พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,298 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2655-2656/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องผิดฐานเช็คเด้งเมื่อมีส่วนผิดคิดดอกเบี้ยเกินอัตรา โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
การที่โจทก์รับเช็คพิพาทจากช. เพื่อชำระหนี้เงินกู้ยืมซึ่งมีดอกเบี้ยที่โจทก์คิดเกินอัตราตามกฎหมายรวมอยู่ด้วยถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้กระทำความผิดในส่วนของดอกเบี้ยที่โจทก์คิดเกินอัตราตามกฎหมายแม้ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาทก็จะถือว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายไม่ได้โจทก์จึงไม่มีอำนาจนำเช็คพิพาทมาฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2534มาตรา4
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2655-2656/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเช็คพิพาทจากหนี้ที่มีดอกเบี้ยเกินอัตรา โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
การที่โจทก์รับเช็คพิพาทจาก ช. เพื่อชำระหนี้เงินกู้ยืมซึ่งมีดอกเบี้ยที่โจทก์คิดเกินอัตราตามกฎหมายรวมอยู่ด้วย ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้กระทำความผิดในส่วนของดอกเบี้ยที่โจทก์คิดเกินอัตราตามกฎหมาย แม้ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาท ก็จะถือว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายไม่ได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจนำเช็คพิพาทมาฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2534 มาตรา 4
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8080/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนี้หลังล้มละลายเป็นโมฆะ ผู้รับเช็คไม่มีสิทธิเรียกร้อง ผู้ฟ้องไม่มีอำนาจฟ้อง
มูลแห่งหนี้ตามเช็คพิพาทเกิดขึ้นหลังวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดแล้ว จึงไม่อยู่ในบทบังคับตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 91 แต่เป็นเรื่องที่จำเลยกระทำการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 24 ด้วยการออกเช็คพิพาทชำระหนี้แก่โจทก์ร่วมมูลแห่งหนี้ตามเช็คพิพาทจึงเป็นโมฆะ โจทก์ร่วมไม่มีสิทธินำเช็คพิพาทไปยื่นเพื่อให้ธนาคารใช้เงินโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินโจทก์ร่วมจึงไม่ใช่ผู้ได้รับ ความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 โจทก์ร่วมจึงไม่เป็นผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจร้องทุกข์คดีความผิดต่อส่วนตัวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6202/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีทำลายพยานหลักฐาน: ผู้เสียหายต้องเป็นผู้ได้รับความเสียหายโดยตรงจากความผิด
ความผิดตาม ป.อ. มาตรา 199 เป็นความผิดเกี่ยวกับการทำลายพยานหลักฐาน ไม่ใช่ความผิดต่อสาธารณชน จึงเป็นความผิดเกี่ยวกับรัฐโดยตรง แม้จำเลยทั้งห้าจะร่วมกันย้ายศพผู้ตายเพื่อปิดบังเหตุแห่งการตายก็ตามโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นบิดามารดาของผู้ตายก็ยังเรียกไม่ได้ว่าเป็นบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่งตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4)จึงไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมายที่จะมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งห้าในข้อหาความผิดดังกล่าว
อำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้คู่ความมิได้ยกปัญหานี้ขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ก็ตาม ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้
อำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้คู่ความมิได้ยกปัญหานี้ขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ก็ตาม ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6202/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีทำลายหลักฐาน: ผู้เสียหายต้องเป็นผู้ได้รับความเสียหายโดยตรงจากความผิด
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 199เป็นความผิดเกี่ยวกับการทำลายพยานหลักฐาน ไม่ใช่ความผิดต่อสาธารณชน จึงเป็นความผิดเกี่ยวกับรัฐโดยตรงแม้จำเลยทั้งห้าจะร่วมกันย้ายศพ บ. เพื่อปิดบังเหตุแห่งการตายก็ตาม โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นบิดามารดาของบ. ก็ยังเรียกไม่ได้ว่าเป็นบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4)จึงไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมายที่จะมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งห้าในข้อหาความผิดดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6202/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีทำลายพยานหลักฐาน: บิดามารดาผู้ตายไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมาย
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา199เป็นความผิดเกี่ยวกับการทำลายพยานหลักฐานไม่ใช่ความผิดต่อสาธารณชนจึงเป็นความผิดเกี่ยวกับรัฐโดยตรงแม้จำเลยทั้งห้าจะร่วมกันย้ายศพผู้ตายเพื่อปิดบังเหตุแห่งการตายก็ตามโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นบิดามารดาของผู้ตายก็ยังเรียกไม่ได้ว่าเป็นบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา2(4)จึงไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมายที่จะมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งห้าในข้อหาความผิดดังกล่าว อำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้คู่ความมิได้ยกปัญหานี้ขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ก็ตามศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5735/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความคดีละเมิดทางแพ่ง: การรู้ตัวผู้กระทำละเมิดและผู้รับผิดชอบ, การฟ้องคดีอาญาเกี่ยวข้องกับคดีแพ่ง
ตามรายงานผลการสอบสวนหาผู้รับผิดในทางแพ่งที่เสนอต่อ อธิบดีของโจทก์มีข้อความระบุไว้ชัดว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ทำละเมิด โจทก์เสียหายเป็นเงิน 181,080 บาท เห็นควรเรียกร้องหรือฟ้องร้องดำเนินคดีทางแพ่งแก่จำเลยที่ 1 และ ส.รองอธิบดีของโจทก์ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีของโจทก์ลงนามไว้ด้านหลังเอกสารนี้ เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2530 ถือได้ว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนคือจำเลยที่ 1 ตั้งแต่วันที่ ส. ลงนามไว้ดังกล่าว เมื่อนับถึงวันที่ที่โจทก์ฟ้องคือวันที่ 27 มีนาคม2532 เป็นระยะเวลาเกินกว่า 1 ปี คดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคหนึ่ง ส่วนที่จำเลยที่ 1 ถูกพนักงานอัยการฟ้องหรือในข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้รถของโจทก์เสียหายตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกอันเป็นความผิดเกี่ยวกับรัฐ โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหายในคดีอาญาสำหรับข้อหาส่วนนี้ การที่โจทก์นำการกระทำของจำเลยดังกล่าวมาฟ้องว่า จำเลยกระทำละเมิดเป็นคดีนี้ ดังนี้คดีนี้จึงมิใช่เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาที่จะนำอายุความทางอาญาที่ยาวกว่ามาบังคับได้ ตามรายงานผลการสอบสวนหาผู้รับผิดในทางแพ่งมีข้อความระบุเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 แต่เพียงว่า จำเลยที่ 2นั่งโดยสารมาด้วยในรถที่จำเลยที่ 1 ขับหาได้ระบุว่าจำเลยที่ 2 ครอบครองหรือควบคุมดูแลรถคันดังกล่าวอันจะต้องรับผิดชอบเพื่อความเสียหายนั้นด้วยไม่ การที่ ส.รองอธิบดีปฏิบัติราชการแทนอธิบดีของโจทก์ลงนามไว้ด้านหลังเอกสารนี้ ถือไม่ได้ว่าโจทก์รู้ว่าจำเลยที่ 2 จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย แต่ต่อมากองนิติการในสังกัดโจทก์ได้รับสำนวนการสอบสวนหาผู้รับผิดในทางแพ่งแล้ว เห็นว่าผู้ที่จะต้องรับผิดคือจำเลยทั้งสอง และได้ทำบันทึกข้อความเสนอความเห็นควรสั่งฟ้องจำเลยทั้งสองต่ออธิบดีของโจทก์ และ ส. ลงนามไว้ท้ายเอกสารดังกล่าวเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2531 ถือได้ว่าโจทก์รู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอีกคนหนึ่งคือจำเลยที่ 2 ตั้งแต่วันที่ ส.ลงนามไว้ดังกล่าว เมื่อนับถึงวันที่โจทก์ฟ้องคือวันที่27 มีนาคม 2532 เป็นระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 448 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5735/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความคดีละเมิด: การรู้ตัวผู้รับผิดและการฟ้องร้องเกินกำหนด
ตามรายงานผลการสอบสวนหาผู้รับผิดในทางแพ่งที่เสนอต่ออธิบดีของโจทก์มีข้อความระบุไว้ชัดว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ทำละเมิด โจทก์เสียหายเป็นเงิน181,080 บาท เห็นควรเรียกร้องหรือฟ้องร้องดำเนินคดีทางแพ่งแก่จำเลยที่ 1 และส.รองอธิบดีของโจทก์ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีของโจทก์ลงนามไว้ด้านหลังเอกสารนี้เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2530 ถือได้ว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนคือจำเลยที่ 1 ตั้งแต่วันที่ ส.ลงนามไว้ดังกล่าว เมื่อนับถึงวันที่ที่โจทก์ฟ้องคือวันที่ 27 มีนาคม 2532 เป็นระยะเวลาเกินกว่า 1 ปี คดีโจทก์จึงขาดอายุความตาม ป.พ.พ.มาตรา 448 วรรคหนึ่ง ส่วนที่จำเลยที่ 1 ถูกพนักงานอัยการฟ้องในข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้รถของโจทก์เสียหายตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกอันเป็นความผิดเกี่ยวกับรัฐ โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหายในคดีอาญาสำหรับข้อหาส่วนนี้ การที่โจทก์นำการกระทำของจำเลยดังกล่าวมาฟ้องว่า จำเลยกระทำละเมิดเป็นคดีนี้ ดังนี้คดีนี้จึงมิใช่เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาที่จะนำอายุความทางอาญาที่ยาวกว่ามาบังคับได้
ตามรายงานผลการสอบสวนหาผู้รับผิดในทางแพ่งมีข้อความระบุเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 แต่เพียงว่า จำเลยที่ 2 นั่งโดยสารมาด้วยในรถที่จำเลยที่ 1 ขับหาได้ระบุว่าจำเลยที่ 2 ครอบครองหรือควบคุมดูแลรถคันดังกล่าวอันจะต้องรับผิดชอบเพื่อความเสียหายนั้นด้วยไม่ การที่ ส.รองอธิบดีปฏิบัติราชการแทนอธิบดีของโจทก์ลงนามไว้ด้านหลังเอกสารนี้ ถือไม่ได้ว่าโจทก์รู้ว่าจำเลยที่ 2 จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย แต่ต่อมากองนิติการในสังกัดโจทก์ได้รับสำนวนการสอบสวนหาผู้รับผิดในทางแพ่งแล้ว เห็นว่าผู้ที่จะต้องรับผิดคือจำเลยทั้งสอง และได้ทำบันทึกข้อความเสนอความเห็นควรสั่งฟ้องจำเลยทั้งสองต่ออธิบดีของโจทก์ และ ส.ลงนามไว้ท้ายเอกสารดังกล่าวเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2531 ถือได้ว่าโจทก์รู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอีกคนหนึ่งคือจำเลยที่ 2 ตั้งแต่วันที่ ส.ลงนามไว้ดังกล่าว เมื่อนับถึงวันที่โจทก์ฟ้องคือวันที่ 27 มีนาคม 2532 เป็นระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความตาม ป.พ.พ.มาตรา 448 วรรคหนึ่ง
ตามรายงานผลการสอบสวนหาผู้รับผิดในทางแพ่งมีข้อความระบุเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 แต่เพียงว่า จำเลยที่ 2 นั่งโดยสารมาด้วยในรถที่จำเลยที่ 1 ขับหาได้ระบุว่าจำเลยที่ 2 ครอบครองหรือควบคุมดูแลรถคันดังกล่าวอันจะต้องรับผิดชอบเพื่อความเสียหายนั้นด้วยไม่ การที่ ส.รองอธิบดีปฏิบัติราชการแทนอธิบดีของโจทก์ลงนามไว้ด้านหลังเอกสารนี้ ถือไม่ได้ว่าโจทก์รู้ว่าจำเลยที่ 2 จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย แต่ต่อมากองนิติการในสังกัดโจทก์ได้รับสำนวนการสอบสวนหาผู้รับผิดในทางแพ่งแล้ว เห็นว่าผู้ที่จะต้องรับผิดคือจำเลยทั้งสอง และได้ทำบันทึกข้อความเสนอความเห็นควรสั่งฟ้องจำเลยทั้งสองต่ออธิบดีของโจทก์ และ ส.ลงนามไว้ท้ายเอกสารดังกล่าวเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2531 ถือได้ว่าโจทก์รู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอีกคนหนึ่งคือจำเลยที่ 2 ตั้งแต่วันที่ ส.ลงนามไว้ดังกล่าว เมื่อนับถึงวันที่โจทก์ฟ้องคือวันที่ 27 มีนาคม 2532 เป็นระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความตาม ป.พ.พ.มาตรา 448 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2754/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องและฎีกา: ผู้เสียหายที่ไม่ได้รับความเสียหายโดยตรงและกรรมการที่พ้นจากอำนาจ
โจทก์ที่2ฟ้องว่าจำเลยทั้งสามกับพวกร่วมกันลักหรือใช้จ้างวานผู้อื่นลักเอาต้นฉบับเอกสารใบตราส่งของโจทก์ที่1ซึ่งโจทก์ที่2เป็นกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนแล้วจำเลยที่1ปลอมลายมือชื่อและประทับตราปลอมของโจทก์ที่1บนใบตราส่งดังกล่าวเพื่อขอรับหนังสือใบสั่งให้ส่งมอบสินค้าปลอมหนังสือคำร้องขอแก้ไขบัญชีสินค้าหนังสือโอนกรรมสิทธิ์สินค้าบัญชีราคาสินค้าบัญชีแจ้งรายการบรรจุหีบห่อแล้วใช้เอกสารปลอมดังกล่าวยื่นต่อเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรเพื่อให้หลงเชื่อว่าโจทก์ที่1ขอให้แก้ใบตราส่งจากโจทก์ที่1มาเป็นจำเลยที่1เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองฟังได้ว่าโจทก์ที่1ผู้รับสินค้าตามใบตราส่งเป็นผู้ได้รับความเสียหายจึงเป็นผู้เสียหายส่วนโจทก์ที่2ซึ่งเป็นเพียงผู้ถือหุ้นและกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนโจทก์ที่1มิได้รับความเสียหายเป็นพิเศษอย่างใดไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะมีอำนาจฟ้องและเมื่อมีการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการโดยโจทก์ที่2ไม่ใช่กรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนโจทก์ที่1ต่อไปโจทก์ที่2จึงไม่มีอำนาจฎีกาแทนโจทก์ที่1ส่วน ศ. และ ค. นั้นเมื่อศาลอนุญาตให้โจทก์ที่1ถอนจากการเป็นทนายความได้ย่อมไม่ใช่ผู้ได้รับความเสียหายจากคำสั่งดังกล่าวจึงไม่มีอำนาจฎีกาในคดีได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2719/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สถานะผู้จัดการมรดกคดีแพ่งไม่ผูกพันคดีอาญา แม้ศาลสั่งถอนแต่คดียังไม่ถึงที่สุด ผู้เสียหายยังฟ้องได้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ถอนโจทก์ออกจากการเป็นผู้จัดการมรดก ของ ช. ในคดีแพ่ง แต่คดียังไม่ถึงที่สุด เพราะโจทก์อุทธรณ์ ข้อเท็จจริงยังรับฟังเป็นยุติไม่ได้ จึงใช้ยัน บุคคลภายนอกคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145(1) ไม่ได้ ส่วนบทบัญญัติวรรคแรกที่ว่าคำพิพากษาหรือคำสั่งใด ๆ ให้มีผลผูกพันนับแต่วันที่ได้มีคำพิพากษา หรือคำสั่งจนถึงวันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งดังกล่าว ถูกเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นเป็นเรื่องที่ให้ถือว่าผูกพัน คู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลที่พิพากษาหรือมีคำสั่งเท่านั้นคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ถอนโจทก์จากการเป็นผู้จัดการมรดกจึงมีผลผูกพันเฉพาะคู่ความในคดีแพ่งนั้นของศาลชั้นต้นไม่มีผลผูกพันถึงคู่ความในคดีนี้ แม้จำเลยจะเป็นผู้ร้องขอให้ถอนโจทก์ออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกในคดีดังกล่าวก็ตาม แต่ก็เป็นคู่ความคนละคดีกัน จำเลยจึงไม่อาจยกขึ้นอ้างอิงในคดีนี้ได้ โจทก์ยังคงมีฐานะเป็นผู้จัดการมรดกของช. อยู่ จึงเป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องจำเลยฐานปลอมตั๋วสัญญาใช้เงินของ ช. เป็นคดีนี้