พบผลลัพธ์ทั้งหมด 735 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2335/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาฝากเงินไม่มีกำหนดเวลา ผู้รับฝากมีสิทธิปิดบัญชีได้ ฟ้องเรียกดอกเบี้ยเคลือบคลุมหากไม่ระบุจำนวนเงินฝาก
โจทก์ฟ้องเรียกดอกเบี้ยเป็นเงิน 5 บาท จากเงินฝาก 200 บาทที่โจทก์ฝากไว้กับจำเลยตามสัญญา แต่โจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้ปรากฏว่า ก่อนจำเลยที่ 1 ปิดบัญชีเงินฝากของโจทก์ โจทก์มีเงินที่ฝากไว้กับจำเลยที่ 1 เป็นจำนวนเท่าใดระยะเวลาดังกล่าวจะทำให้โจทก์มีสิทธิได้รับเงินค่าดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 1 หรือไม่ ฟ้องของโจทก์ข้อนี้จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 664 เมื่อสัญญาฝากเงินประเภทจ่ายคืนเมื่อทวงถามนั้น เป็นการฝากทรัพย์โดยไม่มีกำหนดเวลา ผู้รับฝากจึงอาจคืนทรัพย์นั้นได้ทุกเมื่อโดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 664 เมื่อสัญญาฝากเงินประเภทจ่ายคืนเมื่อทวงถามนั้น เป็นการฝากทรัพย์โดยไม่มีกำหนดเวลา ผู้รับฝากจึงอาจคืนทรัพย์นั้นได้ทุกเมื่อโดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2335/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาฝากเงินไม่มีกำหนดเวลา ผู้รับฝากมีสิทธิปิดบัญชีได้ และฟ้องเรียกดอกเบี้ยต้องระบุจำนวนเงินที่ฝาก
โจทก์ฟ้องเรียกดอกเบี้ยเป็นเงิน 5 บาท จากเงินฝาก200 บาทที่โจทก์ฝากไว้กับจำเลยตามสัญญา แต่โจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้ปรากฏว่า ก่อนจำเลยที่ 1 ปิดบัญชีเงินฝากของโจทก์ โจทก์มีเงินที่ฝากไว้กับจำเลยที่ 1 เป็นจำนวนเท่าใด ระยะเวลาดังกล่าวจะทำให้โจทก์มีสิทธิได้รับเงินค่าดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 1 หรือไม่ ฟ้องของโจทก์ข้อนี้จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 664 เมื่อสัญญาฝากเงินประเภทจ่ายคืนเมื่อทวงถามนั้น เป็นการฝากทรัพย์โดยไม่มีกำหนดเวลา ผู้รับฝากจึงอาจคืนทรัพย์นั้นได้ทุกเมื่อโดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 664 เมื่อสัญญาฝากเงินประเภทจ่ายคืนเมื่อทวงถามนั้น เป็นการฝากทรัพย์โดยไม่มีกำหนดเวลา ผู้รับฝากจึงอาจคืนทรัพย์นั้นได้ทุกเมื่อโดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1934/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องขอคืนสิทธิการเช่าและการนำสืบพยานนอกฟ้อง ศาลฎีกาพิจารณาจากเจตนาที่แท้จริงของผู้ฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของสิทธิการเช่าตึกพิพาทของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ โจทก์ให้จำเลยทำการค้าในตึกนี้ ต่อมาจำเลยได้ปลอมแปลงหนังสือมอบอำนาจว่าโจทก์โอนสิทธิการเช่าให้จำเลยแล้วนำไปยื่นคำขอต่อสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ โอนสิทธิการเช่าเป็นของจำเลย แล้วจำเลยยื่นคำขอโอนสิทธิการเช่าให้แก่ผู้มีชื่อ ขอให้บังคับจำเลยถอนคำขอดังกล่าว ฟ้องของโจทก์เช่นนี้แปลความได้ว่า โจทก์ไม่มีเจตนาโอนสิทธิการเช่าให้จำเลยดังที่ปรากฏในหนังสือมอบอำนาจนั้น จำเลยให้การโต้แย้งว่า โจทก์มีเจตนาโอนสิทธิการเช่าให้แก่จำเลย และศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นว่าโจทก์มอบอำนาจให้จำเลยโอนสิทธิการเช่าตึกเป็นของจำเลยหรือไม่ ดังนี้ แม้ในชั้นพิจารณาโจทก์จะนำสืบว่า โจทก์ลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจโดยสำคัญผิด ก็เป็นการสืบแสดงว่าโจทก์ไม่มีเจตนาจะโอนสิทธิการเช่าให้จำเลยตามฟ้องหาใช่นำสืบพยานนอกฟ้องนอกประเด็นไม่
คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกคืนสิทธิการเช่าที่โจทก์มีอยู่จากจำเลยผู้อาศัย แม้จะมีคำขอท้ายฟ้องให้จำเลยถอนคำขอที่จำเลยขอโอนสิทธิการเช่าแก่ผู้อื่น. ก็มิใช่เป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานละเมิด จะนำอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 มาบังคับแก่คดีไม่ได้
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง บัญญัติเพียงว่า คำฟ้องต้องมีคำขอบังคับ แต่มิได้บัญญัติถึงขนาดว่าคำขอบังคับจะต้องให้ปรากฏไว้เฉพาะในคำขอท้ายฟ้องเท่านั้น คดีนี้โจทก์มีคำขอไว้ในคำฟ้องชัดแจ้งว่าขอให้ศาลพิพากษาให้สิทธิการเช่ากลับคืนมาเป็นของโจทก์ ถือได้ว่ามีคำขอบังคับในข้อนี้ไว้โดยชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองแล้ว
คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกคืนสิทธิการเช่าที่โจทก์มีอยู่จากจำเลยผู้อาศัย แม้จะมีคำขอท้ายฟ้องให้จำเลยถอนคำขอที่จำเลยขอโอนสิทธิการเช่าแก่ผู้อื่น. ก็มิใช่เป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานละเมิด จะนำอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 มาบังคับแก่คดีไม่ได้
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง บัญญัติเพียงว่า คำฟ้องต้องมีคำขอบังคับ แต่มิได้บัญญัติถึงขนาดว่าคำขอบังคับจะต้องให้ปรากฏไว้เฉพาะในคำขอท้ายฟ้องเท่านั้น คดีนี้โจทก์มีคำขอไว้ในคำฟ้องชัดแจ้งว่าขอให้ศาลพิพากษาให้สิทธิการเช่ากลับคืนมาเป็นของโจทก์ ถือได้ว่ามีคำขอบังคับในข้อนี้ไว้โดยชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1699/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเคลือบคลุม จำเลยไม่เข้าใจพฤติการณ์ขับรถ การบรรยายฟ้องต้องชัดเจนแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้ขับรถของจำเลยที่2ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังที่นักขับรถอาชีพจะต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และจำเลยที่ 1 อาจใช้ความระมัดระวังได้แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ เป็นเหตุให้ชนรถโจทก์ตกถนนพลิกคว่ำได้รับความเสียหาย มิได้บรรยายเลยว่าจำเลยที่ 1 มีพฤติการณ์ในการขับรถอย่างไรจำเลยไม่อาจเข้าใจได้ว่าจำเลยที่ 1 ขับรถอย่างไร ซึ่งโจทก์ถือว่าเป็นการขับด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังทั้งไม่อาจเข้าใจได้ว่าจำเลยที่ 1 จะใช้ความระมัดระวังอย่างไรจึงจะหลีกเลี่ยงหรือป้องกันมิให้รถชนกันฟ้องโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่มิได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา172 วรรคสอง เป็นฟ้องเคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 49/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับผิดในหนี้ที่เกิดจากการเชิดตัวแทน แม้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ
คำฟ้องของโจทก์แม้มิได้บรรยายว่าใครเป็นตัวแทนหรือเชิดบุคคลใดเป็นตัวแทนแต่โจทก์ก็ได้บรรยายว่า จำเลยกระทำการโดยตัวแทนผู้จัดการดำเนินกิจการของจำเลย เมื่ออ่านข้อความทั้งหมดแล้วเห็นได้ว่าโจทก์ฟ้องขอให้บังคับชำระหนี้ที่ตัวแทนได้ก่อขึ้นในการก่อสร้างที่จำเลยประมูลได้ย่อมเป็นฟ้องที่ชัดแจ้งซึ่งทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว
การตั้งตัวแทนที่ต้องทำหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 798 นั้น มิได้หมายรวม ถึงการเป็นตัวแทนโดยการเชิดตามมาตรา 821 แม้บริษัทจำเลยจะได้จ้าง ฉ. และ ก. เป็นผู้รับเหมาช่วงทำการก่อสร้างการประปาซึ่งจำเลยเป็นผู้ประมูลได้ แต่จำเลยได้แสดงออกต่อประชาชนทั่วไปว่าบริษัทจำเลยเป็นผู้ก่อสร้างเองโดยทำป้ายปักไว้ ณ ที่ก่อสร้างว่าบริษัทจำเลยเป็นผู้ก่อสร้าง ทั้งจำเลยได้มีหนังสือถึงผู้จ้างเหมาว่าได้มอบให้ ส.ช่างประจำบริษัทจำเลยและฉ. เป็นตัวแทนของจำเลยประจำสถานที่ก่อสร้าง ถือได้ว่าบริษัทจำเลยได้เชิด ฉ.,ส. และ ก. เป็นตัวแทนของตน จำเลยต้องรับผิดชำระเงินค่าวัสดุก่อสร้างซึ่งบุคคลทั้งสามนั้นได้ซื้อจากโจทก์ไปใช้ในการก่อสร้างแก่โจทก์ผู้ขาย. ซึ่งเชื่อโดยสุจริตว่าบุคคลทั้งสามเป็นตัวแทนของจำเลย แม้ภายหลังโจทก์จะทราบว่า บุคคลทั้งสามนั้นไม่ใช่ตัวแทนของจำเลยก็หาทำให้จำเลยพ้นความรับผิดไม่
โจทก์ฟ้องบริษัทจำเลยให้รับผิดชำระหนี้ที่ผู้จัดการดำเนินการก่อสร้างกระทำแทนบริษัทจำเลย เมื่อคดีฟังได้ว่าจำเลยได้เชิดผู้ดำเนินการก่อสร้างเป็นตัวแทนของตน ศาลย่อมพิพากษาให้จำเลยรับผิดได้ไม่เป็นการนอกคำฟ้องคำขอ
การตั้งตัวแทนที่ต้องทำหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 798 นั้น มิได้หมายรวม ถึงการเป็นตัวแทนโดยการเชิดตามมาตรา 821 แม้บริษัทจำเลยจะได้จ้าง ฉ. และ ก. เป็นผู้รับเหมาช่วงทำการก่อสร้างการประปาซึ่งจำเลยเป็นผู้ประมูลได้ แต่จำเลยได้แสดงออกต่อประชาชนทั่วไปว่าบริษัทจำเลยเป็นผู้ก่อสร้างเองโดยทำป้ายปักไว้ ณ ที่ก่อสร้างว่าบริษัทจำเลยเป็นผู้ก่อสร้าง ทั้งจำเลยได้มีหนังสือถึงผู้จ้างเหมาว่าได้มอบให้ ส.ช่างประจำบริษัทจำเลยและฉ. เป็นตัวแทนของจำเลยประจำสถานที่ก่อสร้าง ถือได้ว่าบริษัทจำเลยได้เชิด ฉ.,ส. และ ก. เป็นตัวแทนของตน จำเลยต้องรับผิดชำระเงินค่าวัสดุก่อสร้างซึ่งบุคคลทั้งสามนั้นได้ซื้อจากโจทก์ไปใช้ในการก่อสร้างแก่โจทก์ผู้ขาย. ซึ่งเชื่อโดยสุจริตว่าบุคคลทั้งสามเป็นตัวแทนของจำเลย แม้ภายหลังโจทก์จะทราบว่า บุคคลทั้งสามนั้นไม่ใช่ตัวแทนของจำเลยก็หาทำให้จำเลยพ้นความรับผิดไม่
โจทก์ฟ้องบริษัทจำเลยให้รับผิดชำระหนี้ที่ผู้จัดการดำเนินการก่อสร้างกระทำแทนบริษัทจำเลย เมื่อคดีฟังได้ว่าจำเลยได้เชิดผู้ดำเนินการก่อสร้างเป็นตัวแทนของตน ศาลย่อมพิพากษาให้จำเลยรับผิดได้ไม่เป็นการนอกคำฟ้องคำขอ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2948/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเคลือบคลุม, อำนาจฟ้อง, การผิดนัดชำระหนี้: ศาลฎีกาวินิจฉัยประเด็นความสมบูรณ์ของฟ้อง, อำนาจมอบอำนาจ, และการเกิดผิดนัดจากการปฏิเสธการจ่ายเช็ค
โจทก์บรรยายฟ้องมีความตอนหนึ่งว่า จำเลยที่ 1 สอดเข้าไปเกี่ยวข้องกับกิจการของห้างจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อย ส่วนใหญ่ใจความเมื่ออ่านคำฟ้องโดยตลอดแล้ว ย่อมเป็นที่เข้าใจและเห็นได้ชัดว่ามีความหมายถึงจำเลยที่ 3 ฟ้องโจทก์เช่นนี้เป็นฟ้องที่สมบูรณ์ไม่เคลือบคลุม
โจทก์เป็นหญิงมีสามี เมื่อได้รับความยินยอมจากสามีให้ฟ้องคดีได้แล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจมอบให้บุคคลอื่นฟ้องคดีแทนตนได้ ไม่จำเป็นต้องให้สามีลงชื่อให้ความยินยอมในใบมอบอำนาจซ้ำอีก
จำเลยออกเช็คชำระหนี้แก่โจทก์ แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ดังนี้ถือว่าจำเลยผิดนัดทันทีที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์มีอำนาจฟ้องโดยไม่ต้องบอกกล่าวทวงถามอีก
โจทก์เป็นหญิงมีสามี เมื่อได้รับความยินยอมจากสามีให้ฟ้องคดีได้แล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจมอบให้บุคคลอื่นฟ้องคดีแทนตนได้ ไม่จำเป็นต้องให้สามีลงชื่อให้ความยินยอมในใบมอบอำนาจซ้ำอีก
จำเลยออกเช็คชำระหนี้แก่โจทก์ แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ดังนี้ถือว่าจำเลยผิดนัดทันทีที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์มีอำนาจฟ้องโดยไม่ต้องบอกกล่าวทวงถามอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2948/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเคลือบคลุม, อำนาจฟ้อง, การผิดนัดชำระหนี้: การพิจารณาความสมบูรณ์ของฟ้องและการเกิดผลของการผิดนัด
โจทก์บรรยายฟ้องมีความตอนหนึ่งว่า จำเลยที่ 1 สอดเข้าไปเกี่ยวข้องกับกิจการของห้างจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อย ส่วนใหญ่ใจความเมื่ออ่านคำฟ้องโดยตลอดแล้วย่อมเป็นที่เข้าใจและเห็นได้ชัดว่ามีความหมายถึงจำเลยที่ 3 ฟ้องโจทก์เช่นนี้เป็นฟ้องที่สมบูรณ์ไม่เคลือบคลุม
โจทก์เป็นหญิงมีสามี เมื่อได้รับความยินยอมจากสามีให้ฟ้องคดีได้แล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจมอบให้บุคคลอื่นฟ้องคดีแทนตนได้ ไม่จำเป็นต้องให้สามีลงชื่อให้ความยินยอมในใบมอบอำนาจซ้ำอีก
จำเลยออกเช็คชำระหนี้แก่โจทก์ แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ดังนี้ ถือว่าจำเลยผิดนัดทันทีที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์มีอำนาจฟ้องโดยไม่ต้องบอกกล่าวทวงถามอีก
โจทก์เป็นหญิงมีสามี เมื่อได้รับความยินยอมจากสามีให้ฟ้องคดีได้แล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจมอบให้บุคคลอื่นฟ้องคดีแทนตนได้ ไม่จำเป็นต้องให้สามีลงชื่อให้ความยินยอมในใบมอบอำนาจซ้ำอีก
จำเลยออกเช็คชำระหนี้แก่โจทก์ แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ดังนี้ ถือว่าจำเลยผิดนัดทันทีที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์มีอำนาจฟ้องโดยไม่ต้องบอกกล่าวทวงถามอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 741/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำนองประกันสัญญาตัวแทน, อายุความ, สัญญาเบิกเงินเกินบัญชี, การผ่อนปรนหนี้, และความรับผิดของผู้จำนอง
การที่โจทก์ซึ่งเป็นตัวการยอมผ่อนปรนแก่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวแทน โดยให้โอกาสแก่จำเลยที่ 1 ในอันที่จะจัดการเรื่องหนี้สินให้เรียบร้อยนั้น จะถือว่าเป็นความผิดของโจทก์หาได้ไม่ และตามข้อสัญญาที่กำหนดให้จำเลยที่ 1 ต้องกระทำการต่าง ๆ ก็หาได้ระบุไว้ในสัญญาว่าจะต้องกระทำ ณ เวลาใดอันเป็นกำหนดแน่นอนไม่ การที่จำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามข้อสัญญาดังกล่าว และยังกระทำผิดสัญญาในเรื่องการให้กู้ยืมกับให้เบิกเงินเกินบัญชีโจทก์ยังไม่เลิกสัญญาทันทีนั้น ก็ไม่เป็นการผ่อนเวลาให้แก่ลูกหนี้ ตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 700 จำเลยที่ 3 และที่ 4 ผู้จำนองเป็นประกันการที่จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดใช้เงินแก่โจทก์สำหรับความเสียหายทั้งปวง จึงไม่หลุดพ้นจากความรับผิด
อายุความสำหรับธนาคารที่จะเรียกร้องเอาดอกเบี้ยทบต้นตามบัญชีเดินสะพัดจากลูกหนี้ของธนาคาร กับอายุความสำหรับโจทก์ที่จะเรียกร้องเอาแก่ผู้จำนองเป็นประกัน จำเลยที่ 1 นั้นเป็นคนละเรื่องกัน ธนาคารโจทก์จะคิดดอกเบี้ยทบต้นเอาแก่ลูกหนี้รายใดได้จนถึงวันใดนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก เมื่อจำเลยที่ 1 ประพฤติผิดสัญญาที่ทำไว้กับโจทก์หรือไม่ปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของธนาคารเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์เพราะเงินต้นและดอกเบี้ยสูญ โจทก์ก็มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหาย และเรียกร้องเอาแก่ผู้จำนองเป็นประกันจำเลยที่ 1 ได้ ซึ่งโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ให้รับผิดตามสัญญาจัดตั้งธนาคารสาขาอันเป็นสัญญาตั้งตัวแทน มีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 คดีโจทก์ส่วนที่ฟ้องจำเลยที่ 1 ยังไม่ขาดอายุความ จึงไม่ขาดอายุความในส่วนที่ฟ้องผู้จำนองเป็นประกันจำเลยที่ 1 ด้วย
เมื่อมีการปฏิบัติตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดกันแล้ว การชำระหนี้ย่อมจะต้องปฏิบัติตามวิธีการของบัญชีเดินสะพัด คือให้กระทำได้เมื่อมีการหักทอนบัญชีและเรียกร้องให้ชำระเงินคงเหลือนั้นแล้ว หากคู่สัญญายังคงให้บัญชีเดินสะพัดเดินอยู่ต่อไป ก็ยังไม่ถือว่ามีการผิดนัดกรณีย่อมไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 225 วรรคสอง ในระหว่างนั้นโจทก์ยังมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจากลูกหนี้ผู้เบิกเงินเกินบัญชีได้ตามมาตรา 655 วรรคสอง (อ้างฎีกา 658 - 659/2511 วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่)
ท้ายฟ้องมีเอกสารหมายเลข 4 ซึ่งเป็นบัญชีลูกหนี้ที่จำเลยที่ 1 ให้กู้ยืมและเบิกเงินเกินบัญชีแล้วเรียกเก็บไม่ได้ซึ่งแสดงรายละเอียดว่า ลูกหนี้ชื่อใด บัญชีเท่าใด ยอดหนี้เป็นจำนวนเท่าใด ตลอดทั้งเหตุที่เรียกเก็บไม่ได้ เป็นเพราะไม่มีสัญญาหรือว่าไม่มีทั้งสัญญาและหลักประกันด้วย ดังนี้ ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมส่วนข้อที่ว่า หนี้แต่ละรายเหล่านั้นเป็นเงินต้นเท่าใด คิดดอกเบี้ยอย่างไรนั้น เป็นรายละเอียดซึ่งโจทก์นำสืบในชั้นพิจารณาได้
การที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 จำนองที่ดินแก่โจทก์เพื่อเป็นประกันสัญญาจัดตั้งธนาคารสาขานั้น เป็นการให้สัญญาแก่โจทก์ว่า ถ้าจำเลยที่ 1 กระทำผิดสัญญาเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์แล้วไม่ชำระหนี้ค่าเสียหายนั้นก็ให้โจทก์บังคับจำนองได้ ซึ่งต่างกับการค้ำประกัน และมิได้มีบทบัญญัติใดในลักษณะจำนองที่ให้นำมาตรา 689 ในลักษณะค้ำประกันมาใช้บังคับโดยอนุโลมด้วย (อ้างฎีกา 1187/2517)
อายุความสำหรับธนาคารที่จะเรียกร้องเอาดอกเบี้ยทบต้นตามบัญชีเดินสะพัดจากลูกหนี้ของธนาคาร กับอายุความสำหรับโจทก์ที่จะเรียกร้องเอาแก่ผู้จำนองเป็นประกัน จำเลยที่ 1 นั้นเป็นคนละเรื่องกัน ธนาคารโจทก์จะคิดดอกเบี้ยทบต้นเอาแก่ลูกหนี้รายใดได้จนถึงวันใดนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก เมื่อจำเลยที่ 1 ประพฤติผิดสัญญาที่ทำไว้กับโจทก์หรือไม่ปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของธนาคารเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์เพราะเงินต้นและดอกเบี้ยสูญ โจทก์ก็มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหาย และเรียกร้องเอาแก่ผู้จำนองเป็นประกันจำเลยที่ 1 ได้ ซึ่งโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ให้รับผิดตามสัญญาจัดตั้งธนาคารสาขาอันเป็นสัญญาตั้งตัวแทน มีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 คดีโจทก์ส่วนที่ฟ้องจำเลยที่ 1 ยังไม่ขาดอายุความ จึงไม่ขาดอายุความในส่วนที่ฟ้องผู้จำนองเป็นประกันจำเลยที่ 1 ด้วย
เมื่อมีการปฏิบัติตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดกันแล้ว การชำระหนี้ย่อมจะต้องปฏิบัติตามวิธีการของบัญชีเดินสะพัด คือให้กระทำได้เมื่อมีการหักทอนบัญชีและเรียกร้องให้ชำระเงินคงเหลือนั้นแล้ว หากคู่สัญญายังคงให้บัญชีเดินสะพัดเดินอยู่ต่อไป ก็ยังไม่ถือว่ามีการผิดนัดกรณีย่อมไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 225 วรรคสอง ในระหว่างนั้นโจทก์ยังมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจากลูกหนี้ผู้เบิกเงินเกินบัญชีได้ตามมาตรา 655 วรรคสอง (อ้างฎีกา 658 - 659/2511 วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่)
ท้ายฟ้องมีเอกสารหมายเลข 4 ซึ่งเป็นบัญชีลูกหนี้ที่จำเลยที่ 1 ให้กู้ยืมและเบิกเงินเกินบัญชีแล้วเรียกเก็บไม่ได้ซึ่งแสดงรายละเอียดว่า ลูกหนี้ชื่อใด บัญชีเท่าใด ยอดหนี้เป็นจำนวนเท่าใด ตลอดทั้งเหตุที่เรียกเก็บไม่ได้ เป็นเพราะไม่มีสัญญาหรือว่าไม่มีทั้งสัญญาและหลักประกันด้วย ดังนี้ ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมส่วนข้อที่ว่า หนี้แต่ละรายเหล่านั้นเป็นเงินต้นเท่าใด คิดดอกเบี้ยอย่างไรนั้น เป็นรายละเอียดซึ่งโจทก์นำสืบในชั้นพิจารณาได้
การที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 จำนองที่ดินแก่โจทก์เพื่อเป็นประกันสัญญาจัดตั้งธนาคารสาขานั้น เป็นการให้สัญญาแก่โจทก์ว่า ถ้าจำเลยที่ 1 กระทำผิดสัญญาเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์แล้วไม่ชำระหนี้ค่าเสียหายนั้นก็ให้โจทก์บังคับจำนองได้ ซึ่งต่างกับการค้ำประกัน และมิได้มีบทบัญญัติใดในลักษณะจำนองที่ให้นำมาตรา 689 ในลักษณะค้ำประกันมาใช้บังคับโดยอนุโลมด้วย (อ้างฎีกา 1187/2517)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 741/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำนองประกันสัญญาจัดตั้งธนาคารสาขา, สิทธิเรียกร้องค่าเสียหาย, อายุความ, สัญญาบัญชีเดินสะพัด, การผ่อนเวลาลูกหนี้
การที่โจทก์ซึ่งเป็นตัวการยอมผ่อนปรนแก่จำเลยที่ 1ซึ่งเป็นตัวแทน โดยให้โอกาสแก่จำเลยที่ 1 ในอันที่จะจัดการเรื่องหนี้สินให้เรียบร้อยนั้น จะถือว่าเป็นความผิดของโจทก์หาได้ไม่ และตามข้อสัญญาที่กำหนดให้จำเลยที่1 ต้องกระทำการต่าง ๆ ก็หาได้ระบุไว้ในสัญญาว่าจะต้องกระทำ ณ เวลาใดอันเป็นกำหนดแน่นอนไม่ การที่จำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามข้อสัญญาดังกล่าว และยังกระทำผิดสัญญาในเรื่องการให้กู้ยืมกับให้เบิกเงินเกินบัญชีโจทก์ก็ยังไม่เลิกสัญญาทันทีนั้น ก็ไม่เป็นการผ่อนเวลาให้แก่ลูกหนี้ ตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 700 จำเลยที่ 3 และที่ 4 ผู้จำนองเป็นประกันการที่จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดใช้เงินแก่โจทก์สำหรับความเสียหายทั้งปวง จึงไม่หลุดพ้นจากความรับผิด
อายุความสำหรับธนาคารที่จะเรียกร้องเอาดอกเบี้ยทบต้นตามบัญชีเดินสะพัดจากลูกหนี้ของธนาคาร กับอายุความสำหรับโจทก์ที่จะเรียกร้องเอาแก่ผู้จำนองเป็นประกันจำเลยที่ 1 นั้นเป็นคนละเรื่องกัน ธนาคารโจทก์จะคิดดอกเบี้ยทบต้นเอาแก่ลูกหนี้รายใดได้จนถึงวันใดนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก เมื่อจำเลยที่ 1 ประพฤติผิดสัญญาที่ทำไว้กับโจทก์หรือไม่ปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของธนาคารเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์เพราะเงินต้นและดอกเบี้ยสูญโจทก์ก็มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายและเรียกร้องเอาแก่ผู้จำนองเป็นประกันจำเลยที่ 1 ได้ซึ่งโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ให้รับผิดตามสัญญาจัดตั้งธนาคารสาขาอันเป็นสัญญาตั้งตัวแทน มีอายุความ10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 คดีโจทก์ส่วนที่ฟ้องจำเลยที่ 1 ยังไม่ขาดอายุความ จึงไม่ขาดอายุความในส่วนที่ฟ้องผู้จำนองเป็นประกันจำเลยที่ 1 ด้วย
เมื่อมีการปฏิบัติตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดกันแล้ว การชำระหนี้ย่อมจะต้องปฏิบัติตามวิธีการของบัญชีเดินสะพัด คือให้กระทำได้เมื่อมีการหักทอนบัญชีและเรียกร้องให้ชำระเงินคงเหลือนั้นแล้ว หากคู่สัญญายังคงให้บัญชีเดินสะพัดเดินอยู่ต่อไป ก็ยังไม่ถือว่ามีการผิดนัดกรณีย่อมไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคสองในระหว่างนั้นโจทก์ยังมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจากลูกหนี้ผู้เบิกเงินเกินบัญชีได้ตามมาตรา 655 วรรคสอง(อ้างฎีกา658-659/2511 วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่)
ท้ายฟ้องมีเอกสารหมายเลข 4 ซึ่งเป็นบัญชีลูกหนี้ที่จำเลยที่ 1 ให้กู้ยืมและเบิกเงินเกินบัญชีแล้วเรียกเก็บไม่ได้ซึ่งแสดงรายละเอียดว่า ลูกหนี้ชื่อใด บัญชีที่เท่าใดยอดหนี้เป็นจำนวนเท่าใด ตลอดทั้งเหตุที่เรียกเก็บไม่ได้ เป็นเพราะไม่มีสัญญาหรือว่าไม่มีทั้งสัญญาและหลักประกันด้วยดังนี้ ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมส่วนข้อที่ว่า หนี้แต่ละรายเหล่านั้นเป็นเงินต้นเท่าใด คิดดอกเบี้ยอย่างไรนั้นเป็นรายละเอียดซึ่งโจทก์นำสืบในชั้นพิจารณาได้
การที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 จำนองที่ดินแก่โจทก์เพื่อเป็นประกันสัญญาจัดตั้งธนาคารสาขานั้นเป็นการให้สัญญาแก่โจทก์ว่า ถ้าจำเลยที่ 1 กระทำผิดสัญญาเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์แล้วไม่ชำระหนี้ค่าเสียหายนั้นก็ให้โจทก์บังคับจำนองได้ ซึ่งต่างกับการค้ำประกันและมิได้มีบทบัญญัติใดในลักษณะจำนองที่ให้นำมาตรา689 ในลักษณะค้ำประกันมาใช้บังคับโดยอนุโลมด้วย (อ้างฎีกา 1187/2517)
อายุความสำหรับธนาคารที่จะเรียกร้องเอาดอกเบี้ยทบต้นตามบัญชีเดินสะพัดจากลูกหนี้ของธนาคาร กับอายุความสำหรับโจทก์ที่จะเรียกร้องเอาแก่ผู้จำนองเป็นประกันจำเลยที่ 1 นั้นเป็นคนละเรื่องกัน ธนาคารโจทก์จะคิดดอกเบี้ยทบต้นเอาแก่ลูกหนี้รายใดได้จนถึงวันใดนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก เมื่อจำเลยที่ 1 ประพฤติผิดสัญญาที่ทำไว้กับโจทก์หรือไม่ปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของธนาคารเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์เพราะเงินต้นและดอกเบี้ยสูญโจทก์ก็มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายและเรียกร้องเอาแก่ผู้จำนองเป็นประกันจำเลยที่ 1 ได้ซึ่งโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ให้รับผิดตามสัญญาจัดตั้งธนาคารสาขาอันเป็นสัญญาตั้งตัวแทน มีอายุความ10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 คดีโจทก์ส่วนที่ฟ้องจำเลยที่ 1 ยังไม่ขาดอายุความ จึงไม่ขาดอายุความในส่วนที่ฟ้องผู้จำนองเป็นประกันจำเลยที่ 1 ด้วย
เมื่อมีการปฏิบัติตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดกันแล้ว การชำระหนี้ย่อมจะต้องปฏิบัติตามวิธีการของบัญชีเดินสะพัด คือให้กระทำได้เมื่อมีการหักทอนบัญชีและเรียกร้องให้ชำระเงินคงเหลือนั้นแล้ว หากคู่สัญญายังคงให้บัญชีเดินสะพัดเดินอยู่ต่อไป ก็ยังไม่ถือว่ามีการผิดนัดกรณีย่อมไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคสองในระหว่างนั้นโจทก์ยังมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจากลูกหนี้ผู้เบิกเงินเกินบัญชีได้ตามมาตรา 655 วรรคสอง(อ้างฎีกา658-659/2511 วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่)
ท้ายฟ้องมีเอกสารหมายเลข 4 ซึ่งเป็นบัญชีลูกหนี้ที่จำเลยที่ 1 ให้กู้ยืมและเบิกเงินเกินบัญชีแล้วเรียกเก็บไม่ได้ซึ่งแสดงรายละเอียดว่า ลูกหนี้ชื่อใด บัญชีที่เท่าใดยอดหนี้เป็นจำนวนเท่าใด ตลอดทั้งเหตุที่เรียกเก็บไม่ได้ เป็นเพราะไม่มีสัญญาหรือว่าไม่มีทั้งสัญญาและหลักประกันด้วยดังนี้ ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมส่วนข้อที่ว่า หนี้แต่ละรายเหล่านั้นเป็นเงินต้นเท่าใด คิดดอกเบี้ยอย่างไรนั้นเป็นรายละเอียดซึ่งโจทก์นำสืบในชั้นพิจารณาได้
การที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 จำนองที่ดินแก่โจทก์เพื่อเป็นประกันสัญญาจัดตั้งธนาคารสาขานั้นเป็นการให้สัญญาแก่โจทก์ว่า ถ้าจำเลยที่ 1 กระทำผิดสัญญาเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์แล้วไม่ชำระหนี้ค่าเสียหายนั้นก็ให้โจทก์บังคับจำนองได้ ซึ่งต่างกับการค้ำประกันและมิได้มีบทบัญญัติใดในลักษณะจำนองที่ให้นำมาตรา689 ในลักษณะค้ำประกันมาใช้บังคับโดยอนุโลมด้วย (อ้างฎีกา 1187/2517)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 297/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงคำขอในชั้นฎีกา: ผู้คัดค้านไม่สามารถขอให้ศาลตั้งผู้คัดค้านอีกคนเป็นผู้จัดการมรดกได้ หากไม่ได้มีการขอไว้ตั้งแต่แรก
ผู้ร้องขอให้ศาลสั่งตั้งตนเป็นผู้จัดการมรดกของ ช. ผู้คัดค้านที่ 1 คัดค้านว่า ผู้ร้องไม่ควรเป็นผู้จัดการมรดก ขอให้ยกคำร้องและตั้งผู้คัดค้านที่ 1เป็นผู้จัดการมรดกต่อไปผู้คัดค้านที่ 2 ยื่นคำคัดค้านทำนองเดียวกับผู้คัดค้านที่ 1 และกล่าวต่อไปว่าถ้าจำเป็นจะต้องตั้งผู้จัดการมรดกก็ควรตั้งผู้คัดค้านที่ 1 ศาลชั้นต้นตั้งผู้ร้องและผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกันศาลอุทธรณ์ตั้งให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกแต่ผู้เดียว (ผู้คัดค้านที่ 1 มิได้ฎีกา)ดังนี้ ผู้คัดค้านที่ 2 จะฎีกาขอให้ตั้งผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกหาได้ไม่เพราะในคำคัดค้านของตนไม่มีคำขอเช่นนั้นมาแต่ต้น