คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สบโชค สุขารมณ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 504 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4095/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ แจ้งความเท็จ-ทำไม้ผิดกฎหมาย: ศาลยืนโทษจำคุก แม้มีภาระครอบครัว เหตุพฤติการณ์ร้ายแรง
พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 แจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อพนักงานป่าไม้โดยยื่นคำขอขึ้นทะเบียนที่ดินของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นที่นาไม่มีต้นไม้เป็นสวนป่า เพื่อจะทำไม้ในป่าแล้วนำมาสวมเข้าเป็นไม้ในสวนป่าของตนที่ยื่นคำขอ และร่วมกับพวกทำไม้ในป่า โดยตัด ฟัน เลื่อย โค่น ไม้สัก ซึ่งเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. จำนวนมากถึง 164 ท่อน ปริมาตร 31.43 ลูกบาศก์เมตร และร่วมกันม่ไม้สักอันยังมิได้แปรรูปจำนวนดังกล่าวไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายแล้วร่วมกันใช้ตราสวนป่าซึ่งจำเลยที่ 1 ได้มาจากการแจ้งความเท็จตีตอกหรือประทับหรือแสดงการเป็นเจ้าของไม้บนไม้สักดังกล่าว ซึ่งมิได้มาจากการทำสวนป่า ลักษณะของการกระทำความผิดเป็นการกระทำที่คำนึงถึงแต่ประโยชน์ส่วนตัวและไม่ยำเกรงต่อกฎหมาย นับเป็นพฤติการณ์ร้ายแรง แม้จำเลยที่ 1 มีภาระต้องรับผิดชอบต่อครอบครัว แต่เป็นเพียงเหตุผลและความจำเป็นส่วนตัว จึงยังไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะให้ความปรานีแก่จำเลยที่ 1 โดยการรอการลงโทษให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4014/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำชำเราต่อเนื่อง: การพิจารณาความผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรม
จำเลยที่ 1 กระทำชำเราผู้เสียหายครั้งแรกในคืนวันที่ 16 มีนาคม 2544 ครั้นถึงวันรุ่งขึ้นเวลาเที่ยงวัน ผู้เสียหาย จะกลับบ้านจึงเดินออกจากบ้านที่เกิดเหตุกับนางสาว ร. เดินไปประมาณ 2 กิโลเมตร จำเลยทั้งสองกับพวกอีก 1 คน ขับรถจักรยานยนต์ตามมา จำเลยที่ 2 จับแขนนางสาว ร. จำเลยที่ 1 จับแขนผู้เสียหายบอกผู้เสียหายว่าค่อยกลับตอนเย็น ผู้เสียหายไม่ยอม จำเลยที่ 1 ดึงแขนลากตัวผู้เสียหายกลับไปในบ้านเกิดเหตุแล้วกระทำชำเราผู้เสียหายอีก 1 ครั้ง เห็นว่า จำเลยที่ 1 กับพวกติดตามผู้เสียหายทันที ถือว่าผู้เสียหายยังไม่หลุดพ้นจากภยันตรายอันเกิดจากการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 กับพวก ดังนั้น การกระทำชำเราของจำเลยที่ 1 ทั้งสองครั้งจึงต่อเนื่องเชื่อมโยงกันอยู่ในวาระเดียวกัน โดยเจตนาเดิมไม่ขาดตอนจากกัน จึงเป็นการกระทำกรรมเดียว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4014/2547 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำชำเราต่อเนื่องในวาระเดียวกัน ถือเป็นกรรมเดียว
จำเลยที่ 1 กับพวกติดตามผู้เสียหายไปในลักษณะทันที ถือว่าผู้เสียหายยังไม่หลุดพ้นจากภยันตรายอันเกิดจากการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 กับพวก ดังนั้น การกระทำชำเราของจำเลยที่ 1 ทั้งสองครั้งจึงต่อเนื่องเชื่อมโยงกันอยู่ในวาระเดียวกันโดยเจตนาเดิมไม่ขาดตอนจากกัน จึงเป็นการกระทำกรรมเดียว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3750/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนครอบครองและเสพ ศาลฎีกาแก้โทษตามกฎหมายใหม่ และให้รอการลงโทษ
คดีนี้โจทก์มิได้นำสายลับที่อ้างว่าเป็นผู้ซื้อเมทแอมเฟตามีนจำนวน 4 เม็ด จากจำเลยมาเป็นพยาน โจทก์คงมีนายดาบตำรวจ พ. และนายดาบตำรวจ ถ. ซึ่งเป็นผู้จับกุมจำเลยมาเป็นพยาน แต่พยานโจทก์ทั้งสองปากนี้มิได้รู้เห็นเหตุการณ์ในขณะที่มีการซื้อขายเมทแอมเฟตามีนระหว่างสายลับกับจำเลย เหตุที่ทราบว่าจำเลยเป็นผู้จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจำนวน 4 เม็ด ในราคาเม็ดละ 120 บาท เพราะสายลับเป็นผู้บอก ดังนี้ คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองดังกล่าวจึงเป็นพยานบอกเล่า มีน้ำหนักน้อย แม้จะพบธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนอยู่ในกระเป๋าที่วางอยู่หน้าตักจำเลยก็ยังไม่เพียงพอที่จะรับฟังว่าจำเลยรับธนบัตรดังกล่าวไว้เนื่องจากการซื้อขายเมทแอมเฟตามีนดังที่สายลับอ้าง เพราะสายลับอาจมอบธนบัตรดังกล่าวให้แก่จำเลยด้วยเหตุอื่นก็ได้ ทั้งจำเลยให้การปฏิเสธมาโดยตลอดว่า ไม่ได้กระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ประกอบกับได้ความว่าเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมยังยึดได้อุปกรณ์ที่ใช้ในการเสพเมทแอมเฟตามีนในห้องพักที่เกิดเหตุ เมื่อตรวจปัสสาวะจำเลยก็มีสีม่วง จำเลยจึงอาจมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อเสพดังที่จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นพิจารณาก็ได้ พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมามีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามฟ้องหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง คงรับฟังได้ว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น แม้เมทแอมเฟตามีนของกลางมีเพียง 12 เม็ด จึงมีจำนวนไม่มากนัก เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อน ตามพฤติการณ์แห่งคดีมีเหตุอันสมควรปรานีเพื่อให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดีต่อไปโดยการรอลงโทษให้จำเลย แต่ให้ลงโทษปรับและกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติจำเลยไว้ด้วย
อนึ่ง ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาได้มี พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 5) ฯ มาตรา 8, 19 และ 26 ยกเลิกความในมาตรา 15, 67 และ 91 แห่ง พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ และให้ใช้ข้อความใหม่แทนโดยในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต มาตรา 15 วรรคหนึ่ง ทั้งตามกฎหมายเดิมและกฎหมายที่แก้ไขใหม่คงใช้ข้อความทำนองเดียวกัน ดังนั้น กฎหมายที่แก้ไขใหม่จึงไม่เป็นคุณแก่จำเลยในส่วนนี้ ส่วนกำหนดโทษนั้น ตามกฎหมายเดิมมาตรา 67 มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท สำหรับกฎหมายที่แก้ไขใหม่มาตรา 67 มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ จะเห็นได้ว่า แม้ตามกฎหมายเดิมและกฎหมายที่แก้ไขใหม่จะมีระวางโทษจำคุกเท่ากัน และตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่จะมีระวางโทษปรับสูงกว่าโทษปรับตามกฎหมายเดิม แต่ก็เป็นการบัญญัติให้ลงโทษจำคุกหรือปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ แตกต่างจากกฎหมายเดิมที่กำหนดให้ลงโทษจำคุกและปรับเท่านั้น ต้องถือว่ากฎหมายที่แก้ไขใหม่เป็นคุณแก่จำเลยมากกว่าในส่วนที่เกี่ยวกับโทษซึ่งมีหลายสถานที่จะลงได้ จึงต้องใช้กฎหมายที่แก้ไขใหม่ในส่วนที่เป็นคุณบังคับแก่จำเลย สำหรับความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนนั้น มาตรา 91 ตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสามปี หรือปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ แตกต่างจากมาตรา 91 ตามกฎหมายเดิมซึ่งมีระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หกพันบาทถึงหนึ่งแสนบาท จะเห็นได้ว่ากรณีโทษจำคุกขั้นสูงตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่เบากว่าโทษจำคุกตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 91 เดิม ต้องถือว่ากฎหมายที่แก้ไขใหม่เป็นคุณมากกว่า จึงต้องใช้กฎหมายที่แก้ไขใหม่บังคับแก่จำเลยตาม ป.อ. มาตรา 3 ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นอ้างและแก้ไขโดยปรับบทกฎหมายให้ถูกต้อง รวมทั้งแก้ไขโทษเสียใหม่ให้เหมาะสมสอดคล้องกับบทกฎหมายที่แก้ไขใหม่ได้ด้วยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3616/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตอำนาจผู้รับมอบอำนาจ: การมอบอำนาจต้องระบุชัดเจนถึงขอบเขตการกระทำแทน
แม้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 47 จะมิได้กำหนดแบบของหนังสือมอบอำนาจไว้ก็ตาม แต่ข้อความในหนังสือมอบอำนาจก็ต้องระบุไว้ว่า ให้ผู้รับมอบอำนาจมีอำนาจกระทำการใดแทนผู้มอบอำนาจได้บ้างอันจะทำให้ผู้รับมอบอำนาจมีอำนาจกระทำแทนผู้มอบอำนาจได้เท่าที่ได้รับมอบอำนาจเท่านั้น เมื่อตามหนังสือมอบอำนาจผู้คัดค้านซึ่งเป็นผู้มอบอำนาจได้มอบอำนาจให้ ธ. ติดต่อขอรับรถของกลางจากพนักงานสอบสวนและให้ถ้อยคำต่อพนักงานสอบสวนเกี่ยวกับการติดต่อขอรับรถของกลางคืนเมื่อคดีถึงที่สุดเท่านั้น ผู้มอบอำนาจไม่ได้มอบอำนาจให้ ธ. ยื่นคำร้องต่อศาลหรือดำเนินคดีในชั้นศาล ดังนั้น ธ. ย่อมไม่มีอำนาจยื่นคำร้องคัดค้านต่อศาลได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3494/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลกำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรในคดีหย่า แม้มิได้ยกขึ้นกล่าวอ้าง และหน้าที่บิดามารดาในการอุปการะเลี้ยงดู
โจทก์ฟ้องขอให้โจทก์และจำเลยหย่าขาดจากกันกับให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียว จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้โจทก์และจำเลยหย่าขาดจากกันโดยให้จำเลยเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียว แต่ให้โจทก์จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ทั้งสองเช่นนี้ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอเพราะกรณีต้องตามบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 1522 ที่บัญญัติว่ากรณีหย่าโดยคำพิพากษาให้ศาลเป็นผู้กำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดู

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2962/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กระบวนการละเมิดอำนาจศาลต้องไต่สวนพยานหลักฐานก่อนตัดสิน หากไม่มีการไต่สวน ถ้อยคำของพยานยังไม่เป็นที่รับฟัง
ความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลซึ่งมิได้กระทำต่อหน้าศาล และผู้ถูกกล่าวหาให้การปฏิเสธ ศาลต้องไต่สวนพยานหลักฐานหาข้อเท็จจริงเสียก่อนให้ได้ความว่ามีการกระทำดังกล่าวหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นเพียงสอบถามปากคำของ ด. และผู้ถูกกล่าวหา โดยไม่ปรากฏว่า ด. ได้สาบานตนหรือกล่าวคำปฏิญาณว่าจะให้การตามสัตย์จริง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 112 ถ้อยคำของ ด. จึงรับฟังเป็นความจริงยังไม่ได้ ปัญหาว่าศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ผู้ถูกกล่าวหามิได้ฎีกาในปัญหาดังกล่าว ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบด้วยมาตรา 246 และ 247

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2962/2547 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กระบวนการไต่สวนละเมิดอำนาจศาลต้องรับฟังพยานหลักฐานโดยชอบธรรม การสอบปากคำไม่เพียงพอ
การกล่าวหาว่าผู้ถูกกล่าวหากระทำความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลโดยที่มิได้กระทำต่อหน้าศาลและผู้กล่าวหาให้การปฏิเสธ ศาลจำต้องไต่สวนพยานหลักฐานเพื่อหาข้อเท็จจริงก่อน การที่ศาลชั้นต้นเพียงแต่สอบปากคำ ด. และผู้ถูกกล่าวหา โดยไม่ปรากฏว่า ด. ได้สาบานตนหรือกล่าวคำปฏิญาณว่าจะให้การตามสัตย์จริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 112 ดังนี้ ถ้อยคำ ด. จึงรับฟังเป็นความจริงยังไม่ได้ ปัญหาว่าศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาไต่สวนโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ผู้ถูกกล่าวหามิได้ฎีกาในปัญหาดังกล่าว ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบด้วยมาตรา 246 และ 247

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2552/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหักวันต้องขังในคดีอื่นออกจากโทษคดีปัจจุบัน หลักเกณฑ์ตาม ป.อ.มาตรา 22
ตาม ป.อ. มาตรา 22 วรรคแรก ที่บัญญัติให้นำจำนวนวันที่ผู้ต้องคำพิพากษาถูกคุมขังก่อนศาลพิพากษามาหักออกจากระยะเวลาจำคุกตามคำพิพากษานั้น จะต้องเป็นกรณีที่ผู้ต้องคำพิพากษาถูกคุมขังก่อนศาลพิพากษาในคดีนั้นเอง หาใช่ถูกคุมขังในคดีอื่นแต่อย่างใดไม่ แม้ไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติห้ามไว้ว่า เมื่อจำเลยถูกหมายขังในคดีหนึ่งแล้วจะถูกหมายขังในคดีอื่นอีกไม่ได้ก็ตาม แต่ปรากฏว่านับตั้งแต่จำเลยถูกฟ้องร่วมกับ ร. ตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 456/2541 ของศาลชั้นต้น จำเลยมิได้ถูกคุมขังเนื่องจากได้รับการปล่อยชั่วคราวตลอดมา การที่ต่อมาจำเลยไปกระทำความผิดและถูกคุมขังระหว่างพิจารณาในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 937/2541 ของศาลจังหวัดสุโขทัย ก็เป็นการถูกคุมขังเฉพาะในคดีดังกล่าว ไม่เกี่ยวกับคดีอาญาหมายเลขดำที่ 456/2541 ของศาลชั้นต้น แม้ต่อมา ร. จะให้การรับสารภาพและศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์แยกฟ้องจำเลยเข้ามาใหม่เป็นคดีนี้ ศาลชั้นต้นก็มิได้ออกหมายขังจำเลยในคดีนี้แต่อย่างใด ศาลชั้นต้นเพิ่งออกหมายขังจำเลยหลังจากศาลจังหวัดสุโขทัยดำเนินการแก่จำเลยเสร็จ และส่งตัวจำเลยมาดำเนินคดีนี้ การที่จำเลยถูกคุมขังตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 937/2541 ของศาลดังกล่าว ถือไม่ได้ว่าจำเลยถูกคุมขังในคดีนี้ด้วย จึงนำวันต้องขังของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 937/2541 ของศาลจังหวัดสุโขทัย มาหักโทษตามคำพิพากษาในคดีนี้ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2030/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาผู้ให้เช่าซื้อและการยินยอมให้ใช้รถแม้ผิดสัญญา ถือเป็นการรู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิด
ตามสัญญาเช่าซื้อระบุว่า ถ้าทรัพย์สินที่เช่าซื้อเสียหาย สูญหาย หรือถูกริบไม่ว่าด้วยเหตุสุดวิสัยหรือเหตุใด ๆ ผู้เช่าซื้อยอมรับผิดฝ่ายเดียวและยอมชำระค่าเช่าซื้อตามสัญญาครบถ้วน เป็นพฤติการณ์ที่ถือได้ว่าผู้ร้องมีเจตนาเพียงต้องการที่จะได้รับค่าเช่าซื้อเท่านั้น อีกทั้งไม่ปรากฏว่าเมื่อจำเลยผิดสัญญา ผู้ร้องได้บอกเลิกสัญญาหรือติดตามรถที่เช่าซื้อคืนแต่ประการใด ทั้งที่จำเลยก็มีภูมิลำเนาที่เดียวกับผู้ร้อง ผู้ร้องอ้างแต่เพียงว่าไม่ได้ติดตามจำเลยเพราะไม่ทราบว่าจำเลยไปไหน เป็นข้ออ้างที่ไม่มีน้ำหนักในการรับฟัง เมื่อจำเลยผิดสัญญาเช่าซื้อแต่ผู้ร้องยังคงให้จำเลยใช้รถจักรยานยนต์ของกลางต่อไป โดยไม่ได้ติดตามยึดรถจักรยานยนต์ของกลางคืน จนกระทั่งจำเลยนำรถจักรยานยนต์ของกลางไปใช้ในการกระทำความผิด และศาลมีคำสั่งให้ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง ผู้ร้องจึงมาร้องขอคืนของกลางโดยอ้างว่าผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลย ซึ่งเป็นระยะเวลานานเกือบ 5 ปี นับแต่จำเลยผิดนัดไม่ชำระเงินค่าเช่าซื้องวดสุดท้าย ถือได้ว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด ผู้ร้องจึงไม่อาจที่จะขอคืนรถจักรยานยนต์ของกลางได้
of 51