือว่าเคลือบคลุมกฎหมายห้ามมิให้โจทก์อ้างตัวจำเลยเป็นพยานโจทก์เท่านั้นมิได้ห้ามโจทก์อ้างผู้ที่กระทำผิดเช่นเดียวกับจำเลยมาเป็นพยาน
ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยแผ้วถางที่ดินที่ยังมีสภาพเป็นป่าอยู่โดยรอบจำเลยฎีกาว่าจำเลยไม่ได้ถางที่ดินที่ยังมีสภาพเป็นป่า เป็นการถางที่มีประโยชน์ที่ไม่มีสภาพเป็นป่า ข้อเถียงดังนี้เป็นการเถียงข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 93/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ วันเวลาเกิดเหตุในฟ้อง ไม่ใช่สาระสำคัญ หากจำเลยไม่หลงข้อต่อสู้ ฟ้องยังใช้ได้
วันเวลาเกิดเหตุในคำฟ้องเป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์บรรยายมาในฟ้อง หาใช่ข้อสารสำคัญไม่. ฉะนั้น แม้ทางพิจารณาจะฟังว่าเหตุเกิดคนละวันกับที่ระบุมาในฟ้อง. และจำเลยก็มิได้หลงข้อต่อสู้. ย่อมเป็นฟ้องที่ใช้ได้ (เทียบฎีกาที่ 926/2510 ในที่ประชุมใหญ่).
of 188