คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.อ. ม. 268

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 569 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2433/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิปลอม: จำเลยรู้ว่าเป็นบัตรเครดิตของผู้อื่นแต่ยังนำไปใช้
จำเลยทุกคนรู้ภาษาอังกฤษ เมื่อข้อความด้าน หน้าบัตรเครดิตมีข้อความว่าเปลี่ยนไม่ได้ (NOTTRANSFERABLE) จำเลยทุกคนรู้แล้วว่าบัตรเครดิตเป็นของบุคคลอื่นตน เองย่อมไม่อาจนำมาใช้ได้ และด้าน หลังของบัตรก็มีลายมือชื่อของเจ้าของบัตรที่แท้จริง (AUTHORIZEDSIGNATURE) และมีข้อความรวม ๆ ซึ่งมีความหมายว่า ผู้ที่ไม่ใช่เจ้าของบัตรเครดิตจะนำไปใช้ไม่ได้ ขอให้ส่งคืนแก่บริษัทผู้เสียหายจำเลยทุกคนรู้ว่าการนำบัตรเครดิตไปใช้จะต้องลงชื่อให้ตรงกับลายมือชื่อหลังบัตรนั้น แต่จำเลยก็ยังคงเอาบัตรเครดิตดังกล่าวไปใช้ดังนี้เชื่อ ว่าจำเลยใช้บัตรเครดิตไปโดยรู้ว่าเป็นบัตรเครดิตปลอมจำเลยจึงมีความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิปลอม.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2361/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความเสียหายจากการใช้เอกสารปลอมเกิดขึ้นต่อนายทะเบียน โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ก่อนโจทก์จำเลยจะมีกรณีพิพาทในกรรมสิทธิ์ของบ้านพิพาทกันจำเลยได้นำคำร้องซึ่งเป็นเอกสารราชการปลอมไปยื่นต่อนายทะเบียนอำเภอเพื่อขอเลขบ้านพิพาทใหม่ โดยต้องการเอาบ้านนั้นเป็นของจำเลย แต่เลขบ้านมิใช่หลักฐานแสดงกรรมสิทธิ์แม้จำเลยจะได้เลขบ้านใหม่มาก็หาทำให้โจทก์หมดสิทธิที่จะใช้เลขบ้านเดิมไม่ ความเสียหายอันเกิดจากการใช้เอกสารปลอมจึงเกิดขึ้นแก่นายทะเบียนเท่านั้น โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมายที่จะมีอำนาจฟ้องจำเลยได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2361/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีใช้เอกสารปลอม: ผู้เสียหายต้องเป็นผู้ได้รับความเสียหายโดยตรงจากเอกสารปลอมนั้น
จำเลยนำคำร้องซึ่งเป็นเอกสารราชการปลอมไปยื่นต่อนายทะเบียนอำเภอเพื่อขอเลขบ้านพิพาทใหม่ ถึงหากจะกระทำไปโดยต้องการเอาบ้านดังกล่าวเป็นของจำเลย แต่เลขบ้านมิใช่เป็นหลักฐานแสดงกรรมสิทธิ์ทั้งโจทก์เป็นเจ้าของเลขบ้านใด อยู่ แม้จำเลยจะไปขอเลขบ้านดังกล่าวและได้เลขบ้านนั้นมา ก็หาทำให้โจทก์หมดสิทธิที่จะใช้เลขบ้านนั้นไม่ความเสียหายอันเกิดจากการใช้เอกสารปลอมจึงเกิดขึ้นแก่นายทะเบียนอำเภอเท่านั้น โจทก์จึงไม่ใช่เป็นผู้เสียหายตามกฎหมายอันจะมีอำนาจฟ้องจำเลยได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2361/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีอาญาเกี่ยวกับเอกสารปลอม จำเลยต้องเป็นผู้เสียหายโดยตรงหรือไม่
ก่อนโจทก์จำเลยจะมีกรณีพิพาทในกรรมสิทธิ์ของบ้านพิพาทกันจำเลยได้นำคำร้องซึ่งเป็นเอกสารราชการปลอมไปยื่นต่อนายทะเบียนอำเภอเพื่อขอเลขบ้านพิพาทใหม่ โดยต้องการเอาบ้านนั้นเป็นของจำเลย แต่เลขบ้านมิใช่หลักฐานแสดงกรรมสิทธิ์ แม้จำเลยจะได้เลขบ้านใหม่มาก็หาทำให้โจทก์หมดสิทธิที่จะใช้เลขบ้านเดิมไม่ ความเสียหายอันเกิดจากการใช้เอกสารปลอมจึงเกิดขึ้นแก่นายทะเบียนเท่านั้น โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมายที่จะมีอำนาจฟ้องจำเลยได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1970/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ร่วมกันฉ้อโกงโดยใช้เอกสารปลอม: การแบ่งหน้าที่และความรับผิดของตัวการ
น. กู้เงินผู้เสียหายโดย ส. ใช้หนังสือรับรองการทำประโยชน์ของส.ซึ่งเป็นเอกสารปลอมไปค้ำประกันหนี้เงินกู้แม้จำเลยจะมิได้ร่วมไปบ้านผู้เสียหายในวันทำสัญญากู้ แต่ทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยร่วมกับ น. และ ส. มาแต่ต้นในลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำ โดยในวันเกิดเหตุจำเลยพา น. และ ส.ไปพบว.เพื่อให้พาบุคคลทั้งสองไปพบผู้เสียหาย ส่วนจำเลยรออยู่เพื่อคอยรับเงินส่วนแบ่งจาก น. พฤติการณ์ดังกล่าวฟังได้ว่าจำเลยเป็นตัวการใช้เอกสารปลอมด้วย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1970/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ร่วมกันฉ้อโกงโดยใช้เอกสารปลอม: การแบ่งหน้าที่ชัดเจนบ่งชี้ตัวการ
น. กู้เงินผู้เสียหายโดย ส. ใช้หนังสือรับรองการทำประโยชน์ของ ส. ซึ่งเป็นเอกสารปลอมไปค้ำประกันหนี้เงินกู้ แม้จำเลยจะมิได้ร่วมไปบ้านผู้เสียหายในวันทำสัญญากู้ แต่ทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยร่วมกับ น. และ ส. มาแต่ต้นในลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำ โดยในวันเกิดเหตุจำเลยพา น. และ ส. ไปพบ ว.เพื่อให้พาบุคคลทั้งสองไปพบผู้เสียหาย ส่วนจำเลยรออยู่เพื่อคอยรับเงินส่วนแบ่งจาก น. พฤติการณ์ดังกล่าวฟังได้ว่าจำเลยเป็นตัวการใช้เอกสารปลอมด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3942/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกำหนดกรรมและกระทงความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารปลอม การใช้กฎหมายหมวดความผิดเกี่ยวกับเอกสาร
การที่จะวินิจฉัยว่าคดีใดต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาฐานความผิดเป็นกระทง ๆ ไปศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดรวม 6 กระทงซึ่งแต่ละกระทงลงโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 โจทก์บรรยายฟ้องแยกการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน เมื่อการกระทำของจำเลยในขั้นตอนที่ทำปลอมขึ้นซึ่งรอยตราของสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ ไทยประจำกรุงเบรุต แล้วเอารอยตราปลอมนั้นไปประทับลงในหนังสือเดินทางปลอม ก็เพื่อให้หนังสือเดินทางปลอมที่จำเลยทำขึ้นมีลักษณะข้อความและรอยตราที่ประทับเหมือนของจริง เมื่อผู้ใดพบเห็นจะได้หลงเชื่อและเข้าใจว่าเป็นหนังสือเดินทางที่แท้จริงอันเป็นการปลอมหนังสือเดินทางทั้งฉบับให้สำเร็จบริบูรณ์ดังเจตนาของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวแต่ผิดต่อกฎหมายหลายบทคือประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 กับมาตรา 251 กระทงหนึ่งต่อมาเมื่อจำเลยนำหนังสือเดินทางนั้นไปใช้แสดง ต่อเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง เพื่อตรวจประทับตราเดินทาง ออกไปนอกราชอาณาจักรและเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรรวม 3 ครั้ง แม้จะเป็นการใช้ในลักษณะเดียวกัน แต่เป็นการใช้คนละเวลา คนละครั้งต่างกรรมกัน จึงเป็นความผิดหลายกรรม คือมีความผิดตามมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 265และมาตรา 251 ประกอบด้วย มาตรา 252 ซึ่งมาตรา 263ให้ลงโทษตามมาตรา 251 แต่กระทงเดียว เมื่อจำเลยเป็นผู้ทำรอยตราปลอมอันเป็นความผิดตามมาตรา 251และได้ใช้รอยตราปลอมนั้นอันเป็นความผิดตามมาตรา 252รวม 3 ครั้ง ในการใช้ครั้งแรก จำเลยทำรอยตราปลอมและใช้รอยตราปลอมด้วย จึงมีความผิดตามมาตรา 251ประกอบด้วยมาตรา 263 กระทงหนึ่ง แต่ในการใช้ครั้งที่สองและที่สาม จำเลยมิได้ปลอมรอยตราขึ้นอีกคงใช้รอยตราปลอม อันเก่านั้นเอง จึงมีความผิดฐานใช้รอยตราปลอมอย่างเดียว ตามมาตรา 252 อีก 2 กระทง รวมทั้งสิ้น 3 กระทง ที่ศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยรวม 6 กระทง จึงไม่ถูกต้อง ปัญหาว่าการกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทหรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็หยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3942/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปลอมและใช้เอกสารปลอม: การพิจารณาความผิดกรรมเดียว vs. หลายกรรม และการลดโทษตามกฎหมาย
คดีจะต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาตามฐานความผิดเป็นกระทง ๆ ไป เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยแต่ละกระทงจำคุกไม่เกิน 5 ปี และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีจึงต้องฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
จำเลยปลอมหนังสือเดินทางซึ่งเป็นเอกสารราชการของกระทรวงต่างประเทศ และจำเลยได้ทำปลอมขึ้นซึ่งรอยตราของสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ไทยประจำกรุงเบรุตประเทศเลบานอน แล้วประทับรอยตราปลอมดังกล่าวลงในหนังสือเดินทางที่จำเลยปลอมขึ้น อันเป็นการปลอมหนังสือเดินทางทั้งฉบับให้สำเร็จบริบูรณ์ดังเจตนาของจำเลย การกระทำของจำเลยในส่วนนี้จึงเป็นกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบท คือมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 กับมาตรา 251 กระทงหนึ่ง ต่อมาเมื่อจำเลยนำหนังสือเดินทางที่จำเลยทำปลอมขึ้นและมีรอยตราปลอมประทับดังกล่าวไปใช้แสดงต่อเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง เพื่อตรวจประทับตราเดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรและเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร รวม 3 ครั้ง แม้จะเป็นการใช้ในลักษณะเดียวกัน แต่ก็เป็นการใช้คนละเวลาคนละครั้งต่างกรรมกัน การกระทำของจำเลยในส่วนนี้จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือจำเลยมีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรกประกอบด้วยมาตรา 265 และมาตรา 251 ประกอบด้วยมาตรา 252 แต่เนื่องจากมาตรา 263 บัญญัติว่าถ้าผู้กระทำผิดตามมาตรา 251 ได้กระทำผิดตามมาตรา 252 ด้วยให้ลงตามมาตรา 251 กระทงเดียว ดังนั้นเมื่อจำเลยเป็นผู้ทำรอยตราปลอมอันเป็นความผิดตามมาตรา 251 และได้ใช้รอยตราปลอมนั้นอันเป็นความผิดตามมาตรา 252 รวม 3 ครั้ง ในการใช้ครั้งแรกจำเลยทำรอยตราปลอมและใช้รอยตราปลอมด้วย จึงมีความผิดตามมาตรา 251 ประกอบด้วยมาตรา 263 กระทงหนึ่ง แต่ในการใช้ครั้งที่สองและครั้งที่สามจำเลยมิได้ปลอมรอยตราขึ้นอีก คงใช้รอยตราปลอมอันเก่านั้นเอง จึงมีความผิดฐานใช้รอยตราปลอมอย่างเดียวตามมาตรา 252 อีก 2 กระทง รวมทั้งสิ้น 3 กระทง ปัญหาว่าการกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ขึ้นมา ศาลฎีกาก็หยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ (หมายเหตุ วรรค 2 วินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 2/2529)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3835/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปลอมแปลงเอกสารและใช้เอกสารปลอมเพื่อการเดินทางเข้า-ออกราชอาณาจักร
จำเลยปลอมหนังสือเดินทางของประเทศสิงคโปร์และปลอมเอกสารราชการ ของเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมืองโดยประทับรอยตราและบันทึกข้อความ อนุญาตให้จำเลยเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักร ลงในหนังสือเดินทาง ที่จำเลยทำปลอมขึ้น เพื่อให้มีรายการครบถ้วนจะได้เดินทางเข้ามา ในราชอาณาจักรและอยู่ในราชอาณาจักรได้ อันเป็นการกระทำครั้งเดียว การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทต้องลงโทษ ฐานปลอมเอกสารราชการของเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมืองซึ่งเป็น บทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 แต่จำเลยได้นำ หนังสือเดินทางและเอกสารราชการของเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมืองที่ จำเลยปลอมขึ้นดังกล่าวไปใช้ด้วย จึงต้องลงโทษฐานใช้เอกสารราชการ ของเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมืองปลอมแต่กระทงเดียว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรค 2

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3835/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปลอมเอกสารทางการและใช้เอกสารปลอมเพื่อการเดินทางเข้า-ออกประเทศ
จำเลยปลอมหนังสือเดินทางของประเทศสิงคโปร์และปลอมเอกสารราชการของเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมืองโดยประทับรอยตราและบันทึกข้อความอนุญาตให้จำเลยเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรลงในหนังสือเดินทางที่จำเลยทำปลอมขึ้นเพื่อให้มีรายการครบถ้วนจะได้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรและอยู่ในราชอาณาจักรได้อันเป็นการกระทำครั้งเดียวการกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทต้องลงโทษฐานปลอมเอกสารราชการของเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมืองซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา90แต่จำเลยได้นำหนังสือเดินทางและเอกสารราชการของเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมืองที่จำเลยปลอมขึ้นดังกล่าวไปใช้ด้วยจึงต้องลงโทษฐานใช้เอกสารราชการของเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมืองปลอมแต่กระทงเดียวตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา268วรรค2.
of 57