พบผลลัพธ์ทั้งหมด 735 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6218/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความเช็ค, การสลักหลัง, และการเป็นผู้ทรงเช็คโดยสุจริต
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาท มีจำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายแล้วมอบเช็คให้แก่ผู้มีชื่อ ต่อมาผู้มีชื่อสลักหลังและส่งมอบให้แก่โจทก์เพื่อเป็นการชำระหนี้ เมื่อเช็คถึงกำหนด ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน ขอให้บังคับใช้เงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ย ดังนี้เป็นการบรรยายโดยแจ้งชัด ซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาส่วนที่จำเลยจะมอบเช็คพิพาทแก่ใครเมื่อใดและผู้มีชื่อเป็นใครมอบเช็คพิพาทให้แก่โจทก์เมื่อใดนั้นเป็นเพียงรายละเอียดที่จะต้องนำสืบในชั้นพิจารณาต่อไป ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม เช็คพิพาทไม่ได้ลงวันออกเช็ค โจทก์รับสลักหลังด้วยการเข้าใช้เงินและรับเช็คพิพาทมาเมื่อต้นปี 2530 และลงวันที่ 19 พฤษภาคม2530 ในเช็คพิพาทเป็นกรณีที่โจทก์ในฐานะผู้ทรงทำการโดยสุจริตจดวันตามที่ถูกต้องแท้จริงลงในเช็คพิพาทตาม ป.พ.พ. มาตรา 910วรรคห้า ประกอบด้วยมาตรา 989 ดังนี้ อายุความฟ้องจำเลยผู้สั่งจ่าย1 ปี นับแต่วันที่ลงในเช็ค เช็คระบุชื่อผู้รับเงินย่อมโอนให้กันได้ด้วยการสลักหลังและการสลักหลังย่อมสมบูรณ์แม้ทั้งมิได้ระบุชื่อผู้รับประโยชน์ไว้ด้วยตาม ป.พ.พ. มาตรา 919 ประกอบด้วยมาตรา 989 ดังนั้นการที่ผู้สลักหลังมิได้ระบุชื่อโอนให้แก่ใครก็มีผลสมบูรณ์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6013/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการวินิจฉัยพินัยกรรมปลอม และสิทธิผู้รับพินัยกรรม/ทายาทโดยธรรมในการเป็นผู้จัดการมรดก
ผู้ร้องอ้างสิทธิในคำร้องขอจัดการมรดกว่าร้องขอในฐานะที่ผู้ร้องเป็นผู้รับพินัยกรรม มิได้ร้องขอในฐานะทายาทโดยธรรมด้วย เมื่อผู้คัดค้านอ้างในคำคัดค้านว่าพินัยกรรมดังกล่าวผู้ร้องทำปลอมขึ้นปัญหาว่าพินัยกรรมปลอมหรือไม่ย่อมเป็นประเด็นที่จำต้องวินิจฉัยเพราะหากพินัยกรรมที่ผู้ร้องอ้างเป็นพินัยกรรมที่ผู้ร้องทำปลอมขึ้นผู้ร้องย่อมถูกกำจัดมิให้รับมรดกฐานเป็นผู้ไม่สมควรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1606(5) จึงไม่มีอำนาจร้องขอต่อศาลให้ตั้งผู้จัดการมรดก แม้ศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยประเด็นข้อนี้ผู้ร้องซึ่งเป็นฝ่ายแพ้คดีในศาลชั้นต้นก็มีสิทธิที่จะอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ก็ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยประเด็นข้อนี้ ซึ่งเป็นประเด็นแห่งคดีที่ถูกต้องได้ ท. ซึ่งมีสิทธิรับมรดกตามพินัยกรรมข้อ 9 และข้อ 10 ตายก่อนเจ้ามรดก ข้อกำหนดในพินัยกรรมส่วนนี้จึงเป็นอันตกไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1698(1) และต้องบังคับตามมาตรา 1699 ประกอบมาตรา 1620 วรรคสอง กล่าวคือต้องตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมของเจ้ามรดก ซึ่งรวมทั้งผู้คัดค้าน ผู้คัดค้านในฐานะทายาทโดยธรรมของเจ้ามรดกจึงมีสิทธิร้องขอให้ศาลตั้งผู้จัดการมรดกได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1713 การตั้งผู้จัดการมรดกนั้น ศาลย่อมใช้ดุลพินิจคำนึงถึงความเหมาะสมหรือพฤติการณ์เพื่อประโยชน์แก่กองมรดกข้อเท็จจริงปรากฏว่าผู้คัดค้านมีความประพฤติดีไม่เคยทำร้ายหรือเป็นหนี้เจ้ามรดกดังคำพยานผู้ร้อง ส่วนข้อที่ผู้คัดค้านอ้างเป็นเหตุไม่สมควรตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกก็เป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อผู้ร้องและผู้คัดค้านต่างมีคุณสมบัติไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1718 จึงสมควรตั้งผู้ร้องและ ผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกัน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5609/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินภาษีโดยชอบด้วยกฎหมาย การมีหนี้สินล้นพ้นตัว และการพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด
ฟ้องโจทก์บรรยายว่ามีเหตุอันควรเชื่อว่าจำเลยแสดงแบบยื่นรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง และยื่นแบบแสดงรายการการค้าไว้ต่ำกว่ายอดรายรับขั้นต่ำซึ่งเจ้าพนักงานประเมินภาษีการค้าได้กำหนดไว้ เจ้าพนักงานประเมินจึงได้หมายเรียกจำเลยให้นำบัญชีพร้อมเอกสารประกอบการลงบัญชีปี 2515 ถึง 2523มา ตรวจสอบภาษี จำเลยไม่มาพบและไม่นำบัญชีมาให้เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบ เจ้าพนักงานประเมินอาศัยอำนาจตามมาตรา 87,87 ทวิแห่ง ป. รัษฎากร ทำการประเมินเรียกเก็บภาษีใหม่พร้อมทั้งเบี้ยปรับและเงินเพิ่มเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 5,469,805.71 บาทจำเลยไม่มีทรัพย์ใดที่จะยึดมาชำระหนี้ได้ โจทก์ได้ทวงถามจำเลยให้ชำระแล้วสองครั้งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่าสามสิบวัน จำเลยไม่ชำระจำเลยจึงมีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยล้มละลาย ดังนี้ ฟ้องโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามที่กฎหมายบัญญัติไว้แล้ว ส่วนรายละเอียดต่าง ๆตามฎีกาของจำเลยนั้น โจทก์อาจนำสืบได้ในชั้นพิจารณาไม่จำต้องบรรยายมาในฟ้อง ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม โจทก์มีทั้งพยานบุคคลและพยานเอกสารมายืนยันว่าจำเลยได้รับหมายเรียกจากเจ้าพนักงานประเมินของโจทก์และโจทก์ได้แจ้งกำหนดรายรับขั้นต่ำให้จำเลยทราบแล้ว พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อ ส่วนจำเลยมิได้นำสืบหักล้างให้เห็นเป็นอย่างอื่นข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า เจ้าพนักงานประเมินได้ทำการประเมินภาษีจำเลยโดยชอบด้วย ป.รัษฎากร มาตรา 19,21 และจำเลยเป็นหนี้ค่าภาษีโจทก์ตามการประเมินดังกล่าว การประเมินภาษีการค้าและภาษีเงินได้นิติบุคคลในรอบระยะเวลาบัญชีประจำปี 2519 เจ้าพนักงานประเมินได้แจ้งจำนวนเงินภาษีที่ประเมินไปยังจำเลยแล้ว อันมีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตาม ป.พ.พ.มาตรา 173 นับแต่วันที่แจ้งดังกล่าวจนถึงวันฟ้องยังไม่เกิน 10 ปีสิทธิเรียกร้องของโจทก์ในหนี้ค่าภาษีอากรปี 2519 จึงไม่ขาดอายุความ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5396/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินภาษี: เงินจากสมาชิก vs. เงินบริจาค/ให้โดยเสน่หา ต้องพิจารณาประเภทรายได้ให้ถูกต้องตามกฎหมาย
สำหรับจำเลยที่ 1 โจทก์ระบุในคำฟ้องว่า "สรรพากรจังหวัด กำแพงเพชร" อันเป็นการฟ้องบุคคลผู้ดำรงตำแหน่ง ดังกล่าว ซึ่งย่อมหมายถึงผู้ดำรงตำแหน่งในขณะที่ฟ้อง ส่วนจำเลย ที่ 6 โจทก์ระบุว่า"กรมสรรพากร" อันเป็นการฟ้องส่วนราชการ ที่เป็นนิติบุคคลซึ่งย่อมต้องมีผู้แทนดำเนินการอยู่ในตัวตามกฎหมาย อยู่แล้ว แม้คำฟ้องของโจทก์จะมิได้ระบุชื่อผู้ดำรงตำแหน่งของ จำเลยที่ 1 หรือผู้แทนของจำเลยที่ 6 ก็ไม่ทำให้จำเลยเข้าใจผิด หรือเสียหายเสียเปรียบ แต่อย่างใด คำฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม เงินที่โรงงานน้ำตาลหักจากน้ำหนักอ้อยที่ชาวไร่อ้อยซึ่ง เป็น สมาชิกของสมาคมโจทก์ขายให้แก่โรงงานน้ำตาล ตามข้อบังคับ ของ โจทก์แล้วส่งมาให้โจทก์นั้นมิใช่เงินที่ชาวไร่อ้อยสมาชิก ของโจทก์ยินดีมอบให้แต่ฝ่ายเดียวอันจะเป็นการบริจาคหรือให้โดย เสน่หาแก่โจทก์ หากแต่เป็นเงินที่ถูกหักตามข้อบังคับของโจทก์ เพื่อผลตอบแทนทางธุรกิจ อันเป็นเงินได้ตามมาตรา 40(8) แห่ง ประมวลรัษฎากรจึงไม่ได้รับยกเว้น ไม่ต้องมารวมคำนวณเป็น รายได้ของโจทก์ตามมาตรา 65 ทวิ (13) และเงินที่โจทก์ได้รับจาก สหกรณ์ก็เป็นเงินที่โรงงานได้หักเงินค่าอ้อยของชาวไร่อ้อยซึ่งเป็น สมาชิกของสหกรณ์แล้วส่งเงินไปให้โจทก์ ทำนองเดียวกับเงินที่โจทก์ ได้รับจากสมาชิกจึงถือไม่ได้ว่าเงินได้จากสหกรณ์ดังกล่าวเป็นเงิน ที่โจทก์ได้รับจากการรับบริจาคหรือให้โดยเสน่หาอันจะได้รับยกเว้น ไม่ต้องนำมารวมคำนวณเป็นรายได้ เพื่อเสียภาษีตามมาตรา 65 ทวิ (13) เช่นเดียวกัน สิ่งที่ไม่ต้องนำมาคำนวณเป็นรายได้ตาม ประมวลรัษฎากร มาตรา65 ทวิ (13) มีอยู่ 3 ประเภท คือ (1) เงินค่าลงทะเบียน (2) เงินค่าบำรุงที่ได้รับจากสมาชิก (3) เงินหรือทรัพย์สิน ที่ได้รับจากการรับบริจาคหรือจากการให้โดยเสน่หา โดยเป็นเงิน หรือทรัพย์สินคนละประเภทแยกจากกัน โจทก์กล่าวในคำฟ้องว่า "เงินค่าบำรุงที่โจทก์ ได้ รับ เป็นเงินที่สมาชิกบริจาคหรือ ให้โดยเสน่หา" ย่อมมีความหมายเพียงว่า เงินเงินที่สมาชิกบริจาคหรือ ให้โดยเสน่หาเพื่อเป็นการบำรุงกิจการของโจทก์ อันเป็นเงินที่จัดอยู่ ในประเภทที่ 3 เท่านั้น มิใช่เป็นการกล่าวอ้างว่าเงินจำนวนนี้เป็น "เงินค่าบำรุง" ด้วย ทั้งตามข้อบังคับของสมาคมโจทก์ได้ระบุ ค่าบำรุงปีละ 50 บาทไว้แล้ว คดีจึงไม่มี ประเด็นประเด็นเรื่องเงินค่าบำรุง การที่จำเลยให้การปฏิเสธว่าเงินได้พิพาทไม่ใช่เงินที่โจทก์ ได้รับจากการรับบริจาคหรือการให้โดยเสน่หา แต่เป็นเงินได้ตาม มาตรา 40(8) แห่ง ประมวลรัษฎากร จำเลยย่อมมีสิทธิสืบพยานได้ ตามประเด็นที่ให้การต่อสู้ไว้ ตามมาตรา 33 แห่ง พระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลภาษีอากรฯ บัญญัติว่า ในระหว่างที่ศาลภาษีอากรจังหวัดยังมิได้เปิดทำการในท้องที่ใด ให้ศาลภาษีอากรกลางมีเขตอำนาจในท้องที่นั้นด้วย โดยเหตุนี้ เมื่อยัง มิได้มีการจัดตั้งศาลภาษีอากรจังหวัดและเปิดทำการในท้องที่ จังหวัดกำแพงเพชรศาลภาษีอากรกลางย่อมมีเขตอำนาจในท้องที่ของศาลจังหวัดกำแพงเพชรอันเป็นศาลแห่งท้องที่ ที่พนักงานอัยการจังหวัด กำแพงเพชร รับราชการประจำอยู่ด้วย เมื่อคดีนี้เกิดขึ้นในท้องที่ของศาลจังหวัดกำแพงเพชร พนักงานอัยการ จังหวัดกำแพงเพชร ซึ่งเป็นทนายจำเลย จึงมีอำนาจดำเนินคดีได้ตามมาตรา 12แห่ง พระราชบัญญัติพนักงานอัยการฯ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5396/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เงินได้จากโรงงาน/สหกรณ์ที่หักจากค่าอ้อย ไม่เข้าข่ายเงินบริจาค/บำรุง ต้องเสียภาษี
สำหรับจำเลยที่ 1 โจทก์ระบุในคำฟ้องว่า "สรรพากรจังหวัดกำแพงเพชร" อันเป็นการฟ้องบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวซึ่งย่อมหมายถึงผู้ดำรงตำแหน่งในขณะที่ฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 6โจทก์ระบุว่า "กรมสรรพากร" อันเป็นการฟ้องส่วนราชการที่เป็นนิติบุคคลซึ่งย่อมต้องมีผู้แทนดำเนินการอยู่ในตัวตามกฎหมายอยู่แล้ว แม้คำฟ้องของโจทก์จะมิได้ระบุชื่อผู้ดำรงตำแหน่งของจำเลยที่ 1 หรือผู้แทนของจำเลยที่ 6 ก็ไม่ทำให้จำเลยเข้าใจผิดหรือเสียหายเสียเปรียบแต่อย่างใด ส่วนที่เกี่ยวกับฐานะของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 6 โจทก์ก็ได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นสรรพากรจังหวัดกำแพงเพชร และจำเลยที่ 6 มีฐานะเป็นกรมในรัฐบาลสังกัดกระทรวงการคลัง มีหน้าที่จัดเก็บภาษีอากรตามประมวลรัษฎากรจึงเป็นการแสดงแจ้งชัดแล้ว คำฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม การที่โรงงานน้ำตาลถือปฏิบัติตามข้อบังคับของสมาคมโจทก์โดยคิดหักเงินจากน้ำหนักอ้อยที่ชาวไร่อ้อยซึ่งเป็นสมาชิกของโจทก์ขายให้แก่โรงงานน้ำตาล ตามอัตราที่เกิดจากข้อตกลง 3 ฝ่าย คือโจทก์กับโรงงานน้ำตาลและชาวไร่อ้อยที่เป็นสมาชิกของโจทก์ นั้นก็เพื่อจัดสรรไว้ให้โจทก์ใช้ดำเนินการในกิจการส่วนรวม สำหรับใช้สอยทำประโยชน์สาธารณะและอื่น ๆ ร่วมกัน แสดงว่าชาวไร่อ้อยที่เป็นสมาชิกของโจทก์ต้องจ่ายเงินเช่นว่านั้นให้โจทก์ตามพันธะแห่งข้อบังคับของสมาคมโจทก์และข้อตกลงร่วมกัน 3 ฝ่ายดังกล่าวเพื่อเป็นการตอบแทนแก่การที่ชาวไร่อ้อยซึ่งเป็นสมาชิกของโจทก์จะได้รับสิทธิประโยชน์จากสมาคมโจทก์ตามข้อตกลงและข้อบังคับของโจทก์นั่นเอง เงินที่โจทก์ได้รับจากการจัดสรรให้ของโรงงานน้ำตาลเช่นนี้ จึงมิใช่เงินที่ชาวไร่อ้อยสมาชิกของโจทก์ยินดีมอบให้แต่ฝ่ายเดียวอันจะเป็นการบริจาคหรือให้โดยเสน่หาแก่โจทก์ หากแต่เป็นเงินที่ถูกหักตามข้อบังคับของโจทก์เพื่อผลตอบแทนทางธุรกิจอันเป็นเงินได้ตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากร จึงไม่ได้รับยกเว้น ไม่ต้องมารวมคำนวณเป็นรายได้ของโจทก์ตามมาตรา 65 ทวิ(13)ส่วนเงินได้จากสหกรณ์ชาวไร่อ้อยเมืองกำแพงเพชร ปรากฏว่าการให้เงินของสหกรณ์กระทำโดยโรงงานได้หักเงินค่าอ้อยของชาวไร่อ้อยซึ่งเป็นสมาชิกของสหกรณ์แล้วส่งเงินไปให้โจทก์ ซึ่งมีลักษณะทำนองเดียวกับเงินที่โจทก์ได้รับจากการหักจากสมาชิก จึงถือไม่ได้ว่าเงินได้จากสหกรณ์ดังกล่าวเป็นเงินที่โจทก์ได้รับจากการรับบริจาคหรือให้โดยเสน่หา อันจะได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมารวมคำนวณเป็นรายได้เพื่อเสียภาษีตามมาตรา 65 ทวิ(13) เช่นเดียวกัน สิ่งที่ไม่ต้องนำมาคำนวณเป็นรายได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา65 ทวิ(13) มีอยู่ 3 ประเภท คือ (1) เงินค่าลงทะเบียน (2) เงินค่าบำรุงที่ได้รับจากสมาชิก (3) เงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับจากการรับบริจาคหรือจากการให้โดยเสน่หา โดยเป็นเงินหรือทรัพย์สินคนละประเภทแยกจากกัน เงินหรือทรัพย์สินรายหนึ่งรายใดจะเป็นได้แต่เพียงประเภทหนึ่งใน 3 ประเภทนี้เท่านั้น จะเป็นพร้อมกันหลายประเภทไม่ได้ ฉะนั้น เมื่อตามคำบรรยายฟ้องทั้งหมดของโจทก์กล่าวถึงเงินได้พิพาทรายเดียวคือ เงินที่รับจากโรงงานน้ำตาลซึ่งหักมาจากสมาชิกของโจทก์ผู้นำอ้อยไปขายให้แก่โรงงานน้ำตาล แม้โจทก์จะกล่าวในคำฟ้องว่า "เงินค่าบำรุงที่โจทก์ได้รับเป็นเงินที่สมาชิกบริจาคหรือให้โดยเสน่หา" ก็ย่อมมีความหมายเพียงว่าเงินที่สมาชิกบริจาคหรือให้โดยเสน่หาเพื่อเป็นการบำรุงกิจการของโจทก์จึงเป็นการกล่าวอ้างโดยมีสาระสำคัญว่าเงินจำนวนนี้เป็นเงินที่ได้รับบริจาคหรือให้โดยเสน่หา อันเป็นเงินที่จัดอยู่ในประเภทที่ 3 เท่านั้น มิใช่เป็นการกล่าวอ้างว่าเงินจำนวนนี้เป็น"เงินค่าบำรุง" ตามความหมายของบทบัญญัติมาตราดังกล่าว ทั้งตามข้อบังคับของสมาคมโจทก์ได้ระบุค่าบำรุงปีละ 50 บาท ไว้แล้วคดีจึงไม่มีประเด็นเรื่องเงินค่าบำรุงที่จำเลยทั้งหกจะต้องให้การต่อสู้ฟ้องของโจทก์อีก และการที่จำเลยทั้งหกให้การปฏิเสธโดยชัดแจ้งว่าเงินได้พิพาทไม่ใช่เงินที่โจทก์ได้รับจากการรับบริจาคหรือการให้โดยเสน่หา แต่เป็นเงินได้ตาม มาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากรจำเลยทั้งหกย่อมมีสิทธิสืบพยานได้ตามประเด็นที่ให้การต่อสู้ไว้ เมื่อยังมิได้มีการจัดตั้งศาลภาษีอากรจังหวัดและเปิดทำการในท้องที่จังหวัดกำแพงเพชร ศาลภาษีอากรกลางย่อมมีเขตอำนาจในท้องที่ของศาลจังหวัดกำแพงเพชรอันเป็นศาลแห่งท้องที่ที่พนักงานอัยการจังหวัดกำแพงเพชรรับราชการประจำอยู่ด้วย คดีนี้เกิดขึ้นในท้องที่ของศาลจังหวัดกำแพงเพชร พนักงานอัยการจังหวัดกำแพงเพชรซึ่งเป็นทนายจำเลยทั้งหกจึงมีอำนาจดำเนินคดีได้ตามมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติพนักงานอัยการ พ.ศ. 2498.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4307/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องขัดแย้ง: การให้กรรมสิทธิ์ร่วมโดยเสน่หาแล้วขอถอนคืนเนื่องจากเนรคุณ เป็นฟ้องที่ไม่ชัดเจน
คำฟ้องโจทก์ตอนแรกบรรยายว่า โจทก์มีความประสงค์ให้ กำลังใจจำเลยเพื่อให้มุมานะ ในการศึกษา จึงได้ยอมจดทะเบียนลงชื่อ โจทก์กับจำเลยร่วมกันเป็นเจ้าของที่ดินตามฟ้อง หมายความว่า โจทก์ ให้จำเลยมีกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินตามฟ้องโดยเสน่หา แต่คำฟ้อง ของโจทก์ตอนต่อมาบรรยายว่า ที่ดินตามฟ้องโจทก์ลงชื่อจำเลย ร่วมไว้โดยเสน่หา ทั้งยังไม่ได้ให้ โดยเด็ดขาด เพียงลงชื่อไว้แทนชั่วคราว และโจทก์ยังคงยึดถือครอบครองที่ดินนี้อย่างเป็นเจ้าของตลอดมา หมายความว่า โจทก์ยัง ไม่ได้ยกที่ดินให้จำเลยเด็ดขาด เพราะโจทก์ยังคงครอบครองเป็น เจ้าของแต่ผู้เดียว ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยเป็นเจ้าของร่วมในที่ดิน ที่โจทก์ยกให้ จึงเป็นฟ้องที่ขัดกันและเป็นฟ้องที่ไม่แสดงโดยแจ้งชัด ซึ่งสภาพแห่งข้อหาไม่ชอบที่ศาลจะรับไว้พิจารณา.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4287/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความชัดเจนของคำว่า 'เจ้าของ' หรือ 'ผู้ครอบครอง' ในการฟ้องร้องความเสียหายทางแพ่ง
คำว่าเจ้าของตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานหมายความว่าผู้มีกรรมสิทธิ์ผู้มีสิทธิครอบครอง ดังนั้น การที่โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครอง ก็มีความหมายเหมือนกัน ไม่ทำให้ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4287/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความหมายของคำว่า ‘เจ้าของ’ หรือ ‘ผู้ครอบครอง’ ในการฟ้องคดีความเสียหาย ไม่ทำให้ฟ้องเคลือบคลุม
คำว่าเจ้าของตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานหมายความว่า ผู้มีกรรมสิทธิ์ผู้มีสิทธิครอบครอง ดังนั้น การที่โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครอง ก็มีความหมายเหมือนกัน ไม่ทำให้ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3951/2534 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดร่วมของเจ้าของรถและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากละเมิดของลูกจ้าง รวมถึงประมาทเลินเล่อของผู้ขับขี่
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3อนุญาตให้จำเลยที่ 2 นำรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุของจำเลยที่ 2 เข้าแล่นในเส้นทางเดินรถประจำทางของจำเลยที่ 3 โดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีผลประโยชน์ร่วมกันในการเดินรถรับส่งผู้โดยสาร จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุโดยประมาทชนโจทก์ได้รับบาดเจ็บสาหัสจำเลยทั้งสามต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ แม้โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 3ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ฐานใด แต่ตามคำฟ้องแสดงชัดว่าจำเลยที่ 3 อนุญาตให้เจ้าของรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุเข้าแล่นในเส้นทางเดินรถประจำทางของจำเลยที่ 3 โดยเจ้าของรถและจำเลยที่ 3 มีผลประโยชน์ร่วมกัน เมื่อจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดในทางการที่จ้างของเจ้าของรถคันเกิดเหตุซึ่งจำเลยที่ 3 มีผลประโยชน์ร่วมด้วย ต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 ด้วย ฟ้องโจทก์ได้แสดงสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับเกี่ยวกับจำเลยที่ 3โดยชัดแจ้งแล้ว ซึ่งจำเลยที่ 3 เข้าใจข้อหาดี ได้ให้การต่อสู้ปฏิเสธความรับผิดไว้ ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
แม้โจทก์กล่าวในฟ้องให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดในฐานมีผลประโยชน์ร่วมกับจำเลยที่ 2 และข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 มีผลประโยชน์ร่วมกับบริษัท ธ. ซึ่งจำเลยที่ 2เป็นกรรมการผู้จัดการ แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างกระทำละเมิดในทางการที่จ้างของบริษัทดังกล่าว ต้องถือว่าเป็นการกระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 ด้วย ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 3 ต้องร่วมรับผิด หาใช่เป็นการวินิจฉัยนอกคำฟ้องไม่
จำเลยที่ 1 เห็นโจทก์ข้ามถนนอยู่ข้างหน้าในระยะที่สามารถชะลอความเร็วให้โจทก์เดินข้ามถนนไปได้โดยปลอดภัย แต่หาได้กระทำไม่ กลับเร่งความเร็วขึ้นเพื่อจะขับให้ผ่านพ้นโจทก์ไปก่อน แต่ไม่พ้นกลับเฉี่ยวชนโจทก์ แม้โจทก์จะข้ามถนนนอกทางม้าลายก็มิใช่หมายความว่าโจทก์ประมาทเสมอไป กรณีดังกล่าวหากจำเลยที่ 1 ชะลอความเร็วลง เหตุย่อมไม่เกิดขึ้น ทั้งไม่ปรากฏว่าโจทก์มีส่วนประมาทด้วย จึงต้องฟังว่าจำเลยที่ 1 ประมาทฝ่ายเดียว
แม้โจทก์กล่าวในฟ้องให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดในฐานมีผลประโยชน์ร่วมกับจำเลยที่ 2 และข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 มีผลประโยชน์ร่วมกับบริษัท ธ. ซึ่งจำเลยที่ 2เป็นกรรมการผู้จัดการ แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างกระทำละเมิดในทางการที่จ้างของบริษัทดังกล่าว ต้องถือว่าเป็นการกระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 ด้วย ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 3 ต้องร่วมรับผิด หาใช่เป็นการวินิจฉัยนอกคำฟ้องไม่
จำเลยที่ 1 เห็นโจทก์ข้ามถนนอยู่ข้างหน้าในระยะที่สามารถชะลอความเร็วให้โจทก์เดินข้ามถนนไปได้โดยปลอดภัย แต่หาได้กระทำไม่ กลับเร่งความเร็วขึ้นเพื่อจะขับให้ผ่านพ้นโจทก์ไปก่อน แต่ไม่พ้นกลับเฉี่ยวชนโจทก์ แม้โจทก์จะข้ามถนนนอกทางม้าลายก็มิใช่หมายความว่าโจทก์ประมาทเสมอไป กรณีดังกล่าวหากจำเลยที่ 1 ชะลอความเร็วลง เหตุย่อมไม่เกิดขึ้น ทั้งไม่ปรากฏว่าโจทก์มีส่วนประมาทด้วย จึงต้องฟังว่าจำเลยที่ 1 ประมาทฝ่ายเดียว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3951/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดร่วมของนายจ้างต่อละเมิดของลูกจ้าง แม้มิได้บรรยายฟ้องฐานนั้นโดยตรง หากมีเหตุรับผิดตามกฎหมาย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2จำเลยที่ 3 อนุญาตให้จำเลยที่ 2 นำรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุของจำเลยที่ 2 เข้าแล่นในเส้นทางเดินรถประจำทางของจำเลยที่ 3 โดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีผลประโยชน์ร่วมกันในการเดินรถรับส่งผู้โดยสารจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุโดยประมาทชนโจทก์ได้รับบาดเจ็บสาหัส จำเลยทั้งสามต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์แม้โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 3 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ฐานใด แต่ตามคำฟ้องแสดงชัดว่าจำเลยที่ 3 อนุญาตให้เจ้าของรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุเข้าแล่นในเส้นทางเดินรถประจำทางของจำเลยที่ 3 โดยเจ้าของรถและจำเลยที่ 3 มีผลประโยชน์ร่วมกันเมื่อจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดในทางการที่จ้างของเจ้าของรถคันเกิดเหตุซึ่งจำเลยที่ 3 มีผลประโยชน์ร่วมด้วย ต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 ด้วย ฟ้องโจทก์ได้แสดงสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับเกี่ยวกับจำเลยที่ 3 โดยชัดแจ้งแล้วซึ่งจำเลยที่ 3 เข้าใจข้อหาดี ได้ให้การต่อสู้ปฏิเสธความรับผิดไว้ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม แม้โจทก์กล่าวในฟ้องให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดในฐานมีผลประโยชน์ร่วมกับจำเลยที่ 2 และข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 มีผลประโยชน์ร่วมกับบริษัท ธ. ซึ่งจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้จัดการ แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างกระทำละเมิดในทางการที่จ้างของบริษัทดังกล่าว ต้องถือว่าเป็นการกระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 ด้วยที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 3 ต้องร่วมรับผิด หาใช่เป็นการวินิจฉัยนอกคำฟ้องไม่ จำเลยที่ 1 เห็นโจทก์ข้ามถนนอยู่ข้างหน้าในระยะที่สามารถชะลอความเร็วให้โจทก์เดินข้ามถนนไปได้โดยปลอดภัย แต่หาได้กระทำไม่กลับเร่ง ความเร็วขึ้นเพื่อจะขับให้ผ่านพ้นโจทก์ไปก่อน แต่ไม่พ้นกลับเฉี่ยวชนโจทก์ แม้โจทก์จะข้ามถนนนอกทางม้าลายก็มิใช่หมายความว่าโจทก์ประมาทเสมอไป กรณีดังกล่าวหากจำเลยที่ 1 ชะลอความเร็วลงเหตุย่อมไม่เกิดขึ้น ทั้งไม่ปรากฏว่าโจทก์มีส่วนประมาทด้วยจึงต้องฟังว่าจำเลยที่ 1 ประมาทฝ่ายเดียว.