พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,524 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4603/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบรรยายฟ้องความผิดเจ้าพนักงานต้องระบุเจตนาพิเศษทำให้เสียหาย หากขาดองค์ประกอบ ศาลต้องยกฟ้อง
ความผิดข้อหาเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตาม ป.อ. มาตรา 157 นั้น มีองค์ประกอบเรื่องเจตนาพิเศษในการกระทำว่าเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดด้วย เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องเพียงว่า จำเลยเจตนาจงใจไม่เสนอคำขอรับการประเมินวิทยฐานะของโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โดยไม่ได้บรรยายฟ้องถึงเจตนาพิเศษดังกล่าวคำฟ้องโจทก์จึงขาดองค์ประกอบความผิด ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5)
แม้เดิมคำฟ้องโจทก์จะบรรยายว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ปฏิบัติการให้เป็นไปตามกฎหมายหรือคำสั่งเพื่อบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมาย ป้องกันหรือขัดขวางมิให้เป็นไปตามกฎหมายหรือคำสั่งนั้น โดยไม่ส่งคำขอรับการประเมินวิทยฐานะ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย กับมีคำขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 165 แต่โจทก์ขอแก้ฟ้องยกเลิกคำฟ้องเดิมทั้งหมด โดยข้อความที่แก้ไขใหม่ไม่มีข้อหาดังกล่าว จึงถือว่าโจทก์มิได้บรรยายฟ้องในความผิดข้อหานี้
แม้ปัญหาเรื่องการบรรยายฟ้องในความผิดทั้งสองข้อหาข้างต้น มิได้เป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย จำเลยย่อมยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
แม้เดิมคำฟ้องโจทก์จะบรรยายว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ปฏิบัติการให้เป็นไปตามกฎหมายหรือคำสั่งเพื่อบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมาย ป้องกันหรือขัดขวางมิให้เป็นไปตามกฎหมายหรือคำสั่งนั้น โดยไม่ส่งคำขอรับการประเมินวิทยฐานะ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย กับมีคำขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 165 แต่โจทก์ขอแก้ฟ้องยกเลิกคำฟ้องเดิมทั้งหมด โดยข้อความที่แก้ไขใหม่ไม่มีข้อหาดังกล่าว จึงถือว่าโจทก์มิได้บรรยายฟ้องในความผิดข้อหานี้
แม้ปัญหาเรื่องการบรรยายฟ้องในความผิดทั้งสองข้อหาข้างต้น มิได้เป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย จำเลยย่อมยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3799/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องหมิ่นประมาททางโทรศัพท์: การระบุสถานที่เกิดเหตุที่ชัดเจน
การกระทำความผิดอาญาบางอย่าง ผู้กระทำผิดอาจกระทำได้โดยลำพังคนเดียว โดยไม่มีพยานรู้เห็น คดีนี้ โจทก์บรรยายฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยกล่าวข้อความหมิ่นประมาทโจทก์ทางโทรศัพท์ต่อ ค. บุคคลที่สามซึ่งโทรศัพท์มาจากประเทศญี่ปุ่น ขณะนั้นจำเลยอยู่ในประเทศไทย ทำงานอยู่ที่บริษัท อ. แต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าวันดังกล่าวจำเลยอยู่ที่ไหน จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่บริษัท ซ. เห็นได้ว่าโจทก์ได้บรรยายสถานที่เกิดเหตุว่าเหตุเกิดที่ประเทศญี่ปุ่นและประเทศไทย แต่จะเกิดเหตุที่บริษัทที่จำเลยทำงานอยู่หรือเกิดที่ภูมิลำเนาของจำเลยหรือที่ใดในประเทศไทย ไม่ทราบแน่ชัด ซึ่งจำเลยสามารถรู้และเข้าใจได้ถึงข้อที่จำเลยถูกกล่าวหา เพราะคำฟ้องได้กล่าวถึงบุคคลและสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดซึ่งจำเลยทราบอยู่แล้ว คำฟ้องโจทก์ได้กล่าวถึงรายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำความผิดรวมทั้งบุคคลที่เกี่ยวข้องพอสมควรเท่าที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2514/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบรรยายฟ้องความผิดขัดขวางเจ้าพนักงานและการประมาทเลี่ยงได้หากบรรยายตามลำดับเหตุการณ์ชอบ
ฟ้องโจทก์บรรยายอ้างว่าจำเลยกระทำการอันเป็นการขัดขวางการปฏิบัติการตามหน้าที่ของเจ้าพนักงานตามกฎหมายในขณะเข้าทำการตรวจค้นจำเลยกับพวก โดยบรรยายการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดเริ่มตั้งแต่จำเลยฉวยโอกาสขึ้นไปบนรถยนต์ซึ่งจอดอยู่แล้วติดเครื่องยนต์รถขับถอยหลัง อันเป็นการบรรยายฟ้องที่แสดงการกระทำว่าจำเลยกระทำโดยเจตนา และโจทก์บรรยายต่อไปถึงการกระทำของจำเลยต่อเนื่องกันว่า แล้วจำเลยขับรถถอยหลังออกไปอย่างรวดเร็วด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ ซึ่งจำเลยอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ รถที่จำเลยขับถอยออกไปอย่างรวดเร็วเฉี่ยวชนกระแทกถูกดาบตำรวจ พ. เจ้าพนักงานตำรวจล้มลง เป็นเหตุให้ดาบตำรวจ พ. รับอันตรายสาหัส และชนรถจักรยานยนต์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติกับรถยนต์ซึ่งอยู่ในความครอบครองของ ธ. ได้รับความเสียหาย อันเป็นการกระทำขัดขวางของจำเลยที่ติดต่อต่อเนื่องกันโดยไม่ขาดตอนว่าเป็นการกระทำโดยประมาท มิใช่เป็นการบรรยายฟ้องที่แสดงการกระทำการขัดขวางอันเป็นการกระทำในเวลาเดียวกันกับการกระทำตอนเริ่มต้นที่จำเลยฉวยโอกาสขึ้นไปบนรถแล้วขับรถถอยหลังออกไป กรณีจึงมิใช่เรื่องฟ้องโจทก์บรรยายการกระทำอันเป็นการขัดขวางของจำเลยโดยแสดงว่าเป็นการกระทำโดยประมาทและเจตนา ซึ่งขัดแย้งกันหรือเป็นไปไม่ได้ในเวลาเดียวกัน ฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงการกระทำของจำเลยตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นไปตามลำดับเหตุการณ์ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) แล้ว ไม่เป็นฟ้องที่ไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2187/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนทรัพย์มรดกไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ ต้องมีการโอนทรัพย์ของลูกหนี้ไปให้ผู้อื่น
ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตาม ป.อ. มาตรา 350 ต้องปรากฏว่าเจ้าหนี้ได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ลูกหนี้ชำระหนี้แล้ว หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ลูกหนี้ชำระหนี้ โดยผู้กระทำต้องรู้ว่าเจ้าหนี้ได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ลูกหนี้ชำระหนี้ หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ลูกหนี้ชำระหนี้ และย้ายไปเสียซึ่งทรัพย์ ซ่อนเร้นทรัพย์ หรือโอนทรัพย์ของลูกหนี้ไปให้แก่ผู้อื่น เพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันโอนชื่อที่ดินของ บ. จาก บ. เป็นผู้รับโอนประเภทมรดกใส่ชื่อจำเลยทั้งสอง ฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองรับโอนที่ดินซึ่งเป็นมรดกของ บ. ที่ตกทอดแก่จำเลยทั้งสองในฐานะที่จำเลยทั้งสองเป็นผู้รับมรดกของ บ. เท่านั้น ซึ่งโจทก์ในฐานะเจ้าหนี้กองมรดกของ บ. ยังคงมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์มรดกดังกล่าว เมื่อคำฟ้องของโจทก์ไม่ได้ระบุว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันโอนที่ดินของ บ. ซึ่งเป็นลูกหนี้โจทก์ไปให้แก่ผู้อื่น จึงเป็นฟ้องที่ขาดสาระสำคัญไม่ครบองค์ประกอบแห่งความผิดฐานโกงเจ้าหนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1690/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความคุ้มครองลิขสิทธิ์เป็นองค์ประกอบสำคัญของความผิดตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ การบรรยายฟ้องต้องระบุระยะเวลาการคุ้มครอง
องค์ประกอบความผิดในส่วนการกระทำตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 69 วรรคสอง ประกอบมาตรา 27 (1) (2) คือ การทำซ้ำหรือดัดแปลง เผยแพร่ต่อสาธารณชนซึ่งงานอันมีลิขสิทธิ์ และองค์ประกอบความผิดในส่วนการกระทำตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 70 วรรคสอง ประกอบมาตรา 31 (1) คือ การขาย มีไว้เพื่อขาย เสนอขาย งานที่ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่น และองค์ประกอบทั้งสองมาตราในส่วนของงานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้อื่นนั้น ต้องเป็นงานสร้างสรรค์ที่กฎหมายลิขสิทธิ์ให้ความคุ้มครอง โดยได้มาตามเงื่อนไขของกฎหมายและต้องอยู่ในอายุแห่งการคุ้มครองลิขสิทธิ์ด้วย เพราะลิขสิทธิ์เป็นสิทธิที่ได้รับความคุ้มครองภายในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น หลังจากพ้นกำหนดอายุการคุ้มครองแล้ว งานลิขสิทธิ์จะตกเป็นงานที่สาธารณชนสามารถใช้ประโยชน์จากงานนั้นได้โดยไม่เป็นความผิด ดังนี้ องค์ประกอบความผิดที่ว่า งานอันมีลิขสิทธิ์ต้องอยู่ในอายุแห่งการคุ้มครองลิขสิทธิ์ตามกฎหมายนั้นจึงเป็นสาระสำคัญ การที่จะรู้ว่างานอันมีลิขสิทธิ์ใดยังอยู่ในอายุแห่งการคุ้มครองลิขสิทธิ์หรือไม่ ก็ต้องเป็นไปตามมาตรา 19 แห่ง พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 หากผู้สร้างสรรค์เป็นบุคคลธรรมดาก็จะมีอายุการคุ้มครองลิขสิทธิ์ตลอดอายุผู้สร้างสรรค์และมีอยู่ต่อไปอีกเป็นเวลาห้าสิบปี หากผู้สร้างสรรค์เป็นนิติบุคคลก็จะมีอายุการคุ้มครองลิขสิทธิ์ห้าสิบปีนับแต่ผู้สร้างสรรค์ได้สร้างสรรค์ขึ้น แต่ถ้ามีการโฆษณางานในระยะเวลาดังกล่าว อายุการคุ้มครองลิขสิทธิ์ห้าสิบปีนับแต่ได้มีการโฆษณาครั้งแรก เมื่อโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่า โจทก์ซึ่งเป็นนิติบุคคลได้ลิขสิทธิ์ในการสร้างสรรค์งานดังกล่าวเมื่อใด หรือมีการโฆษณางานหรือไม่ หากมีการโฆษณางาน โจทก์ได้มีการโฆษณางานครั้งแรกเมื่อใด จึงไม่มีข้อเท็จจริงในส่วนที่แสดงให้เห็นว่าลิขสิทธิ์ดังกล่าวอยู่ในอายุแห่งการคุ้มครองลิขสิทธิ์หรือไม่ จึงเป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1688-1689/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องละเมิดลิขสิทธิ์ที่ไม่สมบูรณ์ ขาดรายละเอียดวันเวลาสร้างสรรค์และโฆษณาผลงาน
เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งแปดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่น โดยทำซ้ำงานศิลปกรรมอันมีลิขสิทธิ์กับขายและเผยแพร่ต่อสาธารณชนซึ่งงานที่ได้ทำขึ้น โดยละเมิดลิขสิทธิ์ตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 69 วรรคสอง ประกอบมาตรา 27 (1) และมาตรา 70 วรรคสอง ประกอบมาตรา 31 (1) (2) โจทก์ต้องบรรยายฟ้องให้ครบองค์ประกอบของความผิดในส่วนของการกระทำที่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์งานที่กฎหมายรับรองว่าเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ และการได้มาซึ่งลิขสิทธิ์เป็นไปตามวิธีการและเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด ทั้งต้องบรรยายให้ปรากฏด้วยว่างานนั้นได้สร้างสรรค์ขึ้นเมื่อใดและหรือมีการโฆษณางานนั้นครั้งแรกเมื่อใด เพื่อแสดงให้เห็นว่าขณะเกิดเหตุงานดังกล่าวยังอยู่ในอายุแห่งการคุ้มครองลิขสิทธิ์ตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 19 แต่ในส่วนนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ข้อมูลแผนที่ดิจิทัลโดยได้รับโอนมาจากบริษัท จ. เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2554 และข้อมูลแผนที่ดิจิทัลเป็นงานสร้างสรรค์ประเภทงานศิลปกรรม โดยไม่ได้บรรยายฟ้องหรือได้ความจากเอกสารท้ายคำฟ้องซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องว่า บริษัท จ. ซึ่งเป็นนิติบุคคลผู้สร้างสรรค์และโอนสิทธิ์ให้โจทก์ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้นเมื่อใดและหรือได้โฆษณางานนั้นเป็นครั้งแรกเมื่อใด จึงเป็นคำฟ้องที่ขาดองค์ประกอบของความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นดังกล่าว อันเป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบ
การขอแก้หรือเพิ่มเติมฟ้องตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 26 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 163 วรรคหนึ่ง นั้น จะต้องปรากฏว่าฟ้องเดิมเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามกฎหมายมาแต่แรก โจทก์จึงจะขอแก้หรือเพิ่มเติมฟ้องได้ เมื่อคำฟ้องของโจทก์ขาดองค์ประกอบของความผิดอันเป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังได้วินิจฉัยมาข้างต้น โจทก์จึงไม่อาจขอแก้หรือเพิ่มเติมฟ้องได้
การขอแก้หรือเพิ่มเติมฟ้องตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 26 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 163 วรรคหนึ่ง นั้น จะต้องปรากฏว่าฟ้องเดิมเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามกฎหมายมาแต่แรก โจทก์จึงจะขอแก้หรือเพิ่มเติมฟ้องได้ เมื่อคำฟ้องของโจทก์ขาดองค์ประกอบของความผิดอันเป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังได้วินิจฉัยมาข้างต้น โจทก์จึงไม่อาจขอแก้หรือเพิ่มเติมฟ้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 668/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
องค์ประกอบความผิดฐานช่วยเหลือคนต่างด้าวเข้าเมือง และการพิพากษาลงโทษจากคำฟ้องที่ไม่ครบองค์ประกอบ
พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 64 วรรคหนึ่ง มีองค์ประกอบความผิดว่า "ผู้ใดรู้ว่าคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืน พ.ร.บ. นี้..." ดังนั้น การที่จะเป็นความผิดฐานนี้ คนต่างด้าวจะต้องเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืน พ.ร.บ. นี้ และผู้กระทำความผิดต้องรู้เหตุดังกล่าวด้วย แต่โจทก์บรรยายฟ้องว่าคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงไม่อาจแปลความว่า คนต่างด้างดังกล่าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายได้ ฟ้องโจทก์จึงไม่ครบองค์ประกอบความผิดตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 21188/2556
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบรรยายฟ้องฐานเป็นซ่องโจรต้องระบุข้อตกลงร่วมกระทำผิด ชี้ฟ้องไม่ชัด ศาลยกฟ้อง
ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) โจทก์ต้องบรรยายฟ้องถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยทั้งหกได้กระทำผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆ อีกทั้งบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยทั้งหกเข้าใจข้อหาได้ดี แต่ตามฟ้องของโจทก์ โจทก์มิได้บรรยายว่า จำเลยทั้งหกสมคบกัน และได้ตกลงกันว่าจะกระทำความผิดฐานลักทรัพย์อะไร ของผู้ใด ด้วยวิธีการอย่างไร อันเป็นข้อเท็จจริงที่เป็นสาระสำคัญขององค์ประกอบความผิดฐานเป็นซ่องโจร จึงเป็นการบรรยายฟ้องที่ไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 20504/2556
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบรรยายฟ้องคดีพยายามฆ่า: ต้องระบุเจตนาที่ชัดเจน หากเปลี่ยนแปลงรายละเอียดสาระสำคัญในชั้นฎีกา ศาลไม่รับวินิจฉัย
ข้อเท็จจริงในความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นที่โจทก์บรรยายไว้ในคำฟ้องเป็นเรื่องที่โจทก์กล่าวหาจำเลยทั้งสองว่ากระทำผิดด้วยเจตนาโดยประสงค์ต่อผลให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายจากการถูกฟันด้วยมีดแตกต่างไปจากที่โจทก์อ้างในฎีกาว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำผิดด้วยเจตนาโดยเล็งเห็นผลว่าผู้เสียหายอาจถึงแก่ความตายเนื่องจากขาดอากาศหายใจซึ่งเป็นสาระสำคัญ หาใช่ข้อเท็จจริงอันเป็นรายละเอียดที่โจทก์ไม่จำต้องบรรยายในคำฟ้องไม่ ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ชอบที่จะไม่รับวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวเพราะเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้กล่าวในฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 215
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 20134/2556
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
องค์ประกอบความผิดฐานใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์โดยมิชอบ ต้องระบุความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น การบรรยายฟ้องไม่ชัดเจนทำให้ฟ้องไม่ครบองค์ประกอบ
องค์ประกอบความผิดฐานใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบตาม ป.อ. มาตรา 269/5 มีว่า "ในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน" ด้วย แต่ฟ้องโจทก์มิได้มีข้อความดังกล่าว และแม้จะอ่านคำบรรยายฟ้องโจทก์โดยตลอดก็ไม่อาจทราบความหมายนี้ได้ ฟ้องโจทก์จึงไม่ครบองค์ประกอบความผิดตามกฎหมาย