พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,524 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 511/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องไม่สมบูรณ์ – ข้อหาแจ้งความเท็จ/เบิกความเท็จ ขัดแย้งในข้อเท็จจริงสำคัญ
แม้การบรรยายฟ้องแต่ละตอนจะได้แยกข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบแห่งความผิดของแต่ละฐานความผิดก็ตาม แต่โจทก์ก็ไม่ได้บรรยายให้ชัดลงไปว่า จำเลยกระทำความผิดฐานใดการสรุปคำบรรยายฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดฐานแจ้งความเท็จหรือมิฉะนั้นจำเลยกระทำความผิดฐานเบิกความเท็จในคำฟ้องเดียวกัน โดยมิได้ยืนยันให้แน่ชัดลงไปว่า ข้อเท็จจริงอย่างไหนเป็นเท็จและอย่างไหนเป็นจริง ซึ่งหากจะมีก็มีได้เพียงอย่างเดียว หาใช่ว่าจะเป็นไปได้ทั้งสองอย่างดังที่โจทก์กล่าวอ้าง ฟ้องโจทก์ขัดแย้งกันในข้อเท็จจริงอันเป็นสารสำคัญการกระทำความผิด ยากที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีและต่อสู้คดีได้ถูกต้อง จึงเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 269/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับปากแล้วไม่ทำตาม ไม่เข้าข่ายความผิดฐานฉ้อโกง หากไม่มีเจตนาหลอกลวงตั้งแต่แรก
โจทก์บรรยายฟ้องเป็นใจความว่า จำเลยนำความเท็จมากล่าวหลอกลวงแก่ประชาชนและโจทก์ โดยจำเลยจัดพิมพ์หนังสือบันทึกเหตุการณ์เขมรฆ่าโหดคนไทย 30 ศพการจำหน่ายหนังสือดังกล่าวจำเลยโฆษณาแก่ประชาชนและโจทก์ว่า จำเลยจะนำเงินรายได้ไปช่วยซื้ออาวุธให้ราษฎรชายแดนคุ้มครองหมู่บ้าน เป็นเหตุให้โจทก์หลงเชื่อตกลงซื้อหนังสือดังกล่าว 2 เล่ม เป็นเงิน40 บาท จำเลยจำหน่ายหนังสือดังกล่าวได้เงิน 200,000บาท จำเลยได้รับเงินค่าหนังสือจากโจทก์แล้วกลับนำเงินดังกล่าวไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวและผู้อื่น ไม่นำไปซื้ออาวุธเพื่อแจกจ่ายราษฎรชายแดน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ดังนี้ ข้อความที่ปรากฏในฟ้องแสดงเพียงว่าจำเลยรับจะทำอะไรแล้วไม่ทำตามรับเท่านั้นการไม่ทำตามรับดังที่โจทก์ฟ้องไม่ใช่ความผิดฐานฉ้อโกง แม้ในฟ้องจะมีคำว่าจำเลยนำความเท็จมากล่าวหลอกลวงแก่ประชาชนและโจทก์ แต่เมื่ออ่านฟ้องโดยตลอดจะพบว่าไม่มีการหลอกลวงอันเป็นความผิดฐานฉ้อโกง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 268/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความไม่ชัดเจนของฟ้องในความผิดฐานฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ ทำให้จำเลยไม่เข้าใจข้อหา
ในความผิดฐานฟ้องเท็จ ฟ้องของโจทก์บรรยายถึงคำฟ้องที่ว่าเป็นฟ้องเท็จความจริงเป็นอย่างไรมิได้กล่าวถึง พิจารณาคำฟ้องโดยตลอดก็ไม่อาจเข้าใจได้ และที่โจทก์กล่าวในฟ้องว่าโจทก์มิได้กระทำความผิดเพราะศาลพิพากษายกฟ้องในคดีนั้น ก็เป็นเพียงอ้างผลของคำพิพากษาว่าศาลพิพากษาในคดีนั้นอย่างไรเท่านั้น ถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้บรรยายฟ้องถึงความจริงอันแสดงให้เห็นได้ว่าคำฟ้องในคดีนั้นเป็นความเท็จ ยากที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดี ส่วนฟ้องของโจทก์ที่ว่าจำเลยเบิกความเท็จนั้น โจทก์บรรยายฟ้องถึงคำเบิกความของจำเลยแต่ละคนมาหลายตอนซึ่งมิใช่ความเท็จทั้งหมดคำเบิกความของจำเลยคนใดตอนไหนเป็นความเท็จและความจริงเป็นอย่างไร โจทก์มิได้กล่าวให้ชัดเจน ไม่อาจทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีเช่นกัน ฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 245/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องไม่ชัดเจน ขาดรายละเอียดสำคัญ ศาลยกฟ้องและไม่รับอุทธรณ์ความเท็จ
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในข้อหาความผิดฐานรีดเอาทรัพย์และฉ้อโกง โดยบรรยายฟ้องว่า จำเลยกับพวกรวม 4 คนได้ข่มขืนใจโจทก์ให้ยอมให้หรือยอมจะให้ ธนาคารกสิกรไทยจำกัด สาขาน่าน ได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยขู่ว่าจะเปิดเผยความลับซึ่งการเปิดเผยนั้นจะทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายและหลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดข้อความซึ่งควรบอกให้แจ้งโดยการขู่และหลอกลวงดังกล่าวทำให้โจทก์จำต้องทำเอกสารสิทธิคือหนังสือรับสภาพหนี้ 1 ฉบับ รับว่าจะชำระเงินให้ธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขาน่าน จำนวน 80,000 บาท ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ดังนี้ ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ดังกล่าว ความลับซึ่งการเปิดเผยจะทำให้โจทก์เสียหายนั้นเป็นความลับเรื่องใดหาปรากฏไม่ และที่กล่าวหาว่าจำเลยฉ้อโกง หลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งนั้น ข้อความใดเป็นความเท็จและความจริงเป็นอย่างไรก็มิได้ปรากฏในคำบรรยายฟ้อง ฟ้องของโจทก์จึงเคลือบคลุมไม่บรรยายมาพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี เป็นฟ้องที่ไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
การอุทธรณ์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องนั้นต้องอยู่ในบังคับแห่งบทบัญญัติว่าด้วยการอุทธรณ์ด้วย
การอุทธรณ์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องนั้นต้องอยู่ในบังคับแห่งบทบัญญัติว่าด้วยการอุทธรณ์ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 64/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีป่าไม้ต้องระบุรายละเอียดการเคลื่อนย้ายไม้ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ หากไม่บรรยายตามกฎหมาย ฟ้องขาดองค์ความผิด
มาตรา 38 พระราชบัญญัติ ป่าไม้ พ.ศ. 2484 บังคับแก่กรณีนำไม้หรือของป่าเคลื่อนที่ต่อไปจากที่ ๆ ระบุไว้ เมื่อฟ้องมิได้บรรยายข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติดังกล่าว จึงขาดองค์ความผิดลงโทษไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องอาญาฐานทำให้เสียทรัพย์ต้องระบุรายละเอียดการกระทำที่ทำให้ทรัพย์สินเสียหาย หากฟ้องไม่ชัดเจน ศาลยกฟ้อง
ฟ้องบรรยายว่าจำเลยเข้าไปและปิดกั้นตึกแถวของโจทก์ แล้วจำเลยทำให้ทรัพย์สิ่งของของโจทก์ที่อยู่ในตึกแถวเสียหาย โดยมิได้บรรยายชัดแจ้งว่าจำเลยกระทำการใดแก่ทรัพย์สิ่งของต่าง ๆ ของโจทก์ให้เสียหาย ลำพังจำเลยเข้าไปและปิดกั้นตึกแถวดังกล่าวย่อมไม่ทำให้เห็นได้ว่าได้ก่อให้เกิดความเสียหาย ทำลายหรือทำให้เสื่อมค่า หรือทำให้ไร้ประโยชน์แก่ทรัพย์สิ่งของต่าง ๆ ของโจทก์ ความเสียหายของแบตเตอรี่และอาคารบูดเน่านั้นเป็นไปตามสภาพของทรัพย์นั้นเอง หาใช่เกิดจากการกระทำของจำเลยไม่ ดังนี้ ถือได้ว่าฟ้องโจทก์ไม่ระบุถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยกระทำความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์เป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องอาญาฐานทำให้เสียทรัพย์ต้องระบุการกระทำที่ทำให้ทรัพย์เสียหายชัดเจน มิใช่แค่การบุกรุกและปิดกั้นสถานที่
ฟ้องบรรยายว่า.จำเลยเข้าไปและปิดกั้นตึกแถวของโจทก์แล้วจำเลยทำให้ทรัพย์สิ่งของของโจทก์ที่อยู่ในตึกแถวเสียหาย โดยมิได้บรรยายชัดแจ้งว่าจำเลยกระทำการใดแก่ทรัพย์สิ่งของต่างๆ ของโจทก์ให้เสียหาย ลำพังจำเลยเข้าไปและปิดกั้นตึกแถวดังกล่าว ย่อมไม่ทำให้เห็นได้ว่าได้ก่อให้เกิดความเสียหาย ทำลายหรือทำให้เสื่อมค่า หรือทำให้ไร้ประโยชน์แก่ทรัพย์สิ่งของต่างๆของโจทก์ ความเสียหายของแบตเตอรี่และอาหารบูดเน่านั้นเป็นไปตามสภาพของทรัพย์นั้นเอง หาใช่เกิดจากการกระทำของจำเลยไม่ ดังนี้ ถือได้ว่า ฟ้องโจทก์ไม่ระบุถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลย กระทำความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ เป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3073/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องอาญา มาตรา 157 ต้องระบุเจตนาทำให้เสียหาย และการใส่ความต้องมีลักษณะเป็นการหมิ่นประมาท
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 แต่มิได้บรรยายฟ้องว่า การที่จำเลยปฏิบัติหน้าที่โดย มิชอบนั้น จำเลยกระทำลงด้วยเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ อันเป็นองค์ประกอบความผิดประการหนึ่งด้วย คำฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับ ข้อหานี้จึงไม่สมบูรณ์ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
แม้ข้อความที่จำเลยให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ผิดพลาดไม่ถูกต้อง แต่ข้อความนั้นก็ไม่มีลักษณะเป็นการใส่ความโจทก์ที่จำเลยกล่าวถึง วัว ควายและช้าง ก็กล่าวในทำนองเปรียบเทียบว่า โจทก์จะร้องเรียน ให้ความจริงเป็นอย่างอื่นย่อมเป็นไปไม่ได้เท่านั้น ถือไม่ได้ว่าเป็นการ หมิ่นประมาทโจทก์
แม้ข้อความที่จำเลยให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ผิดพลาดไม่ถูกต้อง แต่ข้อความนั้นก็ไม่มีลักษณะเป็นการใส่ความโจทก์ที่จำเลยกล่าวถึง วัว ควายและช้าง ก็กล่าวในทำนองเปรียบเทียบว่า โจทก์จะร้องเรียน ให้ความจริงเป็นอย่างอื่นย่อมเป็นไปไม่ได้เท่านั้น ถือไม่ได้ว่าเป็นการ หมิ่นประมาทโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2750/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสมบูรณ์ของฟ้องอาญาคดีทำร้ายร่างกายและพยายามฆ่า แม้ไม่ระบุตัวผู้กระทำผิดเฉพาะเจาะจง
ฟ้องของโจทก์ตอนแรกบรรยายว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฝ่ายหนึ่งและจำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 อีกฝ่ายหนึ่ง ได้บังอาจเข้าทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน โจทก์บรรยายฟ้องตอนต่อไปใจความว่าโดนจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้บังอาจร่วมกันชกต่อยทำร้าย และใช้อาวุธปืนยิงจำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 โดยเจตนาฆ่า แต่กระสุนปืนไม่ถูกอวัยวะสำคัญของจำเลยที่ 4 และไม่ถูกจำเลยที่ 3 ที่ 5 ส่วนจำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ได้บังอาจร่วมกันใช้ไม้ท่อนและมีดดาบเป็นอาวุธตีและฟันทำร้ายจำเลยที่ 1 ที่ 2 โดยเจตนาฆ่า แต่ไม่ถูกอวัยวะสำคัญ จำเลยทั้งสองฝ่ายจึงไม่ถึงแก่ความตาย ดังนี้เห็นว่าฟ้องของโจทก์กล่าวไว้ชัดว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฝ่ายหนึ่งกระทำผิดข้อหาพยายามฆ่าและทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 และจำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ฝ่ายหนึ่ง กระทำผิดข้อหาพยายามฆ่าและทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 1 ที่ 2 แม้จำเลยไม่บรรยายว่าจำเลยคนใดทำร้ายจำเลยคนใด ก็เป็นการบรรยายพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี เพราะฟ้องโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยแต่ละฝ่ายสมคบกันกระทำผิด ฟ้องของโจทก์จึงสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2750/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสมบูรณ์ของฟ้องอาญา พยายามฆ่า/ทำร้ายร่างกาย แม้ไม่ได้ระบุตัวผู้กระทำผิดเฉพาะเจาะจง
ฟ้องของโจทก์ตอนแรกบรรยายว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฝ่ายหนึ่งและจำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 อีกฝ่ายหนึ่ง ได้บังอาจเข้าทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน โจทก์บรรยายฟ้องตอนต่อไปใจความว่าโดยจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้บังอาจร่วมกันชกต่อยทำร้าย และใช้อาวุธปืนยิงจำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 โดยเจตนาฆ่า แต่กระสุนปืนไม่ถูกอวัยวะสำคัญของจำเลยที่ 4 และไม่ถูกจำเลยที่ 3 ที่ 5 ส่วนจำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ได้บังอาจร่วมกันใช้ไม้ท่อนและมีดดาบเป็นอาวุธตีและพันทำร้ายจำเลยที่ 1 ที่ 2 โดยเจตนาฆ่า แต่ไม่ถูกอวัยวะสำคัญ จำเลยทั้งสองฝ่ายจึงไม่ถึงแก่ความตาย ดังนี้ เห็นว่าฟ้องของโจทก์กล่าวไว้ชัดว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฝ่ายหนึ่งกระทำผิดข้อหาพยายามฆ่าและทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5และจำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ฝ่ายหนึ่ง กระทำผิดข้อหาพยายามฆ่าและทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 1 ที่ 2 แม้จะไม่บรรยายว่าจำเลยคนใดทำร้ายจำเลยคนใด ก็เป็นการบรรยายพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี เพราะฟ้องโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยแต่ละฝ่ายสมคบกันกระทำผิด ฟ้องของโจทก์จึงสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา158(5)