คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.อ. ม. 2 (4)

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,298 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4804/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผู้ทรงเช็คและการระบุตัวผู้เสียหายในคดีเช็ค - ผลของการสลักหลังและการมอบเช็คให้ผู้อื่น
โจทก์ร่วมอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งให้รับอุทธรณ์เฉพาะข้อกฎหมายโจทก์ร่วมยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นดังนี้ไม่มีกฎหมายห้ามมิให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์บางข้อรวมในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยรวมกันไปแล้ววินิจฉัยว่าโจทก์ร่วมไม่ใช่ผู้เสียหายก็ไม่มีประโยชน์ที่จะแยกสั่งคำร้องอุทธรณ์ของโจทก์ร่วม การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ข้ออื่นของโจทก์ร่วมจึงชอบแล้ว
เดิมโจทก์ร่วมเป็นผู้ทรงเช็คพิพาท ซึ่งเป็นเช็คสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือต่อมาโจทก์ร่วมลงชื่อสลักหลังเช็คพิพาทมอบให้น.นำเข้าบัญชีของน.เพื่อเรียกเก็บเงินธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินและโจทก์ร่วมรับเช็คพิพาทคืนจากน.แล้วร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนดังนี้เช็คพิพาทเป็นเช็คสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือ ผู้ถือย่อมเป็นผู้ทรง แม้โจทก์ร่วมกับน.จะมีข้อตกลงกันเป็นอย่างอื่น ก็จะผูกพันเฉพาะโจทก์ร่วมกับ น.เท่านั้น เมื่อ น.ถือเช็คดังกล่าวไปเข้าบัญชีของตนที่ธนาคารเพื่อเรียกเก็บเงินตามเช็คน.ย่อมเป็นผู้ทรงเช็คและเป็นผู้เสียหาย หาใช่โจทก์ร่วมไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3822/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความเสียหายจากการใช้เช็ค: การฟ้องซ้ำในมูลหนี้เดียวกัน
จำเลยที่1เคยออกเช็คให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ค่าซื้อบ้านแต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินโจทก์ฟ้องจำเลยที่1ศาลมีคำสั่งให้ออกหมายจับและจำหน่ายคดีต่อมาจำเลยที่1และจำเลยที่2ได้ออกเช็คพิพาทให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ค่าซื้อบ้านแทนเช็คฉบับเดิมแต่เช็คพิพาทถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินความเสียหายของโจทก์อันสืบเนื่องมาจากมูลหนี้ค่าซื้อบ้านรายเดียวกันย่อมเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวการที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่1ผู้ออกเช็คฉบับเดิมต่อศาลและคดีอยู่ระหว่างพิจารณาถือได้ว่าความเสียหายของโจทก์ในมูลหนี้รายนี้ไม่อาจเกิดขึ้นอีกได้โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองตามเช็คพิพาทอีก.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3822/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความเสียหายจากเช็คชำระหนี้รายเดียวกัน: ไม่มีอำนาจฟ้องซ้ำ
จำเลยที่ 1 เคยออกเช็คให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ค่าซื้อบ้าน แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ศาลมีคำสั่งให้ออกหมายจับและจำหน่ายคดี ต่อมาจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ได้ออกเช็คพิพาทให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ค่าซื้อบ้านแทนเช็คฉบับเดิม แต่เช็คพิพาทถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ความเสียหายของโจทก์อันสืบเนื่องมาจากมูลหนี้ค่าซื้อบ้านรายเดียวกันย่อมเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวการที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ผู้ออกเช็คฉบับเดิมต่อศาลและคดีอยู่ระหว่างพิจารณา ถือได้ว่าความเสียหายของโจทก์ในมูลหนี้รายนี้ไม่อาจเกิดขึ้นอีกได้ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองตามเช็คพิพาทอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3822/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความเสียหายจากเช็คชำระหนี้รายเดียวกัน: ไม่มีอำนาจฟ้องซ้ำหากคดีเดิมยังอยู่ระหว่างพิจารณา
จำเลยที่ 1 เคยออกเช็คให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ค่าซื้อบ้านแต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ศาลมีคำสั่งให้ออกหมายจับและจำหน่ายคดี ต่อมาจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2ได้ออกเช็คพิพาทให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ค่าซื้อบ้านแทนเช็คฉบับเดิม แต่เช็คพิพาทถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ความเสียหายของโจทก์อันสืบเนื่องมาจากมูลหนี้ค่าซื้อบ้านรายเดียวกันย่อมเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวการที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1ผู้ออกเช็คฉบับเดิมต่อศาลและคดีอยู่ระหว่างพิจารณา ถือได้ว่าความเสียหายของโจทก์ในมูลหนี้รายนี้ไม่อาจเกิดขึ้นอีกได้ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองตามเช็คพิพาทอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3792-3793/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานฉ้อโกงและการใช้เช็ค ความรับผิดของตัวการและผู้ร่วมกระทำผิด
คำฟ้องของโจทก์บรรยายถึงสถานที่เกิดการกระทำความผิดในข้อหาฉ้อโกง โดยระบุชื่อแขวงและเขตหลายแห่งในกรุงเทพมหานครรวมกันมาและระบุด้วยว่าเกี่ยวพันกันนั้น สถานที่ที่จำเลยได้กล่าวหลอกลวงผู้เสียหายย่อมหมายถึงสถานที่ทำงานของผู้เสียหาย ซึ่งมีที่อยู่ตามแขวงและเขตในกรุงเทพมหานครจำเลยมิได้หลงต่อสู้แต่ประการใด ฟ้องโจทก์ที่บรรยายเกี่ยวกับสถานที่เกิดเหตุมาเพียงพอที่จำเลยจะเข้าใจได้ดี จึงเป็นคำฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหาฉ้อโกงโดยอาศัยเหตุว่าฟ้องเคลือบคลุม โจทก์อุทธรณ์ว่าได้บรรยายฟ้องไว้ชัดเจนชอบแล้วจึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อกฎหมายดังกล่าว และข้อเท็จจริงในสำนวนเพียงพอที่จะวินิจฉัยได้ ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยและฟังข้อเท็จจริงในความผิดฐานฉ้อโกงไปเสียเองได้
จำเลยวางแผนหรือสร้างเหตุการณ์ต่าง ๆ ขึ้นเพื่อให้ผู้เสียหายหลงเชื่อโดยนำเช็คส่วนตัวของจำเลยมาแลกเงินสดจากผู้เสียหายก่อน ต่อมานำเช็คที่บุคคลอื่นลงลายมือชื่อสั่งจ่ายมาขอแลกโดยหลอกลวงว่าผู้สั่งจ่ายมีฐานะดีในตอนแรก ๆ จำนวนเงินตามเช็คไม่สูงนักและเรียกเก็บเงินได้หมดเนื่องจากจำเลยออกเงินให้บุคคลเหล่านั้นไปเปิดบัญชีไว้ตามธนาคารต่าง ๆ และให้เจ้าของบัญชีลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คมอบแก่จำเลยไว้ จำเลยนำเช็คเหล่านี้มากรอกข้อความแล้วนำไปขอแลกเงินจากผู้เสียหาย เมื่อเช็คถึงกำหนดสั่งจ่ายจำเลยก็นำเงินของตนไปเข้าบัญชีของบุคคลดังกล่าวเพื่อให้เช็คเรียกเก็บเงินได้ การกระทำดังกล่าวของจำเลยจึงเป็นการใช้อุบายหลอกลวงผู้เสียหาย โดยแสดงข้อความอันเป็นเท็จปกปิดความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง โดยการหลอกลวงดังกล่าวผู้เสียหายหลงเชื่อและได้มอบเงินแก่จำเลยไป การกระทำของจำเลยจึงครบองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงแล้ว
เช็คที่โจทก์นำมาฟ้องมีจำนวนมากถึง 38 ฉบับ และโจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้ชัดเจนว่าเช็คแต่ละฉบับนั้นเป็นของธนาคารใดพร้อมกับระบุสาขาของธนาคารอันถือว่าเป็นสถานที่เกิดเหตุที่ธนาคารแห่งนั้นปฏิเสธการจ่ายเงินไว้ด้วยแล้วหาจำเป็นที่จะต้องระบุแขวงและเขตอีกไม่ เพราะการที่โจทก์นำเอาชื่อแขวงและเขตที่เกิดการกระทำผิดไปรวมไว้ในตอนท้ายเพื่อบอกสถานที่เกิดเหตุย่อมเพียงพอที่จะทำให้จำเลยเข้าใจได้ดีแล้ว และจำเลยก็ไม่ได้หลงต่อสู้คดีแต่ประการใด ฟ้องโจทก์ในข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คจึงไม่เคลือบคลุม
แม้จำเลยจะมิได้เป็นผู้สั่งจ่ายเช็ค แต่จำเลยเป็นผู้จัดการออกเงินให้เจ้าของบัญชีนำไปขอเปิดบัญชีตามธนาคารต่าง ๆและสั่งให้เจ้าของบัญชีลงลายมือชื่อในเช็คมอบแก่จำเลยไว้จำเลยจะกรอกรายการในเช็คแล้วนำไปแลกเงินสดจากผู้เสียหาย จำเลยจึงเป็นตัวการในการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา3 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 นั้นหาจำเป็นต้องกระทำโดยบุคคลคนเดียวไม่ บุคคลหลายคนอาจสมคบร่วมกันกระทำผิดได้
โจทก์ร่วมฝากเช็คอันสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือให้ ก.ไปช่วยเรียกเก็บเงินการที่ ก. นำเช็คนั้นไปเข้าบัญชีเรียกเก็บเงินจึงเป็นการทำแทนโจทก์ร่วมเพราะโจทก์ร่วมมิได้มีเจตนาที่จะโอนเช็คไปยัง ก.แต่ประการใดโจทก์ร่วมจึงยังเป็นผู้ทรงอยู่ ดังนี้เมื่อเช็คฉบับดังกล่าวถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินโจทก์ร่วมจึงเป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 123 บัญญัติไว้ใจความว่า คำร้องทุกข์นั้นต้องปรากฏชื่อและที่อยู่ของผู้ร้องทุกข์ลักษณะแห่งความผิด พฤติการณ์ต่าง ๆ ที่ความผิดนั้นได้กระทำลง ความเสียหายที่ได้รับและชื่อหรือรูปพรรณของผู้กระทำผิดเท่าที่จะบอกได้ ดังนี้เมื่อผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนว่าจำเลยที่ 1 กับพวกได้กระทำผิดต่อโจทก์ร่วม (ผู้เสียหาย)เมื่อปรากฏต่อมาว่าพวกของจำเลยที่ 1 มีจำเลยที่ 2 ร่วมอยู่ด้วย ก็ถือว่าได้มีการร้องทุกข์สำหรับจำเลยที่ 2 แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3716/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานฉ้อโกง: ผู้เสียหายต้องถูกกระทำโดยตรง, ความเสียหายเกิดจากการหลอกลวง ไม่ใช่การจ่ายเงินตามสัญญา
ในคดีอาญาที่ราษฎรเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นจะพิพากษายกฟ้องโดยไม่นัดไต่สวนมูลฟ้อง หรือนัดไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้องโดยไม่ไต่สวนมูลฟ้อง หรือไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้องก็ได้ทั้งสิ้น เป็นดุลพินิจในการดำเนินกระบวนพิจารณาให้คดีเสร็จสิ้นไปโดยเร็วและชอบด้วยกฎหมาย
การที่จำเลยนำบัตรเครดิต (บัตรวีซ่า) ที่โจทก์ออกให้และห้ามจำเลยใช้ ไปใช้ต่อสถานที่รับบริการบัตรเครดิตโดยปกปิดความจริงที่ควรจะต้องแจ้งว่าจำเลยไม่มีสิทธิจะใช้บัตรเครดิตดังกล่าว ทำให้โจทก์เสียหายต้องจ่ายเงินแก่สถานบริการนั้น จำเลยได้ทรัพย์สินไปเพราะการปกปิดข้อความจริงต่อเจ้าของสถานบริการ ทรัพย์สินที่จำเลยได้ไปก็มิใช่ทรัพย์สินของโจทก์ การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงโจทก์
การที่โจทก์ต้องจ่ายเงินให้แก่สถานที่รับบริการการใช้บัตรเครดิตที่จำเลยซื้อสินค้าหรือใช้บริการแทนจำเลยตามสัญญาที่โจทก์มีกับสถานที่รับบริการบัตรเครดิต เป็นความเสียหายที่โจทก์ได้รับในทางแพ่งไม่ใช่ความเสียหายที่โจทก์ได้รับจากการที่จำเลยหลอกลวงหรือปกปิดไม่แจ้งความจริงการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยตรงต่อสถานบริการนั้น ๆ กรณีไม่อาจถือได้ว่าเป็นการกระทำต่อโจทก์ แม้โจทก์จะต้องจ่ายเงินให้แก่สถานบริการ ก็ไม่ทำให้โจทก์เป็นผู้เสียหายตามมาตรา 2 (4) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3716/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำความผิดฐานฉ้อโกง: ความเสียหายโดยตรงต่อผู้รับบริการบัตรเครดิต ไม่ถือเป็นความเสียหายต่อผู้ถือบัตร
ในคดีอาญาที่ราษฎรเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นจะพิพากษายกฟ้องโดยไม่นัดไต่สวนมูลฟ้อง หรือนัดไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้องโดยไม่ไต่สวนมูลฟ้อง หรือไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้องก็ได้ทั้งสิ้นเป็นดุลพินิจในการดำเนินกระบวนพิจารณาให้คดีเสร็จสิ้นไปโดยเร็วและชอบด้วยกฎหมาย
การที่จำเลยนำบัตรเครดิต (บัตรวีซ่า) ที่โจทก์ออกให้และห้ามจำเลยใช้ ไปใช้ต่อสถานที่รับบริการบัตรเครดิตโดยปกปิดความจริงที่ควรจะต้องแจ้งว่าจำเลยไม่มีสิทธิจะใช้บัตรเครดิตดังกล่าวทำให้โจทก์เสียหายต้องจ่ายเงินแก่สถานบริการนั้น จำเลยได้ทรัพย์สินไปเพราะการปกปิดข้อความจริงต่อเจ้าของสถานบริการ ทรัพย์สินที่จำเลยได้ไปก็มิใช่ทรัพย์สินของโจทก์ การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงโจทก์
การที่โจทก์ต้องจ่ายเงินให้แก่สถานที่รับบริการการใช้บัตรเครดิตที่จำเลยซื้อสินค้าหรือใช้บริการแทนจำเลยตามสัญญาที่โจทก์มีกับสถานที่รับบริการบัตรเครดิต เป็นความเสียหายที่โจทก์ได้รับในทางแพ่งไม่ใช่ความเสียหายที่โจทก์ได้รับจากการที่จำเลยหลอกลวงหรือปกปิดไม่แจ้งความจริงการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยตรงต่อสถานบริการนั้นๆกรณีไม่อาจถือได้ว่าเป็นการกระทำต่อโจทก์ แม้โจทก์จะต้องจ่ายเงินให้แก่สถานบริการ ก็ไม่ทำให้โจทก์เป็นผู้เสียหายตามมาตรา 2(4) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3716/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำที่เข้าข่ายฉ้อโกงหรือไม่ และการเป็นผู้เสียหายในคดีอาญา พิจารณาจากความเสียหายที่เกิดขึ้นโดยตรง
ในคดีอาญาที่ราษฎรเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นจะพิพากษายกฟ้องโดยไม่นัดไต่สวนมูลฟ้องหรือนัดไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้องโดยไม่ไต่สวนมูลฟ้องหรือไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้องก็ได้ทั้งสิ้นเป็นดุลพินิจในการดำเนินกระบวนพิจารณาให้คดีเสร็จสิ้นไปโดยเร็วและชอบด้วยกฎหมาย การที่จำเลยนำบัตรเครดิต(บัตรวีซ่า)ที่โจทก์ออกให้และห้ามจำเลยใช้ไปใช้ต่อสถานที่รับบริการบัตรเครดิตโดยปกปิดความจริงที่ควรจะต้องแจ้งว่าจำเลยไม่มีสิทธิจะใช้บัตรเครดิตดังกล่าวทำให้โจทก์เสียหายต้องจ่ายเงินแก่สถานบริการนั้นจำเลยได้ทรัพย์สินไปเพราะการปกปิดข้อความจริงต่อเจ้าของสถานบริการทรัพย์สินที่จำเลยได้ไปก็มิใช่ทรัพย์สินของโจทก์การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงโจทก์ การที่โจทก์ต้องจ่ายเงินให้แก่สถานที่รับบริการการใช้บัตรเครดิตที่จำเลยซื้อสินค้าหรือใช้บริการแทนจำเลยตามสัญญาที่โจทก์มีกับสถานที่รับบริการบัตรเครดิตเป็นความเสียหายที่โจทก์ได้รับในทางแพ่งไม่ใช่ความเสียหายที่โจทก์ได้รับจากการที่จำเลยหลอกลวงหรือปกปิดไม่แจ้งความจริงการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยตรงต่อสถานบริการนั้นๆกรณีไม่อาจถือได้ว่าเป็นการกระทำต่อโจทก์แม้โจทก์จะต้องจ่ายเงินให้แก่สถานบริการก็ไม่ทำให้โจทก์เป็นผู้เสียหายตามมาตรา2(4)แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3152/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีฟ้องเท็จ: ผู้ถูกฟ้องเท็จเป็นผู้เสียหายโดยตรง มีอำนาจฟ้องคดีอาญาได้
การที่จำเลยนำความเท็จมาฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญาซึ่งเป็นการฟ้องเท็จนั้นโจทก์ย่อมเป็นผู้ที่ได้รับความเสียหายโดยตรงจากการกระทำความผิดฐานฟ้องเท็จของจำเลยโจทก์จึงเป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาฐานฟ้องเท็จตามป.อ.มาตรา175ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3152/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีฟ้องเท็จ: โจทก์ในคดีฟ้องเท็จมีสิทธิฟ้องจำเลยฐานฟ้องเท็จได้โดยตรง
การที่จำเลยนำความเท็จมาฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญาซึ่งเป็นการฟ้องเท็จนั้นโจทก์ย่อมเป็นผู้ที่ได้รับความเสียหายโดยตรงจากการกระทำความผิดฐานฟ้องเท็จของจำเลยโจทก์จึงเป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาฐานฟ้องเท็จตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา175ได้.
of 130