คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ไพโรจน์ วายุภาพ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 630 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9217/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ลำดับการบังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอม ต้องบังคับทรัพย์จำนองก่อน หากไม่พอจึงบังคับทรัพย์อื่นได้
คำพิพากษาตามยอมกำหนดให้บังคับแก่ห้องชุดจำนองก่อน หากไม่พอชำระจำเลยยอมชำระส่วนที่ขาดจนครบ ตราบใดที่ยังมิได้ทำการขายทอดตลาดทรัพย์จำนอง ก็ไม่อาจทราบว่ายังมีหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมเหลืออยู่อีกเพียงใดที่จำเลยยินยอมจะชำระหนี้นั้นจนครบ เมื่อการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลต้องอาศัยและตามคำบังคับคดีที่ได้ออกตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 271 เช่นนี้โจทก์จึงไม่มีสิทธิบังคับคดีแก่ทรัพย์สินอื่นของจำเลยให้ผิดไปจากคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลได้
การบังคับคดีเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมของศาลชั้นต้นกำหนดให้ยึดห้องชุดจำนองขายทอดตลาดชำระหนี้ หากได้เงินไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยขายทอดตลาดจนครบเป็นการกำหนดลำดับในการบังคับแก่ทรัพย์สินของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาและตราบใดที่เจ้าพนักงานบังคับคดียังขายทอดตลาดห้องชุดจำนองตามคำพิพากษาไม่ได้ ก็ไม่อาจทราบว่าราคาที่ได้จากการขายทอดตลาดห้องชุดจำนองนั้นเพียงพอแก่การชำระหนี้ตามคำพิพากษาหรือไม่ เพียงใด แม้ห้องชุดจำนองมีราคาประเมินของเจ้าพนักงานบังคับคดีต่ำกว่าหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งจำเลยทั้งสี่ต้องชำระก็ตาม แต่ได้ความว่า โจทก์เพิ่งขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดห้องชุดจำนองเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2553 และไม่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้มีการนำห้องชุดจำนองออกขายทอดตลาดมาก่อนหรือไม่อย่างไร ทั้ง ๆ ที่โจทก์มีสิทธิบังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอมของศาลชั้นต้นได้นับแต่ปี 2544 เป็นต้นมา การปล่อยให้เวลาการบังคับคดีล่วงเลยมานานแสดงให้เห็นว่าโจทก์ไม่ได้ขวนขวายที่จะบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์จำนองภายในเวลาอันสมควร ทั้งยังไม่มีการนำทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดมาก่อนเลย ย่อมเห็นได้ชัดว่าการบังคับคดีไม่เป็นลำดับไปตามคำพิพากษาของศาลตาม ป.วิ.พ. มาตรา 271 ซึ่งบัญญัติให้การบังคับคดีต้องอาศัยและตามคำบังคับที่ได้ออกตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น ทั้งไม่มีพฤติการณ์พิเศษอื่นใดที่จะอ้างความเป็นธรรมเพื่อให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินอื่นของจำเลยเพิ่มเติมโดยให้รอขายทอดตลาดไว้ก่อนให้ผิดไปจากคำพิพากษาของศาลซึ่งจะต้องมีการบังคับคดีได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8614/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ครบถ้วน ศาลฎีกายกคำพิพากษาให้พิจารณาใหม่ตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 6 กับจำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ยื่นอุทธรณ์มาคนละฉบับ แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยเพียงอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 6 โดยไม่มีเนื้อหาวินิจฉัยถึงอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไม่ได้วินิจฉัยคดีตามฟ้องอุทธรณ์ของผู้อุทธรณ์ ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 240 คดีมีเหตุอันสมควรที่ศาลฎีกาจะยกคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 8 แล้วให้ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิจารณาและพิพากษาใหม่ทั้งหมดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 243 (2) ประกอบมาตรา 247

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8614/2558 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ศาลฎีกายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ฯ กรณีไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ครบถ้วน จำเป็นต้องพิจารณาอุทธรณ์ใหม่ทั้งหมด
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 6 กับจำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ต่างยื่นอุทธรณ์ มาคนละฉบับ ผู้ร้องยื่นคำแก้อุทธรณ์จำเลยทั้งหกมาในฉบับเดียวกัน และศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งอุทธรณ์ของจำเลยทั้งหกไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 8 แต่คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยเพียงอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 6 โดยไม่มีเนื้อหาวินิจฉัยถึงอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 แต่อย่างใดด้วย จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 มิได้วินิจฉัยคดีตามฟ้องอุทธรณ์ของผู้อุทธรณ์ซึ่งศาลชั้นต้นส่งขึ้นมาโดยครบถ้วน และไม่อาจถือได้ว่าการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 มิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 เท่ากับว่าศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไม่เห็นพ้องด้วยกับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 และยกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 8 จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 240 คดีมีเหตุอันสมควรที่ศาลฎีกาจะยกคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 8 แล้วให้ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิจารณาและพิพากษาใหม่ทั้งหมดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 243 (2) ประกอบมาตรา 247

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7065/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลของความตายคู่ความต่อคดีแพ่ง: ศาลไม่ต้องเลื่อนพิจารณาหากไม่ทราบการตาย และไม่กระทบกระบวนพิจารณา
แม้ความตายของโจทก์ซึ่งเป็นคนไร้ความสามารถและอยู่ในความอนุบาลของ ศ. จะมีผลให้การเป็นผู้อนุบาลของ ศ. สิ้นสุดลงนับแต่วันที่โจทก์ถึงแก่ความตายในขณะที่คดีนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 8 ก็ตาม แต่บทบัญญัติ ป.วิ.พ. มาตรา 42 มิได้ให้เป็นหน้าที่ของบุคคลใดที่จะต้องแถลงให้ศาลทราบถึงความมรณะของคู่ความในคดีที่ค้างพิจารณาอยู่ในศาล เพียงแต่บัญญัติให้เป็นอำนาจหน้าที่ของศาลที่จะต้องเลื่อนการนั่งพิจารณาไปถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในคดีที่ค้างพิจารณาอยู่ในศาลได้มรณะเสียก่อนศาลพิพากษาคดี แสดงว่าความมรณะของคู่ความจะต้องปรากฏแก่ศาลที่คดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณา หากความไม่ปรากฏแก่ศาลก็ไม่มีเหตุที่ศาลจะต้องเลื่อนการนั่งพิจารณาหรือมีกรณีที่ศาลหรือคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะต้องดำเนินการตามมาตรา 42 คดีนั้นก็สามารถดำเนินการต่อไปได้ตามบทกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความ ไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติให้กระบวนพิจารณาที่ได้ดำเนินการภายหลังจากนั้นเป็นการพิจารณาที่ไม่ชอบ หรือมีผลให้การบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลที่ได้ดำเนินการมาแล้วโดยชอบสิ้นผลไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7064/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการพิจารณาคำร้องขอเปลี่ยนแปลงคู่ความหลังคดีถึงที่สุด และผลของการดำเนินการที่ไม่ถูกต้องตามระเบียบ
แม้คดีนี้ถึงที่สุดตามคำสั่งศาลฎีกาที่มีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความศาลฎีกาแล้วก็ตาม แต่ในชั้นบังคับคดีจำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนประกาศขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลย อันเป็นข้อพิพาทที่เกิดขึ้นเกี่ยวเนื่องกับการบังคับคดี เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง จำเลยอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยแล้ว ย่อมมีผลให้คดีดังกล่าวอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 8 และเป็นคดีกรณีที่จำต้องจัดหาบุคคลผู้เข้ามาเป็นคู่ความแทนโจทก์ผู้มรณะเพื่อให้มีคู่ความอยู่โดยครบถ้วนก่อนที่จะส่งสำเนาอุทธรณ์ของจำเลยให้แก่โจทก์และดำเนินคดีต่อไป การพิจารณาและมีคำสั่งให้บุคคลใดเข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ผู้มรณะในคดีซึ่งอยู่ในระหว่างอุทธรณ์เช่นนี้ จึงเป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไม่ใช่อำนาจของศาลชั้นต้น คำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค ๘ ที่ว่า คดีไม่อยู่ในอำนาจที่จะพิจารณาให้คืนคำร้องแก่ศาลชั้นต้นเพื่อดำเนินการต่อไป จึงเป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. มาตรา 27 วรรคหนึ่ง เมื่อความปรากฏแก่ศาลฎีกาประกอบกับจำเลยยกปัญหาดังกล่าวขึ้นอ้างในฎีกา ศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัย แต่เมื่อศาลชั้นต้นได้ดำเนินการตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 8 โดยมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ผู้มรณะซึ่งมิใช่เป็นคำสั่งไปในทางวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดีและอยู่ในอำนาจของผู้พิพากษาคนเดียวที่จะสั่งได้ คำสั่งของศาลชั้นต้นแม้จะเป็นการผิดระเบียบแต่ในชั้นนี้มีประเด็นเพียงเรื่องการจัดหาบุคคลผู้เข้ามาเป็นคู่ความแทนคู่ความมรณะเพื่อให้คดีสามารถดำเนินการไปได้โดยมีคู่ความครบถ้วน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 42 วรรคหนึ่ง ย่อมไม่เป็นที่เสียหายแก่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ศาลฎีกาไม่จำต้องเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียนนั้นหรือสั่งแก้ไขอย่างใดอย่างหนึ่ง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7062/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำหลังคำพิพากษาถึงที่สุด และอำนาจศาลฎีกาในการวินิจฉัยประเด็นความสงบเรียบร้อย
คำร้องของผู้ร้องที่อ้างว่ามีข้อเท็จจริงเกิดขึ้นใหม่เกี่ยวกับการเข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์เดิมของบริษัท พ. และมีผลให้บริษัทดังกล่าวไม่อยู่ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาที่จะบังคับคดีแก่จำเลยที่ 3 ได้ กับมีคำขอให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ และมีคำสั่งเพิกถอนการยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 3 มีผลเท่ากับเป็นการขอให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาอันเกี่ยวกับคดีที่ศาลได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งยกคำร้องของจำเลยที่ 3 ในเรื่องเดียวกันที่ขอให้เพิกถอนการยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 และคดีถึงที่สุดแล้ว ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 296 วรรคห้า จึงต้องห้ามมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลนั้นอันเกี่ยวกับคดีที่ไว้วินิจฉัยไว้แล้วนั้น ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144 ปัญหาที่ว่าคำร้องของจำเลยที่ 3 เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำหรือไม่ เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้างตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246, 247

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6667/2558 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีตามคำพิพากษาแบ่งมรดก ต้องดำเนินการตามขั้นตอนการแบ่งทรัพย์สินระหว่างเจ้าของรวมก่อน
คำพิพากษาของศาลที่ให้จำเลยทั้งห้าแบ่งทรัพย์มรดกแก่โจทก์ผู้เป็นทายาทด้วยกันเป็นเรื่องที่โจทก์กับจำเลยทั้งห้าในฐานะทายาทและเจ้าของรวมทุกคนพึงแบ่งทรัพย์สินนั้นเองระหว่างเจ้าของรวมด้วยกัน หรือโดยขายทรัพย์สินนั้นแล้วเอาเงินที่ขายได้แบ่งกัน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1364 วรรคหนึ่ง แต่เมื่อยังไม่มีการดำเนินการดังกล่าว ลำพังเพียงโจทก์เจรจากับจำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นทายาทผู้มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งคนหนึ่งโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 5 ได้รับมอบหมายจากทายาทอื่นให้เป็นตัวแทนเจรจากับโจทก์ จึงรับฟังไม่ได้ว่าเจ้าของรวมไม่อาจตกลงแบ่งทรัพย์สินกันได้อันเป็นเหตุยึดทรัพย์มรดกมาขายทอดตลาด ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1364 วรรคสอง เมื่อถือไม่ได้ว่าการบังคับตามคำพิพากษาของโจทก์เป็นไปตาม ลำดับขั้นตอนการแบ่งทรัพย์สินจึงต้องเพิกถอนการยึดทรัพย์มรดกเสีย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6667/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีมรดกต้องเป็นไปตามขั้นตอนการแบ่งทรัพย์สินระหว่างเจ้าของรวมก่อน หากยังตกลงแบ่งไม่ได้จึงบังคับคดีได้
คำพิพากษาของศาลที่ให้จำเลยทั้งห้าแบ่งทรัพย์มรดกของ น. แก่โจทก์ผู้เป็นทายาทด้วยกัน เป็นเรื่องที่โจทก์กับจำเลยทั้งห้าในฐานะทายาทและเจ้าของรวมทุกคนพึงแบ่งทรัพย์สินนั้นเองระหว่างเจ้าของรวมด้วยกัน หรือขายทรัพย์สินนั้นแล้วเอาเงินที่ขายได้แบ่งกัน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1364 วรรคหนึ่ง แต่เมื่อยังไม่มีการดำเนินการดังกล่าว ลำพังเพียงโจทก์เจรจากับจำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นทายาทผู้มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งคนหนึ่งโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 5 ได้รับมอบหมายจากทายาทอื่นให้เป็นตัวแทนเจรจากับโจทก์ จึงรับฟังไม่ได้ว่าเจ้าของรวมไม่อาจตกลงแบ่งทรัพย์สินกันได้ อันเป็นเหตุยึดทรัพย์มรดกมาขายทอดตลาดตาม ป.พ.พ. มาตรา 1364 วรรคสอง เมื่อถือไม่ได้ว่าการบังคับตามคำพิพากษาของโจทก์เป็นไปตามลำดับขั้นตอนการแบ่งทรัพย์สิน จึงต้องเพิกถอนการยึดทรัพย์มรดกเสีย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6498/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำขอออกหมายบังคับคดีเป็นคำขอฝ่ายเดียว ห้ามคู่ความโต้แย้งสิทธิหน้าที่
คดีนี้ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ยื่นคำขอต่อศาลชั้นต้นเพื่อให้ออกหมายบังคับคดี ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 275 วรรคหนึ่ง ทั้งตามบทบัญญัติดังกล่าวบัญญัติให้สิทธิแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาที่จะขอให้บังคับคดียื่นเป็นคำขอฝ่ายเดียว และตามมาตรา 21 (3) ยังบัญญัติให้คำขอเพื่อให้ออกหมายบังคับคดีเป็นคำขอที่อยู่ในข้อยกเว้นไม่อยู่ในอำนาจของศาลที่จะฟังคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งหรือคู่ความอื่น ๆ ก่อนออกคำสั่งในเรื่องนั้น ๆ อันเป็นคำขอฝ่ายเดียวโดยเคร่งครัด จึงไม่มีข้อโต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่อันใดเกี่ยวเนื่องกับการบังคับคดีตามคำพิพากษาที่จำเลยทั้งสองจะใช้สิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ออกหมายบังคับคดีแก่โจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6308/2558 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีเมื่อเจ้าของรวมไม่ยินยอมแบ่งทรัพย์สินมรดก ผู้มีสิทธิบังคับคดีได้ตามคำพิพากษา
แม้คำพิพากษาของศาลกำหนดให้จำเลยทั้งสี่ในฐานะผู้จัดการมรดกแบ่งทรัพย์สินให้แก่โจทก์ทั้งเก้าและผู้ร้องสอดทั้งสามตามอัตราส่วนแบ่งตามคำพิพากษา แต่เมื่อโจทก์ที่ 5 ในฐานะเจ้าของรวมซึ่งมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งในที่ดินมรดกทุกแปลงของผู้ตายอีกคนหนึ่งมิได้ยินยอมด้วย ต้องถือว่าการแบ่งทรัพย์สินนั้นจำเลยทั้งสี่ไม่อาจกระทำได้ด้วยความยินยอมของเจ้าของรวมทุกคน ทั้งกรณีเป็นการแบ่งทรัพย์สิน มิใช่การทำนิติกรรมซึ่งโจทก์ที่ 5 จะให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลยทั้งสี่ในการแบ่งมรดกได้ โจทก์ที่ 5 ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจึงมีสิทธิขอให้ออกหมายบังคับคดีตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อบังคับยึดที่ดินมรดกออกขายทอดตลาดได้
of 63