พบผลลัพธ์ทั้งหมด 569 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6966/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหลอกลวงขอกู้เงินโดยใช้เอกสารสิทธิปลอมและความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารสิทธิ
จำเลยกับพวกหลอกลวงโจทก์ร่วมว่าพวกของจำเลยคือผู้มีชื่อและขอกู้ยืมเงินโจทก์ร่วมโดยทำสัญญากู้ยืมเงินกับมอบโฉนดที่ดินซึ่งผู้มีชื่อดังกล่าวเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ร่วมยึดถือไว้โดยมีเจตนาทุจริตเพื่อให้ได้เงินจากโจทก์ร่วม และมิให้โจทก์ร่วมใช้สัญญากู้ยืมเงินนั้นเป็นหลักฐานฟ้องร้องเรียกเงินคืน จึงมีความผิดฐานร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิ เมื่อจำเลยกับพวกได้มอบสัญญากู้ยืมเงินนั้นให้โจทก์ร่วมยึดถือไว้ จึงมีความผิดฐานร่วมกันใช้เอกสารสิทธิปลอมอีกกระทงหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6966/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหลอกลวงกู้ยืมเงินพร้อมปลอมแปลงเอกสารสิทธิและใช้เอกสารปลอม
จำเลยกับพวกหลอกลวงโจทก์ร่วมว่าพวกของจำเลยชื่อ ก. และขอกู้ยืมเงินโจทก์ร่วมโดยพวกของจำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินลงชื่อ ก. กับมอบโฉนดที่ดิน ซึ่งมีชื่อ ก. ให้โจทก์ร่วมยึดถือไว้ การกระทำของจำเลยกับพวกมีเจตนาทุจริตเพื่อให้ได้เงินจากโจทก์ร่วม และมิให้โจทก์ร่วมใช้สัญญากู้ยืมเงินนั้นเป็นหลักฐานฟ้องร้องเรียกเงินคืน ทำให้โจทก์ร่วมได้รับความเสียหาย จำเลยกับพวกจึงมีความผิดฐานร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิ เมื่อจำเลยกับพวกได้มอบสัญญากู้ยืมเงินนั้นให้โจทก์ร่วมยึดถือไว้ จำเลยกับพวกจึงมีความผิดฐานร่วมกันใช้เอกสารสิทธิปลอมอีกกระทงหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6966/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหลอกลวงขอกู้เงินโดยใช้เอกสารสิทธิปลอมเพื่อเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น
จำเลยกับพวกหลอกลวงโจทก์ร่วมว่าพวกของจำเลยชื่อ ก.และขอกู้ยืมเงินโจทก์ร่วมโดยพวกของจำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินลงชื่อก. กับมอบโฉนดที่ดิน ซึ่งมีชื่อ ก. ให้โจทก์ร่วมยึดถือไว้การกระทำของจำเลยกับพวกมีเจตนาทุจริตเพื่อให้ได้เงินจากโจทก์ร่วมและมิให้โจทก์ร่วมใช้สัญญากู้ยืมเงินนั้นเป็นหลักฐานฟ้องร้องเรียกเงินคืน ทำให้โจทก์ร่วมได้รับความเสียหาย จำเลยกับพวกจึงมีความผิดฐานร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิ เมื่อจำเลยกับพวกได้มอบสัญญากู้ยืมเงินนั้นให้โจทก์ร่วมยึดถือไว้ จำเลยกับพวกจึงมีความผิดฐานร่วมกันใช้เอกสารสิทธิปลอมอีกกระทงหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5138/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีอาญาของผู้เสียหาย: โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรงจากการรังวัดที่ดินรุกล้ำและทำสัญญาซื้อขายเกินเนื้อที่จริง
โจทก์ฟ้องกล่าวอ้างว่า จำเลยทั้งแปดร่วมกันนำชี้และรังวัดที่ดินรุกล้ำที่สาธารณะเพื่อให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6ได้ที่ดินเพิ่มขึ้น จึงทำให้รัฐเสียหาย โจทก์เป็นเพียงผู้จะซื้อที่ดิน หากไม่ต้องการที่ดินส่วนที่เพิ่มขึ้นโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายก็ย่อมปฏิเสธไม่จ่ายเงินส่วนนี้ได้อยู่แล้ว โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหายจากการกระทำความผิดของจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137,157,162 และ 267ส่วนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 ประกอบมาตรา 267 นั้น โจทก์ทำสัญญาจะซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1ถึงที่ 6 เกินไปกว่าเนื้อที่ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์จำนวน 1 ไร่เศษ โดยมีข้อตกลงให้โจทก์ชำระเงินเพิ่มตารางวาละ 3,500 บาท ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้มีส่วนร่วมรู้เห็นในการกระทำความผิด โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายในความผิดฐานนี้ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5138/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความเสียหายจากการรังวัดที่ดิน: ผู้จะซื้อไม่ใช่ผู้เสียหาย หากมีส่วนร่วมรู้เห็น
โจทก์ฟ้องกล่าวอ้างว่า จำเลยทั้งแปดร่วมกันนำชี้และรังวัดที่ดินรุกล้ำที่สาธารณะเพื่อให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ได้ที่ดินเพิ่มขึ้น จึงทำให้รัฐเสียหายโจทก์เป็นเพียงผู้จะซื้อที่ดิน หากไม่ต้องการที่ดินส่วนที่เพิ่มขึ้นโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายก็ย่อมปฏิเสธไม่จ่ายเงินส่วนนี้ได้อยู่แล้ว โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหายจากการกระทำความผิดของจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 137, 157, 162 และ 267 ส่วนความผิดตาม ป.อ. มาตรา 268 ประกอบมาตรา 267 นั้น โจทก์ทำสัญญาจะซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 เกินไปกว่าเนื้อที่ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์จำนวน 1 ไร่เศษ โดยมีข้อตกลงให้โจทก์ชำระเงินเพิ่มตารางวาละ 3,500 บาทถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้มีส่วนร่วมรู้เห็นในการกระทำความผิด โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายในความผิดฐานนี้ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3512/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารปลอม, เอกสารสิทธิ, การงดสืบพยาน, และผลกระทบจากการถอนฟ้อง
ในวันสืบพยานจำเลยแต่ละนัด จำเลยนำพยานเข้าสืบครั้งละ1 ปาก คงมีการสืบพยาน 2 ปากเพียงครั้งเดียว และเลื่อนไปขอสืบพยานประเด็นอีกหลายปาก ซึ่งรวมพยาน 2 ปาก ที่ศาลชั้นต้นงดสืบด้วยศาลที่รับประเด็นไม่ได้สืบเพราะจำเลยไม่ไปศาล เมื่อส่งประเด็นคืนจำเลยขอเลื่อนคดีและแถลงรับรองว่าถึงวันนัดจำเลยไม่มีพยานมาสืบก็จะไม่ติดใจสืบ พอถึงวันนัดจำเลยไม่สามารถนำตัวพยานมาสืบได้ศาลชั้นต้นสอบจำเลยแล้วเห็นว่า พยานที่จำเลยจะขอสืบเป็นพยานแวดล้อมไม่ใช่ประเด็นหลักไม่เสียเปรียบในการต่อสู้คดี จึงถือว่าจำเลยไม่ติดใจสืบพยานทั้งสองปาก ตามเหตุผลดังกล่าวพอถือได้ว่าจำเลยมีพฤติการณ์ประวิงคดีที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจงดสืบพยาน 2 ปากดังกล่าวจึงชอบแล้ว ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยฐานปลอมเอกสารสิทธิเป็น3 กระทง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 โดยปรับบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 ด้วยนั้นเห็นว่า เมื่อผิดบทเฉพาะตามมาตรา 265 แล้ว ก็ไม่จำต้องปรับบททั่วไปตามมาตรา 264 อีก เอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1(9) หมายถึงเอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวนหรือระงับซึ่งสิทธิ แต่ใบเสนอราคาเป็นเพียงคำเสนอที่จะขายหินให้แก่โจทก์ร่วมยังไม่แน่ว่าโจทก์ร่วมจะตกลงซื้อหินหรือไม่ ใบเสนอราคาดังกล่าวจึงมิใช่เอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการก่อสิทธิ มิใช่เอกสารสิทธิตามความในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1(9) การกระทำของจำเลยซึ่งปลอมใบเสนอราคาและใช้เอกสารดังกล่าว จึงไม่เป็นการปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม คงเป็นความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 วรรคแรก 268 วรรคแรกประกอบมาตรา 264 วรรคแรก เท่านั้น ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยคืนเงินจำนวน 850,000 บาท แก่โจทก์ร่วม แต่โจทก์ร่วมได้ถอนคำร้องทุกข์ในความผิดฐานฉ้อโกงซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาสิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอให้บังคับจำเลยใช้เงินคืนแก่โจทก์ร่วม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3512/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ vs. ปลอมเอกสารทั่วไป และผลของการถอนฟ้องอาญา
ในวันสืบพยานจำเลยแต่ละนัด จำเลยนำพยานเข้าสืบครั้งละ1 ปาก คงมีการสืบพยาน 2 ปากเพียงครั้งเดียว และเลื่อนไปขอสืบพยานประเด็นอีกหลายปาก ซึ่งรวมพยาน 2 ปาก ที่ศาลชั้นต้นงดสืบด้วย ศาลที่รับประเด็นไม่ได้สืบเพราะจำเลยไม่ไปศาล เมื่อส่งประเด็นคืนจำเลยขอเลื่อนคดีและแถลงรับรองว่าถึงวันนัดจำเลยไม่มีพยานมาสืบก็จะไม่ติดใจสืบ พอถึงวันนัดจำเลยไม่สามารถนำตัวพยานมาสืบได้ ศาลชั้นต้นสอบจำเลยแล้วเห็นว่า พยานที่จำเลยจะขอสืบเป็นพยานแวดล้อม ไม่ใช่ประเด็นหลักไม่เสียเปรียบในการต่อสู้คดี จึงถือว่าจำเลยไม่ติดใจสืบพยานทั้งสองปาก ตามเหตุผลดังกล่าวพอถือได้ว่าจำเลยมีพฤติการณ์ประวิงคดีที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจงดสืบพยาน 2 ปาก ดังกล่าวจึงชอบแล้ว
ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยฐานปลอมเอกสารสิทธิเป็น3 กระทง ตาม ป.อ. มาตรา 265 โดยปรับบทลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 264 ด้วยนั้นเห็นว่า เมื่อผิดบทเฉพาะตามมาตรา 265 แล้ว ก็ไม่จำต้องปรับบททั่วไปตามมาตรา264 อีก
เอกสารสิทธิตาม ป.อ. มาตรา 1(9) หมายถึงเอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวนหรือระงับซึ่งสิทธิ แต่ใบเสนอราคาเป็นเพียงคำเสนอที่จะขายหินให้แก่โจทก์ร่วม ยังไม่แน่ว่าโจทก์ร่วมจะตกลงซื้อหินหรือไม่ ใบเสนอราคาดังกล่าวจึงมิใช่เอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการก่อสิทธิ มิใช่เอกสารสิทธิตามความใน ป.อ. มาตรา 1(9) การกระทำของจำเลยซี่งปลอมใบเสนอราคาและใช้เอกสารดังกล่าว จึงไม่เป็นการปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม คงเป็นความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารปลอมตาม ป.อ. มาตรา 264 วรรคแรก,268 วรรคแรกประกอบมาตรา 264 วรรคแรก เท่านั้น
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยคืนเงินจำนวน 850,000 บาท แก่โจทก์ร่วม แต่โจทก์ร่วมได้ถอนคำร้องทุกข์ในความผิดฐานฉ้อโกง ซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39(2) โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอให้บังคับจำเลยใช้เงินคืนแก่โจทก์ร่วม
ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยฐานปลอมเอกสารสิทธิเป็น3 กระทง ตาม ป.อ. มาตรา 265 โดยปรับบทลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 264 ด้วยนั้นเห็นว่า เมื่อผิดบทเฉพาะตามมาตรา 265 แล้ว ก็ไม่จำต้องปรับบททั่วไปตามมาตรา264 อีก
เอกสารสิทธิตาม ป.อ. มาตรา 1(9) หมายถึงเอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวนหรือระงับซึ่งสิทธิ แต่ใบเสนอราคาเป็นเพียงคำเสนอที่จะขายหินให้แก่โจทก์ร่วม ยังไม่แน่ว่าโจทก์ร่วมจะตกลงซื้อหินหรือไม่ ใบเสนอราคาดังกล่าวจึงมิใช่เอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการก่อสิทธิ มิใช่เอกสารสิทธิตามความใน ป.อ. มาตรา 1(9) การกระทำของจำเลยซี่งปลอมใบเสนอราคาและใช้เอกสารดังกล่าว จึงไม่เป็นการปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม คงเป็นความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารปลอมตาม ป.อ. มาตรา 264 วรรคแรก,268 วรรคแรกประกอบมาตรา 264 วรรคแรก เท่านั้น
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยคืนเงินจำนวน 850,000 บาท แก่โจทก์ร่วม แต่โจทก์ร่วมได้ถอนคำร้องทุกข์ในความผิดฐานฉ้อโกง ซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39(2) โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอให้บังคับจำเลยใช้เงินคืนแก่โจทก์ร่วม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2995/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เอกสารปลอม – ป้ายทะเบียนรถ – โฆษณา – ไม่เข้าข่าย – ยกฟ้อง
จำเลยได้นำแผ่นกระดาษซึ่งมีข้อความ และตัวเลขว่าเหมือนกับแผ่นป้ายทะเบียนกรุงเทพมหานคร 9ง-9999 ของทางราชการ แล้วนำไปใส่กรอบโลหะติดไว้กับรถจักรยานยนต์ของจำเลย ซึ่งจำเลยอยู่ในระหว่างดำเนินการขอหมายเลขทะเบียนจากทางราชการ เมื่อแผ่นป้ายดังกล่าวมิได้ทำขึ้นด้วยแผ่นโลหะเช่นของทางราชการ ทั้งยังปรากฎข้อความอย่างอื่นในแผ่นกระดาษนั้นว่า คุ้มครองป้ายทะเบียนและห.จ.ก.รวมการช่าง ผู้ถือสิทธิบัตรอยู่ด้วย แสดงให้เห็นว่าเป็นป้ายที่ใช้เป็นตัวอย่างในการโฆษณา การจัดทำป้ายทะเบียนรถจักรยานยนต์เพื่อจำหน่ายของห้างดังกล่าว กรณีจึงมิใช่การทำเอกสารปลอมเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงเอกสารแผ่นป้ายดังกล่าวจึงมิใช่เอกสารปลอม แม้จำเลยจะนำไปติดไว้กับรถจักรยานยนต์ของจำเลย จำเลยก็ไม่มีความผิดฐานใช้เอกสารปลอม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2995/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ป้ายทะเบียนรถจักรยานยนต์ที่ไม่ใช่เอกสารปลอม หากมีเจตนาเพื่อโฆษณาและไม่ใช่แผ่นโลหะ
จำเลยได้นำแผ่นกระดาษซึ่งมีข้อความ และตัวเลขว่าเหมือนกับแผนป้ายทะเบียนกรุงเทพมหานคร 9 ง - 9999 ของทางราชการ แล้วนำไปใส่กรอบโลหะติดไว้กับรถจักรยานยนต์ของจำเลย ซึ่งจำเลยอยู่ในระหว่างดำเนินการขอหมายเลขทะเบียนจากทางราชการ เมื่อแผ่นป้ายดังกล่าวมิได้ทำขึ้นด้วยแผ่นโลหะเช่นของทางราชการ ทั้งยังปรากฏข้อความอย่างอื่นในแผ่นกระดาษนั้นว่า คุ้มครองป้ายทะเบียนและ ห.จ.ก.รวมการช่าง ผู้ถือสิทธิบัตรอยู่ด้วย แสดงให้เห็นว่าเป็นป้ายที่ใช้เป็นตัวอย่างในการโฆษณา การจัดทำป้ายทะเบียนรถจักรยานยนต์เพื่อจำหน่ายของห้างดังกล่าว กรณีจึงมิใช่การทำเอกสารปลอมเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง เอกสารแผ่นป้ายดังกล่าวจึงมิใช่เอกสารปลอม แม้จำเลยจะนำไปติดไว้กับรถจักรยานยนต์ของจำเลย จำเลยก็ไม่มีความผิดฐานใช้เอกสาร-ปลอม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2995/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เอกสารปลอมต้องมีเจตนาทำให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารจริง การติดแผ่นกระดาษโฆษณาป้ายทะเบียนไม่ถือเป็นเอกสารปลอม
จำเลยได้นำแผ่นกระดาษซึ่งเขียนข้อความให้เหมือนกับแผ่นป้ายทะเบียนหมายเลข กรุงเทพมหานคร 9ง-9999 ที่ทางราชการได้ทำขึ้นแล้วนำไปใส่กรอบโลหะติดไว้กับรถจักรยานยนต์ของจำเลย ซึ่งอยู่ในระหว่างดำเนินการขอหมายเลขทะเบียนจากทางราชการ เมื่อแผ่นป้ายดังกล่าวมิได้ทำขึ้นด้วยแผ่นโลหะเช่นของทางราชการ ทั้งยังปรากฏข้อความว่า คุ้มครองป้ายทะเบียนและห้างหุ้นส่วนจำกัดรวมการช่างผู้ถือสิทธิบัตรเลขที่ 1091 อยู่ด้วย อันเป็นการแสดงให้เห็นว่าเป็นป้ายที่ใช้เป็นตัวอย่างในการโฆษณาการจัดทำป้ายทะเบียนรถจักรยานยนต์เพื่อจำหน่ายของห้างร้านผู้จัดทำจำหน่าย กรณีจึงมิใช่การทำเอกสารปลอมเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่า เป็นเอกสารที่แท้จริง เอกสารดังกล่าวจึงมิใช่เอกสารปลอม แม้จำเลยจะนำเอกสารนั้นไปติดไว้กับรถจักรยานยนต์ จำเลยก็ไม่มีความผิดฐานใช้เอกสารปลอม