คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.อ. ม. 28

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 385 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3745/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใส่ความผู้อื่นต่อหน้าบุคคลที่สาม ต้องพิจารณาบริบทของการโต้เถียง หากเป็นการตอบโต้กันเท่านั้น ไม่ถือเป็นความเสียหาย
ศ.ได้นำเจ้าพนักงานไปดูสถานที่ซึ่ง ศ. กับพวกร้องเรียนว่าจำเลยใช้รถแทรกเตอร์ไถดินกลบลำเหมืองสาธารณะ ศ. กับจำเลยเกิดโต้เถียงกันและ ศ. ได้พูดว่าจำเลยก่อนว่า จำเลยจะโกงลำเหมือง จำเลยจึงพูดว่า ศ. ก็โกงที่เขามา ดังนี้ ถ้อยคำที่จำเลยกล่าวนั้น เป็นถ้อยคำตอบโต้หรือย้อนคำ ศ. เป็นเรื่องต่างคนต่างว่าซึ่งกันและกันในการทะเลาะโต้เถียงกันจึงถือไม่ได้ว่า ศ. เป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
คดีที่คู่ความอุทธรณ์ได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง ฯ นั้น ข้อเท็จจริงต้องฟังเป็นยุติตามที่ศาลแขวงฟังมา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3745/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใส่ความผู้อื่นต้องมีเจตนาทำให้เสียชื่อเสียง การโต้เถียงกันเองไม่ถือเป็นความเสียหาย
ศ.ได้นำเจ้าพนักงานไปดูสถานที่ซึ่งศ. กับพวกร้องเรียนว่าจำเลยใช้รถแทรกเตอร์ไถดินกลบลำเหมืองสาธารณะ ศ.กับจำเลยเกิดโต้เถียงกันและศ. ได้พูดว่าจำเลยก่อนว่าจำเลยจะโกงลำเหมือง จำเลยจึงพูดว่าศ.ก็โกงที่เขามา ดังนี้ ถ้อยคำที่จำเลยกล่าวนั้น เป็นถ้อยคำตอบโต้หรือย้อนคำ ศ. เป็นเรื่องต่างคนต่างว่าซึ่งกันและกันในการทะเลาะโต้เถียงกันจึงถือไม่ได้ว่า ศ. เป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง คดีที่คู่ความอุทธรณ์ได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงฯนั้น ข้อเท็จจริงต้องฟังเป็นยุติตามที่ศาลแขวงฟังมา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1438/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิฟ้องคดีอาญาของผู้เสียหายระงับเมื่ออัยการฟ้องและมีคำพิพากษาแล้ว
ผู้เสียหายเป็นโจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2525ขอให้ลงโทษจำเลยตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องวันที่ 12 กรกฎาคม 2525 ครั้นวันที่ 10มิถุนายน 2525 อัยการฟ้องจำเลยในความผิดกรรมเดียวกัน แต่ขอให้ลงโทษตาม มาตรา 391 จำเลยให้การรับสารภาพศาลชั้นต้นพิพากษาปรับจำเลย การที่ศาลจะใช้ดุลพินิจสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกันหรือไม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 33 ก็ต่อเมื่อปรากฏต่อศาลโดยศาลรู้เองหรือโดยโจทก์ยื่นคำร้องในระยะใดก่อนมีคำพิพากษาว่าอัยการและผู้เสียหายต่างฟ้องเรื่องเดียวกันหรือต่างศาลกัน เมื่อศาลไม่รู้ดังกล่าว และการกระทำความผิดของจำเลยตามที่ผู้เสียหายฟ้องได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดแล้วในคดีที่อัยการเป็นโจทก์ สิทธิของผู้เสียหายที่เป็นโจทก์ในการนำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3834/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีเช็ค – การรับแลกเช็คไม่เกินวัตถุประสงค์ – ความรับผิดของผู้สั่งจ่าย
โจทก์เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด มีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการโรงรับจำนำ การที่โจทก์รับแลกเช็คพิพาทไว้นั้นเป็นเพียงการให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในด้านเงินทุนอันเป็นกิจการที่ผู้ซึ่งประกอบการค้าหรือธุรกิจอย่างอื่นอาจกระทำได้เป็นปกติไม่ถึงกับเป็นการนอกวัตถุประสงค์ เมื่อได้ความว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทซึ่งมีลายมือชื่อจำเลยลงไว้ในฐานะผู้สั่งจ่ายและธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คดังกล่าว โจทก์ย่อมเป็นผู้เสียหายและมีอำนาจฟ้อง
การที่เช็คพิพาทมีตราของบริษัทจำกัดประทับอยู่ด้วยนั้นไม่ว่าจำเลยจะสั่งจ่ายเช็คพิพาทในฐานะส่วนตัวหรือในฐานะที่กระทำแทนบริษัท จำเลยก็ย่อมมีความรับผิดในทางอาญาเช่นเดียวกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3724/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สินสมรสเดิมของจำเลย อำนาจจำหน่าย และการแจ้งความเท็จเกี่ยวกับสถานภาพ
ที่ดินและบ้านพิพาทเป็นทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียวโดยเป็นสินเดิมของจำเลยที่ 1 หาใช่สินสมรสไม่เมื่อใช้บังคับบทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ตรวจชำระใหม่แล้วย่อมเป็นสินส่วนตัวของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 มีอำนาจจำหน่ายได้เองโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์ และมิใช่ทรัพย์สินที่โจทก์จะมีส่วนแบ่งเมื่อหย่ากัน ฉะนั้นแม้ในการที่จำเลยที่ 1ทำสัญญาขายที่ดินและบ้านพิพาทดังกล่าวจำเลยที่ 1 แจ้งแก่เจ้าพนักงานที่ดินว่า จำเลยที่ 1 เป็นหม้ายโดยการตายของสามี ยังไม่ได้ทำการสมรสใหม่ และจำเลยที่ 2 รับรองการเป็นหม้ายของจำเลยที่ 1 ให้เจ้าพนักงานที่ดินบันทึกไว้ก็ตาม หากข้อความดังกล่าวเป็นความเท็จโจทก์ก็มิใช่ผู้เสียหายอันจะฟ้องจำเลยฐานแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 267 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3724/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ที่ดินสินเดิมก่อนสมรส ไม่ถือเป็นสินสมรส โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องฐานแจ้งความเท็จ
ที่ดินและบ้านพิพาทเป็นทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียว โดยเป็นสินเดิมของจำเลยที่ 1 หาใช่สินสมรสไม่เมื่อใช้บังคับบทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ตรวจชำระใหม่แล้วย่อมเป็นสินส่วนตัวของจำเลยที่ 1จำเลยที่ 1 มีอำนาจจำหน่ายได้เองโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์ และมิใช่ทรัพย์สินที่โจทก์จะมีส่วนแบ่งเมื่อหย่ากัน ฉะนั้นแม้ในการที่จำเลยที่ 1ทำสัญญาขายที่ดินและบ้านพิพาทดังกล่าวจำเลยที่ 1 แจ้งแก่เจ้าพนักงานที่ดินว่า จำเลยที่ 1 เป็นหม้ายโดยการตายของสามี ยังไม่ได้ทำการสมรสใหม่ และจำเลยที่ 2 รับรองการเป็นหม้ายของจำเลยที่ 1 ให้เจ้าพนักงานที่ดินบันทึกไว้ก็ตาม หากข้อความดังกล่าวเป็นความเท็จโจทก์ก็มิใช่ผู้เสียหายอันจะฟ้องจำเลยฐานแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา267 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3016/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ที่ดินรัฐจัดสรร: สิทธิไม่สมบูรณ์, โอนขายไม่ได้, ฟ้องบุกรุกไม่ได้
ที่ดินของรัฐซึ่งเดิมเป็นที่รกร้างว่างเปล่า อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1304(1) แม้ทางราชการจะนำมาจัดสรรให้ราษฎรเข้าทำกินจ. เป็นผู้จับสลากได้ตามระเบียบว่าด้วยการจัดที่ดินเพื่อประชาชนที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 20(6), 27, 33 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินแต่จะยังมิได้รับใบจอง เพียงแต่นำหลักไปปักเป็นเขตไว้โดยมิได้ทำประโยชน์อะไร จ. หาได้ที่ดินเป็นสิทธิของตนโดยสมบูรณ์ไม่ ที่ดินแปลงนี้ยังเป็นที่ดินของรัฐและอธิบดีกรมที่ดินมีอำนาจสั่งให้ จ. ออกจากที่ดิน ตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 32 ได้ จ. ไม่มีสิทธิที่จะโอนขายให้แก่โจทก์ แม้โจทก์ได้รับโอนไว้และครอบครองมาโจทก์ก็หาเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยที่จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานบุกรุกได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3016/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ที่ดินรัฐจัดสรรยังไม่เป็นสิทธิสมบูรณ์ โจทก์ซื้อต่อไม่มีสิทธิฟ้องบุกรุก
ที่ดินของรัฐซึ่งเดิมเป็นที่รกร้างว่างเปล่า อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1304(1) แม้ทางราชการจะนำมาจัดสรรให้ราษฎรเข้าทำกินจ. เป็นผู้จับสลากได้ตามระเบียบว่าด้วยการจัดที่ดินเพื่อประชาชนที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 20(6),27,33 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินแต่จะยังมิได้รับใบจอง เพียงแต่นำหลักไปปักเป็นเขตไว้โดยมิได้ทำประโยชน์อะไร จ. หาได้ที่ดินเป็นสิทธิของตนโดยสมบูรณ์ไม่ ที่ดินแปลงนี้ยังเป็นที่ดินของรัฐและอธิบดีกรมที่ดินมีอำนาจสั่งให้ จ. ออกจากที่ดิน ตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 32 ได้ จ. ไม่มีสิทธิที่จะโอนขายให้แก่โจทก์ แม้โจทก์ได้รับโอนไว้และครอบครองมาโจทก์ก็หาเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยที่จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานบุกรุกได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1709/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีเบิกความเท็จ: ผู้เสียหายต้องเป็นคู่ความในคดีที่ถูกเบิกความเท็จ
ความผิดฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177,181 เป็นความผิดในประมวลกฎหมายอาญา ภาค 2 ลักษณะ 3 หมวด 1 ว่าด้วยความผิดต่อเจ้าพนักงานในการยุติธรรมซึ่งกฎหมายมุ่งคุ้มครองเจ้าพนักงานในการยุติธรรมและคู่ความให้ได้รับผลในทางความยุติธรรมเป็นสำคัญ ไม่เกี่ยวกับบุคคลนอกคดีนอกจากนี้ยังต้องพิจารณาอีกด้วยว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ได้รับความเสียหายโดยตรงจากการกระทำของจำเลยหรือไม่
โจทก์ในคดีนี้ (เป็นทนายความจำเลย) ไม่ได้ถูกฟ้องคดีอาญาเรื่องบุกรุกทำให้เสียทรัพย์และเสื่อมเสียเสรีภาพนั้นด้วย ฉะนั้น แม้จำเลยจะเบิกความในคดีนั้นว่าอย่างไรก็ไม่มีทางที่โจทก์จะได้รับความเสียหายจากคำเบิกความของจำเลยได้ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรงจากคำเบิกความของจำเลย ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยในความผิดฐานเบิกความเท็จได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 28

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1379/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจสอบสวนและฟ้องคดีเช็ค: การกระทำผิดต่อเนื่องในต่างท้องที่
จำเลยออกเช็คพิพาทมอบให้โจทก์ร่วมที่ร้านของโจทก์ร่วมซึ่งตั้งอยู่ในเขตท้องที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอบางคล้าจังหวัดฉะเชิงเทราและโจทก์ร่วมก็ได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอบางคล้าเพื่อให้ดำเนินคดีกับจำเลย แม้ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินที่กรุงเทพมหานคร ก็ถือได้ว่าการกระทำผิดอาญาได้ทำลงในท้องที่อำเภอบางคล้าจังหวัดฉะเชิงเทรา ต่อเนื่องกับการกระทำผิดในท้องที่ธนาคารฏิเสธการจ่ายเงินพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอบางคล้าจังหวัดฉะเชิงเทรา ย่อมมีอำนาจสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 19(3)พนักงานอัยการจังหวัดฉะเชิงเทราจึงมีอำนาจฟ้อง
of 39