คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 172 วรรคสอง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 735 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2902/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์: การครอบครองต้องสงบ เปิดเผย และต่อเนื่อง หากมีบุคคลอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องสิทธิอาจถูกกระทบ
คำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินกล่าวว่า ผู้ร้องทั้งสองได้ครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 2645 ย่อมมีความหมายว่า ผู้ร้องทั้งสองได้ร่วมกันครอบครองที่ดินทั้งโฉนด ไม่จำต้องระบุเนื้อที่ดินความกว้างยาว อาณาเขต หรือแนบสำเนาโฉนดมา และที่กล่าวว่าได้ครอบครองเป็นเวลาเกินกว่าสิบปีแล้ว ก็มีความหมายว่าได้ครอบครองติดต่อกันมาจนถึงวันยื่นคำร้องขอเกินกว่าสิบปี เป็นการเริ่มครอบครองเมื่อก่อนสิบปี เป็นคำร้องขอที่ชัดแจ้งตาม ป.วิ.พ.มาตรา 172 แล้วไม่เคลือบคลุม ตามคำร้องขอกล่าวว่าผู้ร้องทั้งสองได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์ขอให้ศาลไต่สวนและมีคำสั่งรับรองกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องทั้งสองอันเป็นการจะต้องใช้สิทธิทางศาล ผู้ร้องทั้งสองหาได้กล่าวว่ามีบุคคลใดโต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่ของผู้ร้องทั้งสองอันจะต้องทำเป็นคำฟ้องบุคคลผู้โต้แย้งสิทธิไม่ผู้ร้องทำเป็นคำร้องขอชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 188 แล้ว ที่ดินพิพาทมีการจดทะเบียนเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินตลอดมาเกือบทุกปีนับแต่ที่ฝ่ายผู้ร้องอ้างว่าได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทการอ้างว่าได้เข้าครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของจึงถูกกระทบสิทธิมาตลอด ไม่ถือว่าเป็นการครอบครองโดยความสงบด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาสิบปีตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 1382 การครอบครองที่ดินพิพาทหลังจากผู้คัดค้านจดทะเบียนรับโอนมาจนถึงวันยื่นคำร้องขอก็ยังไม่ครบสิบปี แม้จะฟังว่าฝ่ายผู้ร้องได้ครอบครองทำกินในที่ดินพิพาทมาโดยตลอด ผู้ร้องทั้งสองก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2045/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องและการบรรยายฟ้องชัดแจ้งในคดีกู้ยืมเงิน
สามีโจทก์เข้ารับดำเนินคดีแทนโจทก์ตามหนังสือมอบอำนาจ โดยลงลายมือชื่อเป็นผู้รับมอบอำนาจ และเป็นผู้ลงลายมือชื่อแต่งทนายโจทก์ให้ดำเนินคดี พฤติการณ์ดังกล่าวของสามีโจทก์แสดงให้เห็นว่าสามีโจทก์ยินยอมให้โจทก์ฟ้องคดีแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2524 จำเลยกู้เงินโจทก์ไปตามสำเนาหนังสือกู้เงินเอกสารท้ายฟ้อง แม้ในสำเนาสัญญากู้เงินจะมีข้อความว่ากู้เงินไป พ.ศ. 24 ก็เป็นคำฟ้องที่ไม่เคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1974/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาด: ภรรยาเจ้าของทรัพย์ต้องแสดงส่วนเกี่ยวข้องกับทรัพย์
ผู้ร้องบรรยายในคำร้องแต่เพียงว่า ผู้ร้องเป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์ที่ถูกโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดออกขายทอดตลาดเท่านั้น มิได้บรรยายให้เห็นว่าผู้ร้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับทรัพย์ดังกล่าวอย่างใด จึงถือไม่ได้ว่าผู้ร้องมีส่วนได้เสียในวิธีบังคับคดีอันเกี่ยวด้วยทรัพย์สินอย่างใดอย่างหนึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 280 ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอให้ศาลเพิกถอนการขายทอดตลาดตามมาตรา 296 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1620/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความไม่ใช่ส่วนประกอบของฟ้อง โจทก์ไม่ต้องระบุเหตุที่ฟ้องคดีเกิน 1 ปี หากพิสูจน์ได้ว่าฟ้องภายในระยะเวลาที่รู้ถึงการละเมิด
เรื่องอายุความหาใช่สภาพแห่งข้อหาไม่ โจทก์ไม่จำเป็นต้องกล่าวมาในฟ้องว่า คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความเพราะเหตุใดเมื่อฟ้องของโจทก์ได้ระบุมาโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับแล้ว จึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ แม้โจทก์จะฟ้องคดีเมื่อเกิน 1 ปี นับแต่วันที่จำเลยทำละเมิดโดยมิได้บรรยายว่า เหตุใดโจทก์จึงมีสิทธิฟ้องคดีเกิน 1 ปีได้แต่โจทก์ก็ได้นำสืบให้เห็นแล้วว่าโจทก์ฟ้องคดีเมื่อยังไม่พ้น 1 ปีนับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1620/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องคดีแพ่ง: โจทก์ไม่จำเป็นต้องระบุเหตุที่ฟ้องคดีเกิน 1 ปี หากมีหลักฐานแสดงว่าฟ้องภายในกำหนด
เรื่องอายุความนั้นหาใช่สภาพแห่งข้อหาไม่ เมื่อฟ้องของโจทก์ได้ระบุมาโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับแล้ว แม้โจทก์ไม่ได้กล่าวมาในฟ้องว่าคดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความเพราะเหตุใดก็เป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง แล้ว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1136/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ สิทธิในการสืบพยานจำกัด ประเด็นข้อพิพาทจำกัดเฉพาะข้ออ้างในฟ้อง
เมื่อศาลสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ จำเลยมีสิทธิเพียงอ้างตนเองเป็นพยานกับซักค้านพยานโจทก์ได้เท่านั้น ไม่มีสิทธิอ้างพยานเอกสารมาสืบ จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ และศาลชั้นต้นไม่ได้อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ ประเด็นข้อพิพาทคงเกิดจากข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามฟ้องโจทก์ที่ว่าสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่เท่านั้น ไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยเป็นผู้ได้ไปซึ่งสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1120/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องร่วมกันในคดีละเมิด และความชัดเจนของคำฟ้องเกี่ยวกับค่าเสียหายของโจทก์แต่ละคน
โจทก์ทั้งสี่ฟ้องให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดจากมูลละเมิดที่เกิดขึ้นในคราวเดียวกัน โจทก์ทั้งสี่ย่อมมีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดี จึงฟ้องคดีร่วมกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 59 แม้มูลหนี้เกิดจากการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 ในคราวเดียวกันแต่ความเสียหายที่จำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดต่อโจทก์แต่ละคนย่อมต้องแล้วแต่ผลแห่งละเมิดที่โจทก์แต่ละคนได้รับจากมูลละเมิดนั้นในส่วนที่เกี่ยวกับค่าเสียหาย โจทก์จึงมิได้เป็นเจ้าหนี้จำเลยทั้งสองร่วมกัน ดังนั้นโจทก์จึงต้องบรรยายฟ้องให้ชัดเจนว่าโจทก์แต่ละคนมีสิทธิจะได้ค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองเท่าใดการที่โจทก์บรรยายฟ้องให้จำเลยทั้งสองรับผิดรวมกันชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ถือได้ว่าเป็นการบรรยายคำขอบังคับไม่แจ้งชัดคำฟ้องของโจทก์จึงเคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 751/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การได้รับยกเว้นการตรวจสอบภาษีตาม พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติม ป.รัษฎากร ต้องยื่นคำขอและชำระภาษีตามเกณฑ์ที่กำหนด
ผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากรจะได้รับยกเว้นการเรียกตรวจสอบไต่สวนประเมินหรือสั่งให้เสียภาษีอากรตามมาตรา 30 แห่ง พ.ร.ก. แก้ไขเพิ่มเติม ป.รัษฎากร (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2529 นั้น จะต้อง เป็นผู้ที่ ได้ยื่นคำขอเสียภาษีอากรตามแบบที่อธิบดีกรมสรรพากร กำหนดภายในเดือนกรกฎาคม 2529 และได้ชำระภาษีอากรตามจำนวนที่ ต้องเสียภายในระยะเวลาและหลักเกณฑ์ที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด ซึ่งต้องไม่เกินสองปีนับแต่วันที่ยื่นคำขอ แต่ตามคำฟ้องไม่ปรากฏว่า โจทก์ได้ยื่นคำขอเสียภาษีและชำระภาษีตามหลักเกณฑ์และภายในระยะเวลา ตามพระราชกำหนด ดังกล่าว โดยโจทก์ยังคงกล่าวอ้างและยืนยันในคำฟ้องปฏิเสธว่า โจทก์ไม่มีเงินได้และไม่ได้กระทำการค้าที่จะต้องเสียภาษีกรณีของโจทก์จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะได้รับยกเว้นการเรียกตรวจสอบไต่สวน ประเมินหรือมีคำสั่งให้เสียภาษีตามพระราชกำหนดดังกล่าว คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่ไม่อาจรับไว้พิจารณาพิพากษาได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 599/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญายืมสิ่งของ, การผิดนัดชำระหนี้, และการฟ้องเรียกทรัพย์คืน พร้อมดอกเบี้ย
แม้ในใบยืมของระบุว่า หากจำเลยไม่ชดใช้สิ่งของที่ยืมไปก็ขอ ชดใช้เป็นเงินสด หากบิดพลิ้วยอมให้บริษัทดำเนินคดี ยอมชดใช้ ดอกเบี้ยให้บริษัท ว. โดยไม่ได้ระบุให้ชดใช้แก่โจทก์ก็ตามการที่โจทก์อ้างว่าโจทก์มิใช่ตัวแทนของบริษัท ว. แต่โจทก์ได้โควต้าขายใบยาสูบให้บริษัท ว. โดยโจทก์ต้องซื้อปุ๋ย ยาฆ่าแมลงยาบำรุงต่าง ๆ ทั้งยังมีผู้จัดการบริษัท ว. มาเบิกความรับรองและข้างบนใบยืมของระบุว่าจำเลยยืมสิ่งของจากโจทก์และจำเลยลงชื่อ ผู้ยืมไว้กับโจทก์มีใบส่งสินค้าระบุชื่อร้านโจทก์ซึ่งระบุข้อความ ว่าจำเลยยืมของโจทก์ โจทก์นำใบยืมของบริษัท ว. มาใช้เพราะเพิ่งทำกิจการยาสูบเป็นครั้งแรก ดังนี้ โจทก์เบิกความและอธิบาย ผสมเหตุผลมีน้ำหนักฟังได้ว่าโจทก์มิใช่ตัวแทนบริษัท ว. จำเลยฎีกาว่าศาลชั้นต้นไม่รับฟังพยานเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.4เพราะจำเลยไม่ถามค้านขณะโจทก์เบิกความและไม่ส่งสำเนาให้ โจทก์ก่อนสืบพยาน 3 วัน เป็นการคลาดเคลื่อน ความจริงจำเลยได้ ถามค้าน พยานโจทก์ไว้เกี่ยวกับเอกสารหมาย ล.1 และ ล.2 จึงรับฟัง เป็นพยานหลักฐานได้ แต่จำเลยอุทธรณ์เรื่องเกี่ยวกับเอกสารดังกล่าว และศาลอุทธรณ์ภาค 2วินิจฉัยว่าการที่จำเลยอ้างในคำให้การว่าจำเลย เป็นนายหน้าบริษัท ว.โจทก์เป็นตัวแทนของเขตจังหวัดพิจิตร เมื่อจำเลยรับของโจทก์ให้จำเลยเซ็นชื่อในใบยืมเพื่ออำพรางการเป็น นายหน้าไม่ประสงค์จะผูกพันนั้น ขัดต่อเหตุผลจะรับฟังเอกสาร หมาย ล.1 ถึง ล.4 เป็นพยานได้หรือไม่ก็ตามไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลง ข้อวินิจฉัยข้างต้นว่าไม่จำต้องวินิจฉัย ดังนี้จำเลยมิได้ฎีกา คัดค้านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ในเรื่องนี้ไว้ศาลฎีกาจึง ไม่วินิจฉัยให้ การที่จำเลยยืมปุ๋ย ยาบำรุงใบยาสูบ และยาฆ่าแมลงจากโจทก์เพื่อทำใบยาสูบ ไม่ว่าจำเลยจะทำเองหรือไม่ เมื่อในใบยืมของไม่ได้กำหนดเวลาคืนสิ่งของไว้แต่ตามพฤติการณ์การให้ยืมสิ่งของดังกล่าวเพื่อใช้ในฤดูทำใบยาสูบ เมื่อสิ้นฤดูแล้วต้องส่งคืนหากใช้ไม่หมดส่วนที่ใช้แล้วไม่อาจส่งคืนได้ก็ต้องใช้ราคา เชื่อว่าจำเลยตกลง กับโจทก์ไว้ว่าต้องส่งคืนสิ่งของเมื่อสิ้นฤดูกาลทำใบยาสูบ ซึ่ง อนุมานได้ว่า ภายในสิ้นเดือนเมษายน 2526 เป็นกรณีที่ไม่ได้กำหนด เวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน การที่จำเลยไม่ส่งคืนของภายใน สิ้นเดือนเมษายน 2526จึงยังไม่ตกเป็นผู้ผิดนัด ต่อมาเมื่อโจทก์ มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยคืนของที่ยืมภายในวันที่ 11 เมษายน 2529 จำเลยไม่คืน จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัด นับแต่วันที่ 12 เมษายน 2529 สัญญายืมสิ่งของไม่ต้องปิดอากรแสตมป์เพราะมิได้กำหนดไว้ ในบัญชีอัตราอากรแสตมป์ ท้ายหมวด 6 แห่งประมวลรัษฎากรจึงรับฟัง เป็นพยานหลักฐานได้โดยไม่ต้องปิดแสตมป์ ไม่ต้องห้ามตาม ป.รัษฎากร มาตรา 118 แม้ในคำฟ้องจะบรรยายว่า จำเลยคืนสิ่งของแก่โจทก์บางส่วนรวมเป็นเงิน 5,790 บาท ต่อมานำเงินมาชำระค่าสิ่งของแก่โจทก์ ยังเหลือสิ่งของรวมเป็นเงิน 48,480 บาท แต่โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวทวงถาม ให้จำเลยคืนสิ่งของรวม 81,870 บาท นั้น ในหนังสือบอกกล่าวท้ายฟ้อง แสดงรายละเอียดของทรัพย์ที่จำเลยยืมโจทก์ไป 6 รายการ เป็นเงิน 48,480บาท ตรงตามฟ้อง ไม่รวมรายการที่ 7 ค่ากรรมกรขนของ คำฟ้อง กับคำบอกกล่าวจึงไม่ขัดกัน และจำเลยก็เข้าใจข้อหาต่อสู้คดี ได้ถูกต้องคำฟ้องโจทก์ แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา และ คำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ฟ้องโจทก์ ไม่เคลือบคลุม.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6389/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค้ำประกันทรัสต์รีซีท - ดอกเบี้ย - ผิดนัด - สิทธิเรียกร้อง - ไม่ต้องบอกกล่าว
จำเลยที่ 3 แถลงต่อศาลชั้นต้นว่าจะสืบ ต. ในประเด็นว่าโจทก์โดย ต. มิได้บอกกล่าวทวงถามชำระหนี้จากจำเลยที่ 1 ก่อนแต่จำเลยที่ 3 มิได้ให้การข้อที่จะขอนำสืบ ต. ดังกล่าวเป็นประเด็นไว้ ที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าการสืบ ต. เป็นเรื่องฟุ่มเฟือยไร้สาระให้งดสืบนั้น จึงชอบแล้ว แม้โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาทรัสต์รีซีทภายใต้เล็ตเตอร์ออฟเครดิตเลขที่ 371391/355 และมีหนังสือทวงถามถึงจำเลยที่ 1 ให้ชำระหนี้แก่โจทก์ตามสัญญาทรัสต์รีซีทภายใต้เล็ตเตอร์ออฟเครดิต เลขที่ 271391/355 แต่ภายหลังจำเลยที่ 3ยื่นคำให้การแล้วโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องโดยขอแก้เป็นว่าทำสัญญาทรัสต์รีซีทภายใต้เล็ตเตอร์ออฟเครดิตเลขที่ 271391/355 จำเลยที่ 3 ไม่ได้คัดค้านและศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตแล้ว จึงไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นที่ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ สัญญาทรัสต์รีซีทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 มีข้อความระบุว่าจำเลยที่ 1 ยินยอมผูกพันตามข้อสัญญาในการออกเล็ตเตอร์ออฟเครดิตสำหรับการสั่งซื้อสินค้ารายนี้ ซึ่งก็คือสัญญาเล็ตเตอร์ออฟเครดิตระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ตามฟ้อง สัญญาทรัสต์รีซีทกับสัญญาเล็ตเตอร์ออฟเครดิตดังกล่าวจึงเป็นสัญญาที่ต่อเนื่องกัน เมื่อจำเลยที่ 1 ยอมจ่ายเงินที่โจทก์ได้จ่ายไปตามสัญญาเล็ตเตอร์ออฟเครดิตกับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี นับแต่วันที่ลงบนตั๋วแลกเงินถึงวันที่จ่ายจริง แม้การทำสัญญาทรัสต์รีซีทจะไม่มีการตกลงกันเกี่ยวกับดอกเบี้ย จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ในฐานะผู้ค้ำประกันก็ต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยในอัตราตามสัญญาเล็ตเตอร์ออฟเครดิต โจทก์บอกกล่าวทวงถามจำเลยที่ 1 แล้ว แต่จำเลยที่ 1 เพิกเฉยต้องฟังว่าจำเลยที่ 1 ผิดนัดแล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันชำระหนี้ได้ทันที โดยไม่ต้องบอกกล่าวก่อน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 686 จึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าโจทก์แจ้งให้จำเลยที่ 3 ชำระหนี้แล้วหรือไม่.
of 74