พบผลลัพธ์ทั้งหมด 735 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3200/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีเพิกถอนโอนที่ดินรวมถึงสิ่งปลูกสร้าง ย่อมรวมถึงส่วนควบของที่ดินด้วย
คำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องของโจทก์มุ่งประสงค์บังคับถึงสิ่งปลูกสร้างที่ปลูกอยู่ในที่ดินที่พิพาทกันด้วยคำให้การของจำเลยทั้งสองมิได้ปฏิเสธว่าสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวเป็นสินส่วนตัวของจำเลยที่ 2 โดยเฉพาะ โจทก์จะเพิกถอนเอาเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ไม่ได้ และมิได้ตั้งเป็นประเด็นข้อพิพาทที่โจทก์และจำเลยจะต้องนำสืบ ทั้งสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวเป็นส่วนควบของที่ดิน จึงต้องถือว่าจำเลยทั้งสองยอมรับว่าหากมีการเพิกถอนใส่ชื่อโจทก์ในโฉนดที่ดินนั้นแล้วย่อมรวมถึงสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินด้วยฉะนั้น เมื่อศาลพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินระหว่างจำเลยทั้งสองแล้วให้ใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของร่วมกับจำเลยที่ 1 ในโฉนด ดังนี้ ย่อมหมายความรวมถึงสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินตามโฉนดดังกล่าวด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3200/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการโอนที่ดินรวมถึงสิ่งปลูกสร้าง ย่อมถือว่าเป็นการเพิกถอนกรรมสิทธิ์ในส่วนควบของที่ดินด้วย
คำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องของโจทก์มุ่งประสงค์บังคับถึงสิ่งปลูกสร้างที่ปลูกอยู่ในที่ดินที่พิพาทกันด้วย คำให้การของจำเลยทั้งสองมิได้ปฏิเสธว่าสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวเป็นสินส่วนตัวของจำเลยที่ 2 โดยเฉพาะ โจทก์จะเพิกถอนเอาเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ไม่ได้ และมิได้ตั้งเป็นประเด็นข้อพิพาทที่โจทก์และจำเลยจะต้องนำสืบ ทั้งสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวเป็นส่วนควบของที่ดินจึงต้องถือว่าจำเลยทั้งสองยอมรับว่าหากมีการเพิกถอนใส่ชื่อโจทก์ในโฉนดที่ดินนั้นแล้วย่อมรวมถึงสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินด้วย ฉะนั้น เมื่อศาลพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินระหว่างจำเลยทั้งสองแล้วให้ใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของร่วมกับจำเลยที่ 1 ในโฉนด ดังนี้ ย่อมหมายความรวมถึงสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินตามโฉนดดังกล่าวด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3056/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับผิดในสัญญาประกันภัยและการระบุตัวนิติบุคคลผู้เอาประกันภัยที่ถูกต้อง
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ให้รับผิดในมูลละเมิดซึ่งเกิดจากการกระทำในทางการที่จ้างของลูกจ้างจำเลยที่ 1 แต่บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด ก ความจริงจำเลยที่ 1 จดทะเบียนเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล ก และข้อเท็จจริงฟังได้ว่าไม่มีการจดทะเบียนในนามห้างหุ้นส่วนจำกัด ก เช่นนี้จึงเป็นเพียงโจทก์ฟ้องโดยเรียกชื่อประเภทนิติบุคคลของจำเลยที่ 1 ผิดไป มิใช่เป็นการฟ้องนิติบุคคลผิดตัวจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถคันเกิดเหตุของจำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1977/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประกันชีวิตโมฆียะ: การปกปิดอาการเจ็บป่วยและการพิจารณาความสำคัญของข้อมูล
โจทก์ฟ้องให้จำเลยใช้เงินตามสัญญาประกันชีวิต สภาพแห่งข้อหาคือสัญญาประกันชีวิต คำขอบังคับคือจำนวนเงินที่โจทก์เรียกร้อง ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาคือการที่จำเลยรับประกันชีวิต ร.ผู้ตายโดยโจทก์เป็นผู้รับประโยชน์และ ร.ตายโดยอุบัติเหตุ โจทก์ได้บรรยายฟ้องในข้อที่กล่าวนี้ชัดแจ้งถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง ฟ้องโจทก์จึงสมบูรณ์ ส่วนข้อที่ว่าสัญญาเป็นโมฆียะและจำเลยบอกล้างแล้ว เป็นเรื่องที่จำเลยจะยกขึ้นปฏิเสธฟ้องโจทก์ ซึ่งถ้าหากจำเลยยกขึ้นก็เป็นหน้าที่ของจำเลยจะต้องกล่าวโดยแจ้งชัดถึงข้อเท็จจริงที่ทำให้สัญญาประกันชีวิตเป็นโมฆียะ หาใช่หน้าที่ของโจทก์จะต้องบรรยายฟ้องแก้คำให้การของจำเลยไว้ล่วงหน้าไม่ ฉะนั้น การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าผู้ตายมิได้ป่วยด้วยโรคหืด หลอดลมหรือคออักเสบมาก่อน หรือหากเคยป่วยโดยโรคดังกล่าวมาก่อนก็มีเหตุหลายประการดังที่โจทก์บรรยายในฟ้องที่ทำให้สัญญาไม่เป็นโมฆียะ จึงเป็นการบรรยายเกินเลยจากที่กฎหมายบังคับ แม้ข้อที่ว่า ร.ป่วยจริงหรือไม่ โจทก์ยกขึ้นอ้างขัดกันก็ไม่ทำให้ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
ผู้ตายมิได้เป็นโรคหืด แต่มีอาการหอบหืดซึ่งเป็นอาการของการแพ้อากาศ และอาการดังกล่าวได้หายไปก่อนที่ผู้ตายยื่นคำขอเอาประกันชีวิตแล้ว ผู้ตายไปตรวจและรับการรักษาที่โรงพยาบาลเป็นครั้งคราวด้วยเรื่องหวัดและแพ้อากาศ ซึ่งมิใช่โรคที่ระบุในแบบสอบถามให้ผู้ขอเอาประกันชีวิตตอบ เห็นได้ว่าหากจำเลยทราบถึงการที่ผู้ตายเคยไปตรวจและรับการรักษาที่โรงพยาบาลและประวัติการเจ็บป่วยของผู้ตายดังกล่าวแล้ว ก็ไม่เป็นเหตุจูงใจให้จำเลยบอกปัดไม่ยอมรับประกันชีวิตผู้ตายหรือเรียกเบี้ยประกันภัยให้สูงขึ้น การที่ผู้ตายได้แจ้งในแบบสอบถามขณะเอาประกันชีวิตว่า ไม่เคยรักษาตัวในโรงพยาบาลหรือเคยปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับโรคหรืออาการของโรคหืด จึงไม่ทำให้สัญญาประกันชีวิตเป็นโมฆียะ
ผู้ตายมิได้เป็นโรคหืด แต่มีอาการหอบหืดซึ่งเป็นอาการของการแพ้อากาศ และอาการดังกล่าวได้หายไปก่อนที่ผู้ตายยื่นคำขอเอาประกันชีวิตแล้ว ผู้ตายไปตรวจและรับการรักษาที่โรงพยาบาลเป็นครั้งคราวด้วยเรื่องหวัดและแพ้อากาศ ซึ่งมิใช่โรคที่ระบุในแบบสอบถามให้ผู้ขอเอาประกันชีวิตตอบ เห็นได้ว่าหากจำเลยทราบถึงการที่ผู้ตายเคยไปตรวจและรับการรักษาที่โรงพยาบาลและประวัติการเจ็บป่วยของผู้ตายดังกล่าวแล้ว ก็ไม่เป็นเหตุจูงใจให้จำเลยบอกปัดไม่ยอมรับประกันชีวิตผู้ตายหรือเรียกเบี้ยประกันภัยให้สูงขึ้น การที่ผู้ตายได้แจ้งในแบบสอบถามขณะเอาประกันชีวิตว่า ไม่เคยรักษาตัวในโรงพยาบาลหรือเคยปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับโรคหรืออาการของโรคหืด จึงไม่ทำให้สัญญาประกันชีวิตเป็นโมฆียะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1977/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประกันชีวิตไม่เป็นโมฆียะ แม้ผู้เอาประกันเคยรักษาอาการแพ้และหวัด ไม่ได้เจ็บป่วยด้วยโรคหืดโดยตรง
โจทก์ฟ้องให้จำเลยใช้เงินตามสัญญาประกันชีวิต สภาพแห่งข้อหาคือสัญญาประกันชีวิต คำขอบังคับคือจำนวนเงินที่โจทก์เรียกร้องข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาคือการที่จำเลยรับประกันชีวิตร.ผู้ตายโดยโจทก์เป็นผู้รับประโยชน์และร.ตายโดยอุบัติเหตุโจทก์ได้บรรยายฟ้องในข้อที่กล่าวนี้ชัดแจ้งถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคสองฟ้องโจทก์จึงสมบูรณ์ ส่วนข้อที่ว่าสัญญาเป็นโมฆียะและจำเลยบอกล้างแล้ว เป็นเรื่องที่จำเลยจะยกขึ้นปฏิเสธฟ้องโจทก์ซึ่งถ้าหากจำเลยยกขึ้นก็เป็นหน้าที่ของจำเลยจะต้องกล่าวโดยแจ้งชัดถึงข้อเท็จจริงที่ทำให้สัญญาประกันชีวิตเป็นโมฆียะ หาใช่หน้าที่ของโจทก์จะต้องบรรยายฟ้องแก้คำให้การของจำเลยไว้ล่วงหน้าไม่ฉะนั้น การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าผู้ตายมิได้ป่วยด้วยโรคหืดหลอดลมหรือคออักเสบมาก่อน หรือหากเคยป่วยโดยโรคดังกล่าวมาก่อนก็มีเหตุหลายประการดังที่โจทก์บรรยายในฟ้องที่ทำให้สัญญาไม่เป็นโมฆียะ จึงเป็นการบรรยายเกินเลยจากที่กฎหมายบังคับ แม้ข้อที่ว่า ร.ป่วยจริงหรือไม่โจทก์ยกขึ้นอ้างขัดกันก็ไม่ทำให้ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
ผู้ตายมิได้เป็นโรคหืด แต่มีอาการหอบหืดซึ่งเป็นอาการของการแพ้อากาศ และอาการดังกล่าวได้หายไปก่อนที่ผู้ตายยื่นคำขอเอาประกันชีวิตแล้ว ผู้ตายไปตรวจและรับการรักษาที่โรงพยาบาลเป็นครั้งคราวด้วยเรื่องหวัดและแพ้อากาศซึ่งมิใช่โรคที่ระบุในแบบสอบถามให้ผู้ขอเอาประกันชีวิตตอบ เห็นได้ว่าหากจำเลยทราบถึงการที่ผู้ตายเคยไปตรวจและรับการรักษาที่โรงพยาบาลและประวัติการเจ็บป่วยของผู้ตายดังกล่าวแล้วก็ไม่เป็นเหตุจูงใจให้จำเลยบอกปัดไม่ยอมรับประกันชีวิตผู้ตายหรือเรียกเบี้ยประกันภัยให้สูงขึ้น การที่ผู้ตายได้แจ้งในแบบสอบถามขณะเอาประกันชีวิตว่า ไม่เคยรักษาตัวในโรงพยาบาลหรือเคยปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับโรคหรืออาการของโรคหืด จึงไม่ทำให้สัญญาประกันชีวิตเป็นโมฆียะ
ผู้ตายมิได้เป็นโรคหืด แต่มีอาการหอบหืดซึ่งเป็นอาการของการแพ้อากาศ และอาการดังกล่าวได้หายไปก่อนที่ผู้ตายยื่นคำขอเอาประกันชีวิตแล้ว ผู้ตายไปตรวจและรับการรักษาที่โรงพยาบาลเป็นครั้งคราวด้วยเรื่องหวัดและแพ้อากาศซึ่งมิใช่โรคที่ระบุในแบบสอบถามให้ผู้ขอเอาประกันชีวิตตอบ เห็นได้ว่าหากจำเลยทราบถึงการที่ผู้ตายเคยไปตรวจและรับการรักษาที่โรงพยาบาลและประวัติการเจ็บป่วยของผู้ตายดังกล่าวแล้วก็ไม่เป็นเหตุจูงใจให้จำเลยบอกปัดไม่ยอมรับประกันชีวิตผู้ตายหรือเรียกเบี้ยประกันภัยให้สูงขึ้น การที่ผู้ตายได้แจ้งในแบบสอบถามขณะเอาประกันชีวิตว่า ไม่เคยรักษาตัวในโรงพยาบาลหรือเคยปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับโรคหรืออาการของโรคหืด จึงไม่ทำให้สัญญาประกันชีวิตเป็นโมฆียะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1542/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องแย่งกรรมสิทธิ์ทางเข้าออกที่ดิน: ศาลรับฟ้องเมื่อมีแผนที่แสดงที่ดินถูกล้อมจนไม่มีทางออก
แผนที่สังเขปท้ายฟ้องเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง และปรากฏแจ้งชัดจากแผนที่ดังกล่าวว่าที่ดินของโจทก์ถูกที่ดินแปลงอื่นรวมทั้งที่ดินของจำเลยล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ เมื่อพิจารณาประกอบคำฟ้องแล้ว เห็นได้ว่าโจทก์เสนอสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา 2 ประการคือ ทางพิพาทเป็นทางภารจำยอม เพราะมีผู้ใช้เข้าออกสู่ทางสาธารณะนานถึง 50 ปีแล้วประการหนึ่ง และทางพิพาทเป็นทางจำเป็นเพราะที่ดินของโจทก์ถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมจนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้อีกประการหนึ่ง ฟ้องของโจทก์จึงถูกต้องตามกฎหมาย ศาลซึ่งตรวจคำฟ้องชอบที่จะรับคำฟ้องไว้พิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1542/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องทางจำเป็น/ภารจำยอม: ศาลรับฟ้องได้หากแผนที่แสดงที่ดินถูกล้อมจนไม่มีทางออก
แผนที่สังเขปท้ายฟ้องเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง และปรากฏแจ้งชัดจากแผนที่ดังกล่าวว่าที่ดินของโจทก์ถูกที่ดินแปลงอื่นรวมทั้งที่ดินของจำเลยล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ เมื่อพิจารณาประกอบคำฟ้องแล้ว เห็นได้ว่าโจทก์เสนอสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา 2ประการคือ ทางพิพาทเป็นทางภารจำยอม เพราะมีผู้ใช้เข้าออกสู่ทางสาธารณะนานถึง 50 ปีแล้วประการหนึ่ง และทางพิพาทเป็นทางจำเป็นเพราะที่ดินของโจทก์ถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมจนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้อีกประการหนึ่ง ฟ้องของโจทก์จึงถูกต้องตามกฎหมาย ศาลซึ่งตรวจคำฟ้องชอบที่จะรับคำฟ้องไว้พิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2602/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีละเมิด: ผู้เสียหายต้องฟ้องภายใน 1 ปีนับจากวันที่รู้ตัวผู้กระทำผิดและมูลละเมิด
เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องถึงวันที่ทำการละเมิดและรู้ตัวว่าจำเลยเป็นผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้ว โจทก์จึงต้องฟ้องคดีเสียภายในหนึ่งปีนับแต่นั้น โจทก์นำคดีมาฟ้องเกินหนึ่งปี โจทก์ก็จะต้องบรรยายในฟ้องให้เห็นว่าเหตุใดโจทก์จึงมีสิทธิฟ้องคดีเมื่อเกินหนึ่งปีได้เมื่อโจทก์มิได้บรรยายเหตุที่โจทก์มีสิทธิฟ้องคดีดังกล่าวได้และเมื่อจำเลยยกอายุความขึ้นต่อสู้ศาลก็ต้องฟังว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2500/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์รวม, การจัดการทรัพย์สินบุตร, ฟ้องเคลือบคลุม, สิทธิเจ้าของรวม, การรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยไม่ยอมออกไปจากโรงเรือนของโจทก์และปลูกโรงเรือนในที่ดินของโจทก์ โดยไม่ได้รับความยินยอมเป็นการละเมิดต่อโจทก์แม้จะปรากฏว่าโจทก์ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินตามฟ้องรวมกับบุคคลอื่นแต่ไม่ระบุในฟ้องจำเลยก็เข้าใจข้อหาได้ดี จึงได้ให้การว่าโฉนดที่ดินพิพาทมีชื่อผู้อื่นถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับโจทก์ จึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
บุตรของจำเลยซึ่งเป็นผู้เยาว์ถือกรรมสิทธิ์รวมกับโจทก์ในที่ดินพิพาท จำเลยย่อมมีอำนาจจัดการทรัพย์สินของบุตรได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1571 การที่จำเลยปลูกสร้างโรงเรือนในที่ดินของบุตรถือได้ว่าเป็นการจัดการทรัพย์สินของบุตรทั้งยังได้ปลูกในส่วนที่เป็นของบุตรจึงไม่เป็นการขัดต่อสิทธิแห่งโจทก์ผู้เป็นเจ้าของรวมโจทก์ไม่มีสิทธิที่จะขอบังคับให้จำเลยรื้อถอนออกไปได้
บุตรของจำเลยซึ่งเป็นผู้เยาว์ถือกรรมสิทธิ์รวมกับโจทก์ในที่ดินพิพาท จำเลยย่อมมีอำนาจจัดการทรัพย์สินของบุตรได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1571 การที่จำเลยปลูกสร้างโรงเรือนในที่ดินของบุตรถือได้ว่าเป็นการจัดการทรัพย์สินของบุตรทั้งยังได้ปลูกในส่วนที่เป็นของบุตรจึงไม่เป็นการขัดต่อสิทธิแห่งโจทก์ผู้เป็นเจ้าของรวมโจทก์ไม่มีสิทธิที่จะขอบังคับให้จำเลยรื้อถอนออกไปได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2500/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเจ้าของรวมและการจัดการทรัพย์สินของบุตรโดยผู้ปกครอง การรื้อถอนโรงเรือนที่ปลูกบนที่ดินรวม
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยไม่ยอมออกไปจากโรงเรือนของโจทก์และปลูกโรงเรือนในที่ดินของโจทก์โดยไม่ได้รับความยินยอมเป็นการละเมิดต่อโจทก์แม้จะปรากฏว่าโจทก์ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินตามฟ้องรวมกับบุคคลอื่นแต่ไม่ระบุในฟ้องจำเลยก็เข้าใจข้อหาได้ดี จึงได้ให้การว่าโฉนดที่ดินพิพาทมีชื่อผู้อื่นถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับโจทก์ จึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
บุตรของจำเลยซึ่งเป็นผู้เยาว์ถือกรรมสิทธิ์รวมกับโจทก์ในที่ดินพิพาท จำเลยย่อมมีอำนาจจัดการทรัพย์สินของบุตรได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1571 การที่จำเลยปลูกสร้างโรงเรือนในที่ดินของบุตรถือได้ว่าเป็นการจัดการทรัพย์สินของบุตรทั้งยังได้ปลูกในส่วนที่เป็นของบุตรจึงไม่เป็นการขัดต่อสิทธิแห่งโจทก์ผู้เป็นเจ้าของรวมโจทก์ไม่มีสิทธิที่จะขอบังคับให้จำเลยรื้อถอนออกไปได้
บุตรของจำเลยซึ่งเป็นผู้เยาว์ถือกรรมสิทธิ์รวมกับโจทก์ในที่ดินพิพาท จำเลยย่อมมีอำนาจจัดการทรัพย์สินของบุตรได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1571 การที่จำเลยปลูกสร้างโรงเรือนในที่ดินของบุตรถือได้ว่าเป็นการจัดการทรัพย์สินของบุตรทั้งยังได้ปลูกในส่วนที่เป็นของบุตรจึงไม่เป็นการขัดต่อสิทธิแห่งโจทก์ผู้เป็นเจ้าของรวมโจทก์ไม่มีสิทธิที่จะขอบังคับให้จำเลยรื้อถอนออกไปได้