คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.อ. ม. 158 (5)

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,524 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3006/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องหมิ่นประมาทด้วยคำพูด ไม่จำเป็นต้องแนบเอกสารถอดเทป หากฟ้องบรรยายถ้อยคำสำคัญได้ชัดเจน และการไม่อุทธรณ์ประเด็นหมิ่นประมาทถือเป็นการยอมรับ
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) วรรคสองบัญญัติว่า ในคดีหมิ่นประมาท ถ้อยคำพูด หนังสือ ภาพขีดเขียนหรือสิ่งอื่นอันเกี่ยวกับข้อหมิ่นประมาท ให้กล่าวไว้โดยบริบูรณ์ติดมาท้ายฟ้องนั้น เมื่อโจทก์ได้บรรยายฟ้องถึงถ้อยคำที่จำเลยกล่าวอันเป็นข้อสำคัญที่ทำให้เห็นว่า เป็นการหมิ่นประมาท ก็ย่อมเป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ไม่จำต้องแนบเอกสารที่ถอดข้อความจากเทปบันทึกเสียงติดมาท้ายฟ้องด้วย เพราะเป็นการหมิ่นประมาทด้วยถ้อยคำพูด มิใช่หมิ่นประมาทด้วยหนังสือ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรคสองบัญญัติว่า อุทธรณ์ทุกฉบับต้องระบุข้อเท็จจริงโดยย่อหรือข้อกฎหมายที่ยกขึ้นอ้างอิงเป็นลำดับ เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ข้อความที่จำเลยพูดเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ร่วม จำเลยมิได้อุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้คงอุทธรณ์ในข้ออื่นเท่ากับจำเลยยอมรับว่า คำพิพากษาศาลชั้นต้นในปัญหานี้ถูกต้องแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3006/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องหมิ่นประมาทด้วยคำพูด: การบรรยายฟ้องและข้อยอมรับของจำเลย
ในคดีหมิ่นประมาท โจทก์ได้บรรยายฟ้องถึงถ้อยคำที่จำเลยกล่าวอันเป็นข้อสำคัญที่ทำให้เห็นว่าเป็นการหมิ่นประมาทแล้วแม้จะมีข้อความในคำฟ้องไม่ตรงกับถ้อยคำในแถบบันทึกเสียงซึ่งโจทก์อ้างส่งเป็นพยาน แต่ส่วนใหญ่ใจความตรงกัน และเป็นการหมิ่นประมาทด้วยถ้อยคำพูดมิใช่หมิ่นประมาทด้วยหนังสือโจทก์จึงไม่ต้องแนบเอกสารที่ถอดข้อความจากแถบบันทึกเสียงติดมาท้ายฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158(5) วรรคสอง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าข้อความที่จำเลยพูดเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ร่วม เมื่อจำเลยมิได้อุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้ จึงเท่ากับยอมรับว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้นในปัญหานี้ถูกต้องแล้วการที่ศาลอุทธรณ์ฟังเป็นยุติตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยจึงชอบแล้ว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3006/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีหมิ่นประมาท: การบรรยายฟ้องและข้อโต้แย้งเรื่องถ้อยคำ/เอกสาร การไม่ยกข้อต่อสู้ในอุทธรณ์ถือเป็นการยอมรับ
ในคดีหมิ่นประมาท โจทก์ได้บรรยายฟ้องถึงถ้อยคำที่จำเลยกล่าวอันเป็นข้อสำคัญที่ทำให้เห็นว่าเป็นการหมิ่นประมาทแล้ว แม้จะมีข้อความในคำฟ้องไม่ตรงกับถ้อยคำในแถบ บันทึกเสียง ซึ่งโจทก์อ้างส่งเป็นพยาน แต่ส่วนใหญ่ใจความตรงกัน และเป็นการหมิ่นประมาทด้วยถ้อยคำพูดมิใช่หมิ่นประมาทด้วยหนังสือ โจทก์จึงไม่ต้องแนบเอกสารที่ถอด ข้อความจากแถบ บันทึกเสียงติดมาท้ายฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา158(5) วรรคสอง ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าข้อความที่จำเลยพูดเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ร่วม เมื่อจำเลยมิได้อุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้ จึงเท่ากับยอมรับว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้นในปัญหานี้ถูกต้องแล้ว การที่ศาลอุทธรณ์ฟังเป็นยุติตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยจึงชอบแล้ว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3006/2530 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องหมิ่นประมาทด้วยคำพูดและการวินิจฉัยข้อกฎหมายเกี่ยวกับการบรรยายฟ้องและข้ออุทธรณ์
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) วรรคสอง บัญญัติว่า ในคดีหมิ่นประมาท ถ้อยคำพูด หนังสือ ภาพขีดเขียน หรือสิ่งอื่นอันเกี่ยวกับข้อหมิ่นประมาท ให้กล่าวไว้โดยบริบูรณ์ติดมาท้ายฟ้องนั้น เมื่อโจทก์ได้บรรยายฟ้องถึงถ้อยคำที่จำเลยกล่าวอันเป็นข้อสำคัญที่ทำให้เห็นว่า เป็นการหมิ่นประมาท ก็ย่อมเป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ไม่จำต้องแนบเอกสารที่ถอดข้อความจากเทปบันทึกเสียงติดมาท้ายฟ้องด้วย เพราะเป็นการหมิ่นประมาทด้วยถ้อยคำพูด มิใช่หมิ่นประมาทด้วยหนังสือ
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรคสองบัญญัติว่า อุทธรณ์ทุกฉบับต้องระบุข้อเท็จจริงโดยย่อหรือข้อกฎหมายที่ยกขึ้นอ้างอิงเป็นลำดับ เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ข้อความที่จำเลยพูดเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ร่วม จำเลยมิได้อุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้คงอุทธรณ์ในข้ออื่นเท่ากับจำเลยยอมรับว่า คำพิพากษาศาลชั้นต้นในปัญหานี้ถูกต้องแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2856/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน: แม้สร้างเพื่อสาธารณประโยชน์ ก็ยังเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้สร้าง
โจทก์บรรยายฟ้องว่าเมรุ เผาศพเป็นของโจทก์สร้างไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ให้ประชาชนใช้เผาศพร่วมกัน การบรรยายฟ้องดังกล่าวชี้ ให้เห็นว่าเมรุ เผาศพของโจทก์ใช้ประโยชน์อย่างไรบ้าง ไม่ว่าโจทก์จะใช้ทำประโยชน์ส่วนตัวหรือให้ประชาชนใช้ร่วมกันก็ยังคงเป็นของโจทก์อยู่นั่นเอง ดังนี้โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายและมีอำนาจฟ้องตามนัยแห่ง ป.วิ.อ. มาตรา 2(4) ประกอบมาตรา 28(2).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2682-2683/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปิดประกาศกฎหมายไม้หวงห้ามและการฟ้องซ้ำในคดีไม้ผิดกฎหมาย
โจทก์ระบุในฟ้องว่าเหตุเกิดที่ตำบลใดไม่ปรากฏชัด อำเภอคีรีรัฐนิคมจังหวัดสุราษฎร์ธานีและตำบลดอนยางอำเภอปะทิวจังหวัดชุมพรเมื่อได้ปิดประกาศสำเนาพระราชกฤษฎีกากำหนดไม้หวงห้าม (ฉบับที่2) พ.ศ.2510 ซึ่งกำหนดไม้ชาเรียน หรือทุเรียนป่าเป็นไม้หวงห้าม ณ ที่ว่าการอำเภอปะทิวและที่ทำการกำนันตำบลดอนยาง อันเป็นที่เกิดเหตุแห่งหนึ่งแล้ว ถือได้ว่าได้มีการปิดประกาศสำเนาพระราชกฤษฎีกากำหนดไม้หวงห้ามดังกล่าวในท้องที่ซึ่งเกี่ยวข้องตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา5 แล้ว
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 3 สองสำนวนในความผิดต่างกรรมกันศาลชั้นต้นสั่งรวมพิจารณา มิใช่กรณีศาลพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้ว โจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยอีกในการกระทำอันเดียวกัน จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการฟ้องซ้ำ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2682-2683/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปิดประกาศพระราชกฤษฎีกาไม้หวงห้ามในท้องที่เกิดเหตุ และการฟ้องซ้ำในคดีไม้หวงห้าม
โจทก์ระบุในฟ้องว่าเหตุเกิดที่ตำบลใดไม่ปรากฏชัด อำเภอคีรีรัฐนิคม จังหวัดสุราษฎร์ธานี และตำบลดอนยาง อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร เมื่อได้ปิดประกาศสำเนาพระราชกฤษฎีกากำหนดไม้หวงห้าม (ฉบับที่2) พ.ศ.2510 ซึ่งกำหนดไม้ชาเรียน หรือทุเรียนป่าเป็นไม้หวงห้าม ณ ที่ว่าการอำเภอปะทิวและที่ทำการกำนัน ตำบลดอนยาง อันเป็นที่เกิดเหตุแห่งหนึ่งแล้ว ถือได้ว่าได้มีการปิดประกาศสำเนาพระราชกฤษฎีกากำหนดไม้หวงห้ามดังกล่าวในท้องที่ซึ่งเกี่ยวข้องตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 5 แล้ว
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 3 สองสำนวนในความผิดต่างกรรมกันศาลชั้นต้นสั่งรวมพิจารณา มิใช่กรณีศาลพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้ว โจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยอีกในการกระทำอันเดียวกัน จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการฟ้องซ้ำ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2446/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิด พ.ร.บ.เลือกตั้งฯ ต้องเป็นการใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย การบรรยายฟ้องต้องครบองค์ประกอบ
การกระทำของข้าราชการที่จะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พุทธศักราช 2522 มาตรา 15 จะต้องเป็นการใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใด โจทก์บรรยายฟ้องเพียงว่าจำเลยเป็นปลัดกระทรวงการคลังและเป็นประธานกรรมการบริหารของธนาคารกรุงไทย จำกัด โดยตำแหน่งไม่ได้บรรยายว่าจำเลยมีหน้าที่อย่างไร การให้ข่าวแก่นักหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับการปล่อยสินเชื่อในสมัยที่โจทก์ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารดังกล่าวตามที่โจทก์กล่าวในฟ้อง เป็นการกระทำในหน้าที่ของจำเลยหรือไม่ และการให้ข่าวเช่นนั้นเป็นการใช้อำนาจในตำแหน่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร ฟ้องโจทก์จึงบรรยายไม่ครบองค์ประกอบของความผิด เป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2446/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ องค์ประกอบความผิด พ.ร.บ.เลือกตั้ง: การใช้อำนาจหน้าที่โดยไม่ชอบเพื่อเป็นคุณ/โทษแก่ผู้สมัคร
การกระทำของข้าราชการที่จะเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พุทธศักราช 2522 มาตรา 15จะต้องเป็นการใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเพื่อเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใด โจทก์บรรยายฟ้องเพียงว่าจำเลยเป็นปลัดกระทรวงการคลัง และเป็นประธานกรรมการบริหารของธนาคารกรุงไทย จำกัด โดยตำแหน่งไม่ได้บรรยายว่าจำเลยมีหน้าที่อย่างไร การให้ข่าวแก่นักหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับการปล่อยสินเชื่อในสมัยที่โจทก์ดำรง ตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารดังกล่าวตามที่โจทก์กล่าวในฟ้อง เป็นการกระทำในหน้าที่ของจำเลยหรือไม่ และการให้ข่าวเช่นนั้นเป็นการใช้อำนาจในตำแหน่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร ฟ้องโจทก์จึงบรรยายไม่ครบองค์ประกอบของความผิด เป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 158(5).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2446/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความไม่สมบูรณ์ของฟ้องอาญาการเลือกตั้ง: จำเป็นต้องระบุหน้าที่และอำนาจของจำเลย
การกระทำของข้าราชการที่จะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พุทธศักราช 2522 มาตรา 15 จะต้องเป็นการใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใด โจทก์บรรยายฟ้องเพียงว่าจำเลยเป็นปลัดกระทรวงการคลังและเป็นประธานกรรมการบริหารของธนาคารกรุงไทย จำกัด โดยตำแหน่งไม่ได้บรรยายว่าจำเลยมีหน้าที่อย่างไร การให้ข่าวแก่นักหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับการปล่อยสินเชื่อในสมัยที่โจทก์ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารดังกล่าวตามที่โจทก์กล่าวในฟ้อง เป็นการกระทำในหน้าที่ของจำเลยหรือไม่ และการให้ข่าวเช่นนั้นเป็นการใช้อำนาจในตำแหน่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร ฟ้องโจทก์จึงบรรยายไม่ครบองค์ประกอบของความผิด เป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5).
of 153