คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.อ. ม. 158 (5)

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,524 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 128/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีอาญาต้องอาศัยการกระทำผิดก่อนฟ้อง การรับสารภาพหลังฟ้องไม่ทำให้เกิดความผิด
การลงโทษจำเลยในคดีที่จำเลยให้การรับสารภาพนั้นต้องอาศัยคำฟ้อง และการฟ้องขอให้ลงโทษผู้ใดตามกฎหมายต้องเป็นเรื่องที่ผู้นั้นได้กระทำผิดมาแล้วก่อนวันที่โจทก์ฟ้อง จะฟ้องล่วงหน้าว่าจำเลยกระทำผิดหาได้ไม่แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพก็เป็นการรับสารภาพตามฟ้องที่ไม่เป็นความผิด
โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2541 กล่าวหาว่าจำเลยกระทำผิดในวันที่ 23 ธันวาคม 2541 เป็นการกล่าวหาว่าจำเลยกระทำผิดภายหลังวันที่โจทก์ฟ้อง วันเวลาซึ่งเกิดการกระทำที่โจทก์กล่าวหาว่าเป็นความผิดเป็นสาระสำคัญของข้อเท็จจริงที่โจทก์จะต้องบรรยายในคำฟ้องตาม ป.วิ.อ.มาตรา 158 (5) โจทก์จะละเลยเสียมิได้ โจทก์จึงไม่อาจจะอ้างว่าเกิดจากความผิดหลง ฟ้องโจทก์ไม่ชอบ ไม่อาจลงโทษจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 128/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีอาญาต้องอาศัยการกระทำผิดก่อนวันฟ้อง การรับสารภาพตามฟ้องที่ไม่เป็นความผิด
การลงโทษจำเลยในคดีที่จำเลยให้การรับสารภาพนั้นต้องอาศัยคำฟ้องและการฟ้องขอให้ลงโทษผู้ใดตามกฎหมายต้องเป็นเรื่องที่ผู้นั้นได้กระทำผิดมาแล้วก่อนวันที่โจทก์ฟ้อง จะฟ้องล่วงหน้าว่าจำเลยกระทำผิดหาได้ไม่ แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพก็เป็นการรับสารภาพตามฟ้องที่ไม่เป็นความผิด
โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2541 กล่าวหาว่าจำเลยกระทำผิดในวันที่ 23 ธันวาคม 2541 เป็นการกล่าวหาว่าจำเลยกระทำผิดภายหลังวันที่โจทก์ฟ้อง วันเวลาซึ่งเกิดการกระทำที่โจทก์กล่าวหาว่าเป็นความผิดเป็นสาระสำคัญของข้อเท็จจริงที่โจทก์จะต้องบรรยายในคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) โจทก์จะเลยเสียมิได้ โจทก์จึงไม่อาจจะอ้างว่าเกิดจากความผิดหลง ฟ้องโจทก์ไม่ชอบ ไม่อาจลงโทษจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9664/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ วันเวลาการกระทำผิดเป็นรายละเอียดในฟ้อง ไม่ใช่สาระสำคัญ หากจำเลยไม่หลงต่อสู้ ศาลลงโทษตามข้อเท็จจริงได้
วันเวลากระทำผิดเป็นเพียงรายละเอียดที่จะต้องกล่าวไว้ในฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) ข้อแตกต่างในเรื่องวันกระทำผิดจึงไม่ใช่ข้อสาระสำคัญ หากจำเลยมิได้หลงต่อสู้ ศาลจะลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนั้นก็ได้ ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสอง คดีนี้จำเลยให้การและเบิกความว่าไม่ได้กระทำผิดตามฟ้อง และนำสืบข้อเท็จจริงตรงตามที่โจทก์นำสืบมา ถือไม่ได้ว่าจำเลยหลงต่อสู้ ศาลจึงพิพากษาลงโทษจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9515/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปลูกสร้างกีดขวางทางสัญจรในทะเลสาบ: ศาลมีอำนาจสั่งรื้อถอนได้ แม้ไม่มีคำสั่งเจ้าท่า
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยปลูกสร้างอาคารเป็นสะพานทางเดินล่วงล้ำเข้าไปเหนือน้ำในน้ำของทะเลสาบสงขลาอันเป็นทางสัญจรของประชาชนโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าท่า ขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ. การเดินเรือในน่านน้ำไทย ฯ มาตรา 117 , 118 และให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากทะเลสาบสงขลา ดังนี้ ถือว่าเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) แล้ว แม้จะมิได้บรรยายฟ้องว่า เจ้าท่ามีคำสั่งให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งก็ตาม เพราะ พ.ร.บ. การเดินเรือในน่านน้ำไทย ฯ มาตรา 118 ทวิ ที่แก้ไข เป็นการกำหนดวิธีการรื้อถอนหรือแก้ไขอาคารหรือสิ่งอื่นใดที่ปลูกสร้างขึ้นโดยไม่รับอนุญาตจากเจ้าท่าเท่านั้น ไม่ใช่บทบัญญัติซึ่งเป็นองค์ประกอบของความผิดตามฟ้อง เมื่อฟังได้ว่าจำเลยปลูกสร้างกีดขวางทางสัญจรของประชาชน เป็นความผิดตาม พ.ร.บ. การเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. 2456 มาตรา 117 ศาลย่อมมีอำนาจที่จะพิพากษาในคดีอาญาคดีนี้ให้จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองเป็นผู้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่กีดขวางทางสัญจรดังกล่าวออกไปจากทะเลสาบสงขลาได้ตามมาตรา 118 ทวิ วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8887/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความสมบูรณ์ของฟ้องคดีเช็ค และการนับโทษต่อหลังรับสารภาพ
++ เรื่อง ความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค ++
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 โดยบรรยายฟ้องว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คลงวันที่เท่าใด ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินในวันใด ถึงแม้จะมิได้กล่าวว่าธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเวลาใด ก็เป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 158 (5) เพราะเป็นที่เห็นได้ว่า ปฏิเสธการจ่ายเงินในเวลากลางวันอันเป็นเวลาทำการของธนาคาร และแม้โจทก์ไม่ได้ระบุไว้ด้วยว่าจำเลยเป็นหนี้ค่าอะไร และบังคับได้ตามกฎหมายอย่างไร ก็เป็นการเพียงพอที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ส่วนข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยเป็นหนี้ค่าอะไรและบังคับได้ตามกฎหมายอย่างไร เป็นรายละเอียดที่โจทก์จะต้องนำสืบในชั้นพิจารณา
ความผิดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2534 มาตรา 4 เกิดขึ้นเมื่อธนาคารปฏิเสธการใช้เงินตามเช็ค มิใช่เกิดในวันออกเช็ค โจทก์จึงไม่จำต้องบรรยายถึงสถานที่ที่จำเลยออกเช็คให้แก่ผู้เสียหาย
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น เดิมจำเลยให้การปฏิเสธต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องว่า จำเลยเป็นบุคคลเดียวกันกับจำเลยในคดีอาญาอีกคดีหนึ่งของศาลชั้นต้น หากมีคำพิพากษาจำคุกจำเลย ก็ขอให้นับโทษต่อด้วย จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคำร้องดังกล่าวว่าเป็นการแก้ไขเล็กน้อยอนุญาต จำเลยไม่เคยคัดค้านโต้แย้งคำสั่งดังกล่าว ต่อมาจำเลยขอถอนคำให้การเดิมเป็นให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ การที่จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมฟ้องขอให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษในอีกคดีหนึ่งดังกล่าว ย่อมถือได้ว่าจำเลยรับในข้อเท็จจริงที่โจทก์อ้างมาในคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องด้วย เพราะถือเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษในอีกคดีหนึ่งนั้นชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8835/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคุ้มครองลิขสิทธิ์งานจากต่างประเทศ: ฟ้องชอบด้วยกฎหมายแม้ไม่ระบุหลักเกณฑ์คุ้มครองของประเทศนั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำละเมิดลิขสิทธิ์และขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 61 โดยกล่าวในฟ้องว่างานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้สร้างสรรค์ตามคำฟ้องเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ของเมืองฮ่องกง ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นประเทศภาคแห่งอนุสัญญากรุงเบอร์ว่าด้วยการคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรมซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ด้วย ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่องกำหนดรายชื่อประเทศภาคีแห่งอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองลิขสิทธิ์หรืออนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิของนักแสดง ลงวันที่ 15พฤษภาคม 2539 จึงได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์พ.ศ. 2537 ถือได้ว่าโจทก์ได้บรรยายข้อเท็จจริงในคำฟ้องครบถ้วนตามบทบัญญัติมาตรา 61 แห่งกฎหมายดังกล่าวแล้ว แม้โจทก์จะไม่ได้กล่าวในคำฟ้องว่า กฎหมายของเมืองฮ่องกงซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ให้ความคุ้มครองเช่นเดียวกันแก่งานอันมีลิขสิทธิ์ของประเทศไทยซึ่งเป็นภาคีอยู่ด้วยก็ตาม ฟ้องของโจทก์ก็ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 26 เพราะข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดที่ต้องบรรยายในคำฟ้องตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2521 มาตรา 42ซึ่งถูกเลิกโดยพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ส่วนมาตรา 61แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวมิได้บัญญัติให้ข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศอีกต่อไปแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8835/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคุ้มครองลิขสิทธิ์งานสร้างสรรค์จากต่างประเทศ: ข้อเท็จจริงที่ต้องบรรยายในคำฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 แม้โจทก์จะไม่ได้กล่าวในคำฟ้องว่ากฎหมายของเมืองฮ่องกงซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ให้ความคุ้มครองเช่นเดียวกันแก่งานอันมีลิขสิทธิ์ของประเทศไทยซึ่งเป็นภาคีอยู่ด้วยดังที่จำเลยอุทธรณ์ก็ตาม ฟ้องของโจทก์ก็ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) ประกอบด้วย พ.ร.บ. จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและ การค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 26 เพราะข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดที่ต้องบรรยายในคำฟ้องตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2521 มาตรา 42 ซึ่งถูกยกเลิกโดย พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 แล้ว ซึ่งมาตรา 61 แห่ง พ.ร.บ. ดังกล่าวมิได้บัญญัติให้ข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศอีกต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8084/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจ่ายรางวัลเจ้าพนักงานจับกุมตาม พ.ร.บ.บำเหน็จฯ ต้องระบุในคำฟ้องว่ามีผู้นำจับหรือไม่ หากไม่ระบุ ให้จ่ายรางวัลตามอัตราไม่มีผู้นำจับ
กรณีที่จะจ่ายรางวัลแก่เจ้าพนักงานผู้จับกุมตามพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ. 2489 มาตรา 8 นั้น แบ่งออกได้เป็น 2 กรณี กรณีแรกตามวรรคหนึ่งคือมีผู้นำจับให้จ่ายรางวัลร้อยละยี่สิบห้าของราคาของกลางหรือค่าปรับ กรณีที่สองตามวรรคสองคือไม่มีผู้นำจับให้จ่ายรางวัลร้อยละยี่สิบของราคาของกลางหรือค่าปรับ และตามมาตรา 9 บัญญัติให้พนักงานอัยการร้องขอต่อศาลให้จ่ายรางวัลแก่เจ้าพนักงานผู้จับกุม ดังนั้น เมื่อรางวัลที่จะจ่ายให้เจ้าพนักงานผู้จับกุมมีอยู่สองอัตรา จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องบรรยายในคำฟ้องให้ชัดเจนว่าจะขอให้ศาลจ่ายรางวัลแก่เจ้าพนักงานผู้จับกุมในกรณีมีหรือไม่มีผู้นำจับ เมื่อโจทก์มิได้บรรยายในคำฟ้องให้ชัดเจนว่ามีผู้นำจับ ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าคดีนี้มีผู้นำจับ ดังนี้ ต้องจ่ายรางวัลให้แก่เจ้าพนักงานผู้จับกุมร้อยละยี่สิบตามมาตรา 8 วรรคสอง กรณีไม่มีผู้นำจับ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8084/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจ่ายรางวัลเจ้าพนักงานจับกุม: จำเป็นต้องระบุในคำฟ้องว่ามีผู้นำจับหรือไม่ เพื่อกำหนดอัตราการจ่ายรางวัลที่ถูกต้อง
กรณีที่จะจ่ายรางวัลแก่เจ้าพนักงานผู้จับกุมตาม พ.ร.บ.ให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ. 2489 มาตรา 8 นั้น แบ่งออกได้เป็น 2 กรณี กรณีแรกตามวรรคหนึ่งคือมีผู้นำจับให้จ่ายรางวัลร้อยละยี่สิบห้าของราคาของกลางหรือค่าปรับ กรณีที่สองตามวรรคสองคือไม่มีผู้นำจับให้จ่ายรางวัลร้อยละยี่สิบของราคาของกลางหรือค่าปรับ และตามมาตรา 9 บัญญัติให้พนักงานอัยการร้องขอต่อศาลให้จ่ายรางวัลแก่เจ้าพนักงานผู้จับกุม ดังนั้น เมื่อรางวัลที่จะจ่ายให้เจ้าพนักงานผู้จับกุมมีอยู่สองอัตรา จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องบรรยายในคำฟ้องให้ชัดเจนว่าจะขอให้ศาลจ่ายรางวัลแก่เจ้าพนักงานผู้จับกุมในกรณีมีหรือไม่มีผู้นำจับ เมื่อโจทก์มิได้บรรยายในคำฟ้องให้ชัดเจนว่ามีผู้นำจับ ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าคดีนี้มีผู้นำจับ ดังนี้ต้องจ่ายรางวัลให้แก่เจ้าพนักงานผู้จับกุมร้อยละยี่สิบตามมาตรา 8 วรรคสอง กรณีไม่มีผู้นำจับ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6668/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การก่อสร้างผิดเงื่อนไขใบอนุญาตตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร และการฎีกาที่ไม่สามารถทำได้ในประเด็นข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยฝ่าฝืน พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522มาตรา 31 โดยดำเนินการก่อสร้างผิดไปจากเงื่อนไขที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นกำหนดไว้ในใบอนุญาต ซึ่งต้องระวางโทษจำเลยตามมาตรา 65 ทั้งวรรคหนึ่งและวรรคสองที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรา 65 ทั้งวรรคหนึ่งและวรรคสองจึงไม่เกินคำขอ
พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 31 ที่แก้ไขแล้วบัญญัติห้ามมิให้ผู้ใดจัดให้มีหรือดำเนินการก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน หรือเคลื่อนย้ายอาคารให้ผิดไปจากแผนผังบริเวณหรือเงื่อนไขที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นกำหนดไว้ในใบอนุญาต การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้ทำการควบคุมการก่อสร้างอาคารโดยมิได้จัดให้มีเครื่องป้องกันวัสดุตกหล่นและฝุ่นละอองฟุ้งกระจายรอบตัวอาคารที่ก่อสร้าง อันเป็นการฝ่าฝืนเงื่อนไขที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นกำหนดไว้ในใบอนุญาต ซึ่งจำเลยทราบแล้ว พร้อมทั้งอ้าง พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 31จึงเป็นการบรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดครบองค์ประกอบความผิด ตลอดจนข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีและอ้างมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดครบถ้วนสมบูรณ์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว โดยโจทก์ไม่จำต้องระบุประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่องกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน หรือเคลื่อนย้ายอาคารเพื่อป้องกันภยันตรายที่อาจเกิดแก่สุขภาพ ชีวิตร่างกายและทรัพย์สินของประชาชนอีก
ที่จำเลยฎีกาว่า ข้อเท็จจริงตามฟ้องเกี่ยวกับระยะเวลาที่จำเลยฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นกำหนดไว้ในใบอนุญาตไม่ถูกต้อง ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปีหรือปรับหรือทั้งจำทั้งปรับ จึงต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกา ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 218 วรรคหนึ่ง
of 153