พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,873 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1659/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษจำเลยในคดีลักทรัพย์หลายกรรม ฟ้องไม่บรรยายรายละเอียดครบถ้วน ศาลลงโทษทุกกรรมเรียงกระทงมิได้
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำผิดกฎหมายต่างกรรมต่างวาระกัน คือ ได้บังอาจลักทรัพย์รวม 49 รายการ โดยลักไปครั้งละ 1 และ 2 รายการ จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องแล้วศาลสอบโจทก์ โจทก์แถลงว่า ตามทางสอบสวนได้ความว่าจำเลยลักเอาทรัพย์รายนี้ไปรวม 40 ครั้ง และศาลสอบจำเลย ๆ ก็รับว่าลักไปรวม 40 ครั้งจริง ดังนี้ ศาลก็ลงโทษจำเลยทุกกรรมเรียงกระทงรวม 40 กระทงมิได้ เพราะฟ้องโจทก์มิได้บรรยายไว้ดังคำแถลงของโจทก์ และแม้คำฟ้องนี้จะมิได้ระบุให้ชัดเจนว่าจำเลยลักทรัพย์รายนี้รวมกี่ครั้ง ครั้งไหนกี่รายการ และครั้งไหนจำเลยลักอะไร แต่เมื่อจำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี มิได้หลงต่อสู้แล้ว ฟ้องโจทก์มิใช่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1659/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษจำเลยในความผิดหลายกรรม ฟ้องต้องบรรยายรายละเอียดชัดเจน แม้จำเลยรับสารภาพนอกฟ้องก็ลงโทษรวมไม่ได้
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำผิดกฎหมายต่างกรรมต่างวาระกันคือได้บังอาจลักทรัพย์รวม 49 รายการ โดยลักไปครั้งละ 1 และ 2 รายการ จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง แล้วศาลสอบโจทก์ โจทก์แถลงว่าตามทางสอบสวนได้ความว่าจำเลยลักเอาทรัพย์รายนี้ไปรวม40 ครั้ง และศาลสอบจำเลยจำเลยก็รับว่าลักไปรวม 40 ครั้งจริง ดังนี้ศาลก็ลงโทษจำเลยทุกกรรมเรียงกระทงรวม 40 กระทงมิได้ เพราะฟ้องโจทก์มิได้บรรยายไว้ดังคำแถลงของโจทก์ และแม้คำฟ้องนี้จะมิได้ระบุให้ชัดเจนว่า จำเลยลักทรัพย์รายนี้รวมกี่ครั้ง ครั้งไหนกี่รายการ และครั้งไหนจำเลยลักอะไร แต่เมื่อจำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี มิได้หลงต่อสู้แล้ว ฟ้องโจทก์ก็มิใช่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1626/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความบกพร่องของฟ้องอาญา: การระบุเวลาเกิดเหตุไม่ชัดเจนไม่ถึงขนาดทำให้ฟ้องไม่สมบูรณ์หากจำเลยเข้าใจข้อหาได้
โจทก์กล่าวในฟ้องเกี่ยวกับเวลาว่า เมื่อ วันที่ 10 มกราคม 2505 เวลากลาง นั้น เป็นที่ประจักษ์ว่าเป็นข้อผิดพลาดในการเรียงความโดยเขียนตกคำว่า วัน หรือ คืน ไปคำหนึ่งทั้งความผิดฐานเล่นพนันสลากกินรวบนี้ จะกระทำในเวลากลางวันหรือกลางคืนก็หาเป็นสาระสำคัญแห่งการกระทำผิดไม่ จำเลยมิได้หลงต่อสู้ คงเข้าใจตลอดมาว่าโจทก์กล่าวหาว่ากระทำผิดในเวลากลางวัน จึงจะชี้ขาดว่าฟ้องโจทก์บกพร่องโดยไม่ระบุเวลาถึงขนาดที่จะเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158 หาได้ไม่
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 21/2506)
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 21/2506)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1626/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสมบูรณ์ของฟ้องอาญา: การระบุเวลาที่เกิดเหตุไม่จำเป็นต้องชัดเจนหากจำเลยเข้าใจข้อหา
โจทก์กล่าวในฟ้องเกี่ยวกับเวลาว่า เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2505 เวลากลางนั้น เป็นที่ประจักษ์ว่าเป็นข้อผิดพลาดในการเรียงความโดยเขียนตกคำว่า วัน หรือคืน ไปคำหนึ่ง ทั้งความผิดฐานเล่นพนันสลากกินรวบนี้ จะกระทำในเวลากลางวันหรือกลางคืน ก็หาเป็นสาระสำคัญแห่งการกระทำผิดไม่ จำเลยมิได้หลงต่อสู้ คงเข้าใจตลอดมาว่าโจทก์กล่าวหาว่ากระทำผิดในเวลากลางวัน จึงจะชี้ขาดว่าฟ้องโจทก์บกพร่อง โดยไม่ระบุเวลาถึงขนาดที่จะเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 หาได้ไม่ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 21/2506)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1456/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดูหมิ่นศาลและผู้พิพากษา, การใส่ความหมิ่นประมาท, และการเพิ่มเติมฟ้องในคดีอาญา
ขณะที่ ก. ผู้พิพากษานั่งพิจารณาคดีอยู่ จำเลยกำลังนั่งฟังอยู่ข้างนอก ได้พูดกับผู้อื่นว่า " ไม่นึกเลยว่าสำนวนนี้จะมาตกอยู่แก่คนๆ นี้" รูปการณ์เช่นนี้บ่งชัดว่าหมายถึงสำนวนเรื่องนั้นตกแก่ ก. ซึ่งกำลังนั่งพิจารณาอยู่นั้น และศาลจะต้องพิจารณาพฤติการณ์ตามที่โจทก์นำสืบประกอบคำกล่าวของจำเลยต่อไป จึงจะชี้ชัดถึงเจตนาของจำเลยได้ (แม้คำฟ้องจะมิได้บรรยายถึงพฤติการณ์ต่างๆเหล่านั้นก็ตาม) เมื่อเห็นเจตนาว่า ที่จำเลยกล่าวข้อความนั้นเพราะไม่พอใจที่เห็นสำนวนความเรื่องนั้นตกแก่ ก. ผู้ซึ่งจำเลยเห็นว่าเป็นผู้พิพากษาที่พิจารณาความด้วยอคติไม่ให้ความยุติธรรม จึงได้กล่าวตำหนิ ก. เป็นนัยเช่นนั้น อันมีความหมายไปในทางไม่ดี เป็นที่ระคายเคืองแก่ศักดิ์ศรีของ ก. การกระทำของจำเลยก็เป็นการดูหมิ่นศาลหรือผู้พิพากษาในการพิจารณาคดีตามมาตรา 198 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
จำเลยทำโทรเลขและหนังสือกล่าวโทษ ก. ผู้พิพากษาไปยังอธิบดีฯภาค อันเป็นการใส่ความหมิ่นประมาท (ผิดตามมาตรา 326) นั้น ต้องถือว่าเป็นการดูหมิ่น ก. ผู้พิพากษาไปในขณะเดียวกันด้วยว่า พิจารณาคดีไม่เที่ยงธรรม แม้จะมิได้ทำในขณะที่ ก. ทำการพิจารณาคดีอยู่ก็ดีก็นับได้ว่าได้หมิ่นผู้พิพากษาในการพิจารณาคดี ต้องตามมาตรา 198ด้วย เมื่อเป็นความผิดตามมาตรา 198 แล้ว ก็ไม่เป็นผิดตามมาตรา 136 อีก เพราะกฎหมายบัญญัติแยกความผิดฐานดูหมิ่นผู้พิพากษากับดูหมิ่นเจ้าพนักงานอื่นทั่วๆ ไปไว้ต่างหากจากกัน จึงต้องปรับบทแยกกัน (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 16/2506เฉพาะข้อกฎหมายข้างต้นนี้)
การที่จำเลยกล่าวโทษ ก. ไปนั้น ถือว่าเป็นกรรมเดียวเป็นผิดต่อกฎหมายหลายบทโทษตามมาตรา 198 หนักกว่ามาตรา 326 จึงลงโทษตามมาตรา 198 เพียงบทเดียว
การยื่นคำแถลงโต้แย้งคำสั่งในระหว่างพิจารณาเพื่อใช้สิทธิอุทธรณ์เมื่อมีคำพิพากษาแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2) ไม่มีกำหนดเวลาว่าต้องยื่นภายหลังทราบคำสั่งแล้วเพียงใดประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 196 ก็มิได้บัญญัติให้ต้องโต้แย้งคำสั่งระหว่างพิจารณาไว้อย่างใด ดังนั้นการที่โจทก์ยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้อง ศาลสั่งไม่อนุญาตโจทก์ก็ยังไม่ยื่นคำแถลงโต้แย้งหรือคัดค้านคำสั่งแล้ว โจทก์ยังยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องเช่นเดียวกับฉบับแรกอีกแล้วจึงยื่นคำแถลงโต้แย้งหรือคัดค้านคำสั่งศาลตามคำร้องฉบับแรก ดังนี้ โจทก์ก็ชอบที่จะทำได้ ศาลอุทธรณ์จึงรับวินิจฉัยคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องได้
แม้เมื่อได้สืบพยานโจทก์ไปมากแล้ว ก็ยังไม่พ้นเวลาที่โจทก์จะขอเพิ่มฟ้อง การที่โจทก์ขอเพิ่มเติมความในฟ้องว่า "ผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ให้เจ้าพนักงานนำคดีขึ้นว่ากล่าวแล้ว"และเพิ่มมาตรา 326 แห่งประมวลกฎหมายอาญาลงในคำขอท้ายฟ้อง โดยอ้างว่าเป็นรายละเอียดที่ยังบกพร่องไม่ครบถ้วนเนื่องจากผู้พิมพ์ฟ้องพิมพ์ตกไป ดังนี้ เป็นการเพิ่มเติมรายละเอียดและอ้างบทขอให้ลงโทษตามฐานความผิดที่ได้บรรยายไว้ในฟ้องมาแต่ต้นแล้วไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบหรือหลงต่อสู้คดี ชอบที่จะอนุญาตให้เพิ่มเติมได้
จำเลยทำโทรเลขและหนังสือกล่าวโทษ ก. ผู้พิพากษาไปยังอธิบดีฯภาค อันเป็นการใส่ความหมิ่นประมาท (ผิดตามมาตรา 326) นั้น ต้องถือว่าเป็นการดูหมิ่น ก. ผู้พิพากษาไปในขณะเดียวกันด้วยว่า พิจารณาคดีไม่เที่ยงธรรม แม้จะมิได้ทำในขณะที่ ก. ทำการพิจารณาคดีอยู่ก็ดีก็นับได้ว่าได้หมิ่นผู้พิพากษาในการพิจารณาคดี ต้องตามมาตรา 198ด้วย เมื่อเป็นความผิดตามมาตรา 198 แล้ว ก็ไม่เป็นผิดตามมาตรา 136 อีก เพราะกฎหมายบัญญัติแยกความผิดฐานดูหมิ่นผู้พิพากษากับดูหมิ่นเจ้าพนักงานอื่นทั่วๆ ไปไว้ต่างหากจากกัน จึงต้องปรับบทแยกกัน (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 16/2506เฉพาะข้อกฎหมายข้างต้นนี้)
การที่จำเลยกล่าวโทษ ก. ไปนั้น ถือว่าเป็นกรรมเดียวเป็นผิดต่อกฎหมายหลายบทโทษตามมาตรา 198 หนักกว่ามาตรา 326 จึงลงโทษตามมาตรา 198 เพียงบทเดียว
การยื่นคำแถลงโต้แย้งคำสั่งในระหว่างพิจารณาเพื่อใช้สิทธิอุทธรณ์เมื่อมีคำพิพากษาแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2) ไม่มีกำหนดเวลาว่าต้องยื่นภายหลังทราบคำสั่งแล้วเพียงใดประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 196 ก็มิได้บัญญัติให้ต้องโต้แย้งคำสั่งระหว่างพิจารณาไว้อย่างใด ดังนั้นการที่โจทก์ยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้อง ศาลสั่งไม่อนุญาตโจทก์ก็ยังไม่ยื่นคำแถลงโต้แย้งหรือคัดค้านคำสั่งแล้ว โจทก์ยังยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องเช่นเดียวกับฉบับแรกอีกแล้วจึงยื่นคำแถลงโต้แย้งหรือคัดค้านคำสั่งศาลตามคำร้องฉบับแรก ดังนี้ โจทก์ก็ชอบที่จะทำได้ ศาลอุทธรณ์จึงรับวินิจฉัยคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องได้
แม้เมื่อได้สืบพยานโจทก์ไปมากแล้ว ก็ยังไม่พ้นเวลาที่โจทก์จะขอเพิ่มฟ้อง การที่โจทก์ขอเพิ่มเติมความในฟ้องว่า "ผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ให้เจ้าพนักงานนำคดีขึ้นว่ากล่าวแล้ว"และเพิ่มมาตรา 326 แห่งประมวลกฎหมายอาญาลงในคำขอท้ายฟ้อง โดยอ้างว่าเป็นรายละเอียดที่ยังบกพร่องไม่ครบถ้วนเนื่องจากผู้พิมพ์ฟ้องพิมพ์ตกไป ดังนี้ เป็นการเพิ่มเติมรายละเอียดและอ้างบทขอให้ลงโทษตามฐานความผิดที่ได้บรรยายไว้ในฟ้องมาแต่ต้นแล้วไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบหรือหลงต่อสู้คดี ชอบที่จะอนุญาตให้เพิ่มเติมได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1341/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องอาญาฐานจ้างวานเบิกความเท็จ: การบรรยายฟ้องไม่เคลือบคลุม พยานเบิกความสำคัญ และความแตกต่างเล็กน้อยในการสืบพยาน
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยสมคบกันใช้บังคับ ขู่เข็ญ จ้างวาน หรือยุยงส่งเสริมให้พยานเบิกความเท็จนั้น ไม่เป็นฟ้องที่ขัดกัน ไม่ทำให้จำเลยหลงข้อต่อสู้ และไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม ในเมื่อเป็นการบรรยายรายละเอียดการกระทำทั้งหลายที่จำเลยได้กระทำรวมกันไป
พยานเบิกความว่า จำหน้าคนร้ายไม่ได้ และศาลได้พิพากษายกฟ้องเพราะเหตุนี้ข้อความที่พยานเบิกความนั้น จึงเป็นข้อสำคัญในคดี
ในการจ้างวานและยุยงให้พยานเบิกความเท็จต่อศาลนั้นโจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยพูดกับพยานว่าเรื่องนี้ไม่ต้องกลัว เพราะได้ให้เจ้าพนักงานอัยการ 5,000 บาทแล้วเมื่อโจทก์นำสืบกลับสืบว่า ได้ให้8,000 บาท เช่นนี้ เป็นเรื่องพยานโจทก์เบิกความไม่ตรงในรายละเอียดเพียงเล็กน้อย ไม่ใช่ข้อสำคัญอันจะเป็นเหตุให้ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192
พยานเบิกความว่า จำหน้าคนร้ายไม่ได้ และศาลได้พิพากษายกฟ้องเพราะเหตุนี้ข้อความที่พยานเบิกความนั้น จึงเป็นข้อสำคัญในคดี
ในการจ้างวานและยุยงให้พยานเบิกความเท็จต่อศาลนั้นโจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยพูดกับพยานว่าเรื่องนี้ไม่ต้องกลัว เพราะได้ให้เจ้าพนักงานอัยการ 5,000 บาทแล้วเมื่อโจทก์นำสืบกลับสืบว่า ได้ให้8,000 บาท เช่นนี้ เป็นเรื่องพยานโจทก์เบิกความไม่ตรงในรายละเอียดเพียงเล็กน้อย ไม่ใช่ข้อสำคัญอันจะเป็นเหตุให้ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1341/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องอาญาฐานจ้างวานเบิกความเท็จ: การพิจารณาความเคลือบคลุมของฟ้อง และความสำคัญของพยานหลักฐาน
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยสมคบกันใช้บังคับขู่เข็ญ จ้างวาน หรือยุยงส่งเสริม ให้พยานเบิกความเท็จนั้น ไม่เป็นฟ้องที่ขัดกัน ไม่ทำให้จำเลยหลงข้อต่อสู้ และไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม ในเมื่อเป็นการบรรยายรายละเอียดการกระทำทั้งหลายที่จำเลยได้กระทำรวมกันไป
พยานเบิกความว่า จำหน้าคนร้ายไม่ได้ และศาลได้พิพากษายกฟ้องเพราะเหตุนี้ ข้อความที่พยานเบิกความนั้น จึงเป็นข้อสำคัญในคดี
ในการจ้างวานและยุยงให้พยานเบิกความเท็จต่อศาลนั้น โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยพูดกับพยานว่าเรื่องนี้ไม่ต้องกลัว เพราะได้ให้พนักงานอัยการ 500 บาท แล้ว เมื่อโจทก์นำสืบกลับสืบว่า ได้ให้ 800 บาท เช่นนี้ เป็นเรื่องพยานโจทก์เบิกความไม่ตรงในรายละเอียดเพียงเล็กน้อย ไม่ใช่ข้อสำคัญอันจะเป็นเหตุให้ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192
พยานเบิกความว่า จำหน้าคนร้ายไม่ได้ และศาลได้พิพากษายกฟ้องเพราะเหตุนี้ ข้อความที่พยานเบิกความนั้น จึงเป็นข้อสำคัญในคดี
ในการจ้างวานและยุยงให้พยานเบิกความเท็จต่อศาลนั้น โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยพูดกับพยานว่าเรื่องนี้ไม่ต้องกลัว เพราะได้ให้พนักงานอัยการ 500 บาท แล้ว เมื่อโจทก์นำสืบกลับสืบว่า ได้ให้ 800 บาท เช่นนี้ เป็นเรื่องพยานโจทก์เบิกความไม่ตรงในรายละเอียดเพียงเล็กน้อย ไม่ใช่ข้อสำคัญอันจะเป็นเหตุให้ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1273/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดหมิ่นประมาททางหนังสือพิมพ์ จำเลยต้องรับผิดเฉพาะการกล่าวต่อบุคคลอื่น ไม่ใช่การทำให้ผู้อื่นนำไปเผยแพร่
จำเลยกล่าวข้อความหมิ่นประมาทผู้อื่นต่อบรรณาธิการหนังสือพิมพ์แล้วบรรณาธิการหนังสือพิมพ์นำข้อความนั้นไปลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ที่ตนเป็นบรรณาธิการ และนำออกโฆษณาโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ ใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้าง วาน หรือยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใดต่อบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ให้พิมพ์ข้อความนั้นแต่ประการใด ดังนี้ จำเลยคงมีความผิดตามมาตรา 326 เท่านั้น หาผิดตามมาตรา 328 ด้วยไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1273/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหมิ่นประมาททางหนังสือพิมพ์: จำเลยกล่าวข้อความต่อนายไชยยง แล้วนายไชยยงนำไปพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ จำเลยมีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามมาตรา 326 เท่านั้น
จำเลยกล่าวข้อความหมิ่นประมาทผู้อื่นต่อบรรณาธิการหนังสือพิมพ์แล้วบรรณาธิการหนังสือพิมพ์นำข้อความนั้นไปลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ที่ตนเป็นบรรณาธิการ และนำออกโฆษณาโดยไม่ปรากฎว่า จำเลยได้ ใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้าง วาน หรือยุยงพิมพ์ให้พิมพ์ข้อความนั้นแต่ประการใด ดังนี้ จำเลยคงมีความผิดตามมาตรา 326 เท่านั้น หาผิดตาม มาตรา 328 ด้วยไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1111/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำกัดความผิดฐานครอบครองเครื่องกระสุนปืนสงคราม: การพิสูจน์ชนิดกระสุนต้องชัดเจนในชั้นศาล
ฟ้องว่าจำเลยมีกระสุนปืนสปิงฟิลต์อันเป็นเครื่องกระสุนปืนที่ใช้เฉพาะในการสงครามไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต แล้วโจทก์จะมาอธิบายในชั้นฎีกาว่าลูกกระสุนปืนดังกล่าวนั้น คือลูกกะสุนปืนซึ่งใช้กับปืนเล็กยาวแนบ 66 ขนาด 8 มม. อันระบุไว้ในกระทรวงมหาดไทยฉบับ ที่ 7 (พ.ศ.2501) ฯ ข้อ (3) ณ.เพื่อขอให้ศาลลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ พ.ศ.2490 มาตรา 55,78 ตามที่ถูกแก้ไข ดังนี้ ย่อมรับฟังไม่ได้