พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,873 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 540/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความไม่ชัดเจนในการบรรยายฟ้องข้อหาประกอบโรคศิลปะเวชกรรม ทำให้ฟ้องไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
ตามมาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ.ควบคุมการประกอบโรคศิลปะ 2479 แก้ไขโดย พ.ร.บ.ควบคุมการประกอบโรคศิลปะ (ฉบับที่ 5) 2490 มาตรา 3 แสดงว่า ในการประกอบโรคศิลปะสาขาเวชชกรรมนั้น มีการกระทำซึ่งเป็นข้อเท็จจริงต่างกันและแยกกันหลายประการ เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้บังอาจประกอบโรคศิลปะสาขาเวชชกรรม มิได้บรรยายข้อเท็จจริงให้เห็นว่า จำเลยได้กระทำการอย่างไรอันเป็นการประกอบโรคศิลปะสาขาเวชชกรรม จึงไม่ชัดเจนพอให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี แม้จะบรรยายว่าจับได้ยาต่าง ๆ หลายอย่างรวมทั้งเข็มและหลอดฉีดยา เลื่อยตัด ก็ไม่อาจทำให้เข้าใจได้ว่าการกระทำผิดของจำเลยได้กระทำการอย่างไร จึงเป็นฟ้องไม่ถูกต้องตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 158.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 436/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบเรือยนต์หางยาวที่ใช้ขนของหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากร โดยไม่จำเป็นต้องระบุระวางบรรทุกในคำฟ้อง
เฉพาะเรือยนต์หางยาวเช่นเรือยนต์หางยาวของกลางคดีนี้เป็นเรือที่รู้จักกันอยู่ทั่วไปว่าเป็นเรือเล็กๆ ไม่ใหญ่โตชนิดหนึ่งใช้วิ่งรับส่งในแม่น้ำลำคลองโดยข้อเท็จจริงไม่มีทางจะฟังว่าเป็นเรือมีระวางบรรทุกเกิน 250 ตัน ได้เลยฉะนั้น เมื่อข้อเท็จจริงเป็นที่รับรู้กันอยู่ทั่วไปดังกล่าว ถึงแม้โจทก์จะมิได้บรรยายฟ้องว่ามีระวางบรรทุกเท่าใดศาลย่อมรับฟังข้อเท็จจริงได้ว่าเรือยนต์หางยาวพร้อมด้วยเครื่องของกลางคดีนี้ มีระวางบรรทุกไม่เกิน 250 ตัน เมื่อจำเลยนำไปใช้ในการขนของที่ยังมิได้เสียภาษี จึงต้องริบตามพระราชบัญญัติศุลกากรพ.ศ.2469 มาตรา 32 (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 9/2509)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 436/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบเรือยนต์หางยาวที่ใช้ในการขนของหลีกเลี่ยงภาษี ศาลรับฟังได้แม้ไม่ได้ระบุระวางบรรทุก
เฉพาะเรือยนต์หางยาวเช่นเรือยนต์หางยาวของกลางคดีนี้เป็นเรือที่รู้จักกันอยู่ทั่วไปว่าเป็นเรือเล็ก ๆ ไม่ใหญ่โตชนิดหนึ่งใช้วิ่งรับส่งในแม่น้ำลำคลอง โดยข้อเท็จจริงไม่มีทางจะฟังว่าเป็นเรือมีระวางบรรทุกเกิน 250 ตันได้เลย ฉะนั้น เมื่อข้อเท็จจริงเป็นที่รับรู้กันอยู่ทั่วไปดังกล่าว ถึงแม้โจทก์จะมิได้บรรยายฟ้องว่า มีระวางบรรทุกเท่าใด ศาลย่อมรับฟังข้อเท็จจริงได้ว่าเรือยนต์หางยาวพร้อมด้วยเครื่องของกลางคดีนี้ มีระวางบรรทุกไม่เกิน 250 ตัน เมื่อจำเลยนำไปใช้ในการขนของที่ยังมิได้เสียภาษี จึงต้องริบตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 32
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 9/2509).
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 9/2509).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 391/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การช่วยเหลือผู้ต้องหาหลบหนีจากเจ้าพนักงาน: ศาลอุทธรณ์ลงโทษตามมาตรา 191 ได้ แม้ฟ้องขอตามมาตรา 189
ขณะที่เจ้าพนักงานควบคุมตัวผู้ต้องหามา จำเลยที่ 1ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านที่ผู้ต้องหาเป็นลูกบ้านมาพูดรับรองขอเอาตัวผู้ต้องหาไปพูดจากันประเดี๋ยวเดียวแล้วจะส่งคืน อันเป็นการที่จำเลยมีเจตนาจะช่วยเหลือให้ผู้ต้องหาหลบหนีไปและจำเลยได้ช่วยให้ผู้ต้องหาหลบหนีไปทั้งที่เจ้าพนักงานได้ตามไปนั่งคอยรับตัวผู้ต้องหาอยู่ที่หน้าบ้านของจำเลยที่ 2 ดังนี้ ถือว่าจำเลยได้ทำการช่วยเหลือผู้ต้องหาซึ่งอยู่ในระหว่างการควบคุมให้หลุดพ้นไป
กรณีที่โจทก์บรรยายฟ้องชัดเจนพอประกอบเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 191 แล้ว และไม่ต้องด้วยมาตรา189
โจทก์ขอให้ลงโทษตามมาตรา 189 ซึ่งเป็นการอ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิด ศาลก็มีอำนาจวางบทและวางโทษตามมาตรา 191 อันเป็นบทที่ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสี่ ทั้งนี้แม้อัตราโทษตามมาตรา 191 สูงกว่ามาตรา 189 ก็ตาม เพราะบทบัญญัติวรรคสี่ เป็นข้อยกเว้นของวรรคแรก
จำเลยจะอ้างว่าเป็นการพิพากษาเกินคำขอมิได้
กรณีที่โจทก์บรรยายฟ้องชัดเจนพอประกอบเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 191 แล้ว และไม่ต้องด้วยมาตรา189
โจทก์ขอให้ลงโทษตามมาตรา 189 ซึ่งเป็นการอ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิด ศาลก็มีอำนาจวางบทและวางโทษตามมาตรา 191 อันเป็นบทที่ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสี่ ทั้งนี้แม้อัตราโทษตามมาตรา 191 สูงกว่ามาตรา 189 ก็ตาม เพราะบทบัญญัติวรรคสี่ เป็นข้อยกเว้นของวรรคแรก
จำเลยจะอ้างว่าเป็นการพิพากษาเกินคำขอมิได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 391/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การช่วยเหลือผู้ต้องหาหลบหนีระหว่างถูกควบคุม เจ้าพนักงานมีอำนาจลงโทษตามบทที่ถูกต้อง แม้ฟ้องผิดฐาน
ขณะที่เจ้าพนักงานควบคุมตัวผู้ต้องหามา จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านที่ผู้ต้องหาเป็นลูกบ้านมาพูดรับรองขอเอาตัวผู้ต้องหาไปพูดจากันประเดี๋ยวเดียวแล้วจะส่งคืน อันเป็นการที่จำเลยมีเจตนาจะช่วยเหลือให้ผู้ต้องหาหลบหนีไปและจำเลยได้ช่วยให้ผู้ต้องหาหลบหนีไปทั้งที่เจ้าพนักงานได้ตามไปนั่งคอยรับตัวผู้ต้องหาอยู่ที่หน้าบ้านของจำเลยที่ 2 ดังนี้ ถือว่าจำเลยได้ทำการช่วยเหลือผู้ต้องหาซึ่งอยู่ในระหว่างการควบคุมให้หลุดพ้นไป
กรณีที่โจทก์บรรยายฟ้องชัดเจนพอประกอบเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 191 แล้ว และไม่ต้องด้วยมาตรา 189
โจทก์ขอให้ลงโทษตามมาตรา 189 ซึ่งเป็นการอ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิด ศาลก็มีอำนาจวางบทและวางโทษตามมาตรา 191 อันเป็นบทที่ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรค 4 ทั้งนี้แม้อัตราโทษตามมาตรา 191 สูงกว่ามาตรา 189 ก็ตาม เพราะบทบัญญัติวรรค 4 เป็นข้อยกเว้นของวรรคแรกจำเลยจะอ้างว่าเป็นการพิพากษาเกินคำขอมิได้
กรณีที่โจทก์บรรยายฟ้องชัดเจนพอประกอบเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 191 แล้ว และไม่ต้องด้วยมาตรา 189
โจทก์ขอให้ลงโทษตามมาตรา 189 ซึ่งเป็นการอ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิด ศาลก็มีอำนาจวางบทและวางโทษตามมาตรา 191 อันเป็นบทที่ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรค 4 ทั้งนี้แม้อัตราโทษตามมาตรา 191 สูงกว่ามาตรา 189 ก็ตาม เพราะบทบัญญัติวรรค 4 เป็นข้อยกเว้นของวรรคแรกจำเลยจะอ้างว่าเป็นการพิพากษาเกินคำขอมิได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 273/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพยายามทำร้ายร่างกายต้องพิจารณาผลของการกระทำ หากไม่ถึงกับเป็นอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ถือเป็นลหุโทษไม่ต้องรับโทษ
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยเท่าซึ่งสวมรองเท้าเงื้อจะถีบผู้เสียหาย แต่ไม่ได้บรรยายให้เห็นว่าถ้าจำเลยกระทำไปโดยตลอดแล้วจะเกิดผลอย่างไร ผลธรรมดาอันจะเกิดขึ้นเพราะการถีบจะทำให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจหรือไม่ ไม่อาจเล็งเห็นได้ หากจำเลยกระทำไปโดยตลอดแล้วผลที่เกิดไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจแล้ว ความผิดนั้นก็เป็นเพียงลหุโทษ ผู้พยายามกระทำความผิดลหุโทษไม่ต้องรับโทษ เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยพยายามกระทำให้ผู้เสียหายเกิดอันตรายแก่กายแล้ว ก็ลงโทษจำเลยตามฟ้องไม่ได้
การใช้เท้าเงื้อจะถีบไม่เป็นอันตรายต่อจิตใจเพราะอันตรายต่อจิตใจนั้น ต้องเป็นผลจากการทำร้าย แต่ความรู้สึกว่าถูกเหยียดหยาม เจ็บใจ แค้นใจ เหล่านี้เป็นอารมย์ หาใช่เป็นอันตรายต่อจิตใจไม่.
การใช้เท้าเงื้อจะถีบไม่เป็นอันตรายต่อจิตใจเพราะอันตรายต่อจิตใจนั้น ต้องเป็นผลจากการทำร้าย แต่ความรู้สึกว่าถูกเหยียดหยาม เจ็บใจ แค้นใจ เหล่านี้เป็นอารมย์ หาใช่เป็นอันตรายต่อจิตใจไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 273/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพยายามทำร้ายร่างกาย: การประเมินอันตรายและการลงโทษ
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยยกเท้าซึ่งสวมรองเท้าเงื้อจะถีบผู้เสียหาย แต่ไม่ได้บรรยายให้เห็นว่าถ้าจำเลยกระทำไปโดยตลอดแล้วจะเกิดผลอย่างไร ผลธรรมดาอันจะเกิดขึ้นเพราะการถีบจะทำให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจหรือไม่ไม่อาจเล็งเห็นได้หากจำเลยกระทำไปโดยตลอดแล้วผลที่เกิดไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจแล้ว ความผิดนั้นก็เป็นเพียงลหุโทษผู้พยายามกระทำความผิดลหุโทษไม่ต้องรับโทษ เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยพยายามกระทำให้ผู้เสียหายเกิดอันตรายแก่กายแล้ว ก็ลงโทษจำเลยตามฟ้องไม่ได้
การใช้เท้าเงื้อจะถีบไม่เป็นอันตรายต่อจิตใจ เพราะอันตรายต่อจิตใจนั้น ต้องเป็นผลจากการทำร้ายแต่ความรู้สึกว่าถูกเหยียดหยาม เจ็บใจ แค้นใจ เหล่านี้เป็นอารมณ์หาใช่เป็นอันตรายต่อจิตใจไม่
การใช้เท้าเงื้อจะถีบไม่เป็นอันตรายต่อจิตใจ เพราะอันตรายต่อจิตใจนั้น ต้องเป็นผลจากการทำร้ายแต่ความรู้สึกว่าถูกเหยียดหยาม เจ็บใจ แค้นใจ เหล่านี้เป็นอารมณ์หาใช่เป็นอันตรายต่อจิตใจไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 207/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตคำขอทางแพ่งและอาญาในคดีบุกรุกป่า และการลดโทษที่ศาลฎีกาแก้ไขได้แม้จำเลยไม่ได้อุทธรณ์
คำขอที่ขอให้บังคับจำเลยออกจากป่าที่จำเลยแผ้วถางครอบครองก่อนใช้พระราชบัญญัติป่าไม้ ฉบับที่ 4 นั้น เป็นคำขอในทางแพ่ง โจทก์มิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามคำขอที่เป็นทางแพ่ง ศาลจึงไม่บังคับให้คำขอที่ขอให้บังคับจำเลยออกจากป่าที่จำเลยแผ้วถางครอบครองภายหลังใช้พระราชบัญญัติดังกล่าว เป็นคำขอในทางอาญา เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยแผ้วถางในที่ตอนใด จึงไม่มีทางจะบังคับให้ได้
ปัญหาที่ว่าความผิดของจำเลยเป็นความผิดต่อเนื่องกันนั้น เป็นปัญหาที่โจทก์มิได้ยกขึ้นว่ามาในชั้นอุทธรณ์จะมายกขึ้นว่าในชั้นฎีกา เป็นการไม่ชอบ
ศาลชั้นต้นคำนวณลดโทษไม่ถูกต้อง แม้จำเลยมิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ให้ถูกต้องได้ เพราะเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย.
ปัญหาที่ว่าความผิดของจำเลยเป็นความผิดต่อเนื่องกันนั้น เป็นปัญหาที่โจทก์มิได้ยกขึ้นว่ามาในชั้นอุทธรณ์จะมายกขึ้นว่าในชั้นฎีกา เป็นการไม่ชอบ
ศาลชั้นต้นคำนวณลดโทษไม่ถูกต้อง แม้จำเลยมิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ให้ถูกต้องได้ เพราะเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 207/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับให้จำเลยออกจากที่ดินหลังใช้ พ.ร.บ.ป่าไม้ โดยแบ่งแยกช่วงเวลาการกระทำผิดเป็นก่อนและหลังใช้กฎหมาย
คำขอที่ขอให้บังคับจำเลยออกจากป่าที่จำเลยแผ้วถางครอบครองก่อนใช้พระราชบัญญัติป่าไม้ ฉบับที่ 4 นั้น เป็นคำขอให้ทางแพ่ง โจทก์มิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามคำขอที่เป็นทางแพ่งศาลจึงไม่บังคับให้คำขอที่ขอให้บังคับจำเลยออกจากป่าที่จำเลยแผ้วถางครอบครองภายหลังใช้พระราชบัญญัติดังกล่าว เป็นคำขอในทางอาญา เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยแผ้วถางในที่ตอนใด จึงไม่มีทางจะบังคับให้ได้
ปัญหาที่ว่าความผิดของจำเลยเป็นความผิดต่อเนื่องกันนั้นเป็นปัญหาที่โจทก์มิได้ยกขึ้นมาว่าในชั้นอุทธรณ์จะมายกขึ้นว่าในชั้นฎีกา เป็นการไม่ชอบ
ศาลชั้นต้นคำนวณลดโทษไม่ถูกต้อง แม้จำเลยมิได้ฎีกาศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ให้ถูกต้องได้ เพราะเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
ปัญหาที่ว่าความผิดของจำเลยเป็นความผิดต่อเนื่องกันนั้นเป็นปัญหาที่โจทก์มิได้ยกขึ้นมาว่าในชั้นอุทธรณ์จะมายกขึ้นว่าในชั้นฎีกา เป็นการไม่ชอบ
ศาลชั้นต้นคำนวณลดโทษไม่ถูกต้อง แม้จำเลยมิได้ฎีกาศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ให้ถูกต้องได้ เพราะเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1618/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประมาทจากการถือปืน: จำเลยไม่มีความผิดหากไม่มีเหตุให้ผู้ตายแย่งปืน
การบรรยายข้อเท็จจริงในฟ้องที่ไม่แสดงว่าจำเลยทำให้ปืนลั่นถูกผู้ตายโดยประมาท