คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สบโชค สุขารมณ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 504 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5142/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องคดีละเมิด: การรับรู้ถึงการละเมิดและตัวผู้รับผิดเป็นจุดเริ่มต้นนับอายุความ
เมื่อเจ้าหน้าที่ของโจทก์ได้สอบสวนข้อเท็จจริงเพื่อหาผู้รับผิดในทางแพ่งจนทราบว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้รับผิดในทางแพ่งและรายงานข้อเท็จจริงให้ผู้บังคับบัญชาทราบตามลำดับชั้น และในวันที่ 8 มกราคม 2544 ธ. ผู้อำนวยการสำนักทางหลวงที่ 8 รักษาราชการแทนรองอธิบดี ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมทางหลวง ได้ลงนามในหนังสือทวงถามให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายต่อโจทก์ ซึ่งมีข้อความระบุไว้ชัดเจนว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้กระทำละเมิดต่อโจทก์โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ที่ก่อให้เกิดเหตุละเมิดคิดเป็นค่าเสียหายจำนวน 31,373.75 บาท และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดชำระเงินดังกล่าวแก่โจทก์ กรณีจึงถือได้ว่า ธ. ผู้อำนวยการสำนักทางหลวงที่ 8 รักษาราชการแทนรองอธิบดี ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมทางหลวงซึ่งในขณะนั้นอยู่ในฐานะเป็นผู้แทนและเป็นผู้แสดงเจตนาอันเป็นความประสงค์ของโจทก์ ได้รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนคือจำเลยทั้งสองตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2544 ดังนั้น เมื่อโจทก์นำคดีนี้มาฟ้องจำเลยทั้งสองในวันที่ 6 มกราคม 2546 อันเป็นระยะเวลาเกินกว่า 1 ปี คดีโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 2 จึงขาดอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 448 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5138/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยึดทรัพย์เพื่อบังคับคดี: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการยึดบ้านพร้อมที่ดินไม่เกินกว่าหนี้ และการกำหนดจำนวนหนี้ที่แน่นอนเป็นเงื่อนไขก่อนวางเงิน
ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นรายเดือนจนกว่าจำเลยจะส่งมอบอาคารพาณิชย์พร้อมที่ดินตามฟ้องให้แก่โจทก์ เมื่อจำเลยยังไม่ปฏิบัติการชำระหนี้ตามคำพิพากษา หนี้ค่าเสียหายย่อมเพิ่มพูนขึ้นทุกเดือนและยังไม่แน่นอนว่าจะมีจำนวนเท่าใด การบังคับคดีจึงอาจต้องรวมค่าเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตด้วย แม้โจทก์จะนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยและประเมินราคาที่ดินไว้ก็เป็นเพียงการประมาณการเบื้องต้นเท่านั้น ยังมิใช่เป็นราคาที่แน่นอนเพราะการขายทอดตลาดอาจขายได้ราคาสูงกว่าหรือต่ำกว่าราคาประเมินก็ได้ การที่มีบ้านของจำเลยสามหลังปลูกอยู่บนที่ดินที่ยึดไว้ด้วยนั้น ไม่ว่าโจทก์จะนำยึดบ้านทั้งสามหลังด้วยหรือไม่ ท้ายที่สุดเมื่อมีการขายทอดตลาดที่ดินและบุคคลภายนอกเป็นผู้ซื้อที่ดินได้ จำเลยก็จะต้องออกจากบ้านที่ปลูกอยู่บนที่ดินที่ยึดไว้ การที่โจทก์นำยึดบ้านทั้งสามหลังดังกล่าว จึงมิใช่มีเจตนากลั่นแกล้งหรือกดดันจำเลยแต่อย่างใด อีกทั้งบ้านทั้งสามหลังมีราคาเพียงเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับราคาที่ดินที่ยึดไว้ จึงมิใช่กระทำไปโดยมีเจตนามุ่งเพิ่มภาระค่าธรรมเนียมการยึดแก่จำเลย นอกจากนี้หากโจทก์มิได้นำยึดบ้าน กรณีอาจเป็นปัญหาแก่ผู้ซื้อทอดตลาดที่จะต้องดำเนินการให้มีการรื้อถอนขนย้ายบ้านดังกล่าวออกไปในภายหลัง อันมีผลทำให้ไม่มีผู้สนใจซื้อทอดตลาดหรือขายได้ราคาต่ำไป อันจะเป็นผลร้ายแก่จำเลยยิ่งกว่าการขายทอดตลาดที่ดินและบ้านไปในคราวเดียวกันอันเป็นการสะดวกแก่การบังคับคดีขายทอดตลาด และน่าจะเป็นผลให้ขายทอดตลาดได้ในราคาที่ดีกว่า การที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินและบ้านทั้งสามหลังที่ปลูกอยู่บนที่ดินมาในคราวเดียวกันโดยบ้านทั้งสามหลังมีราคาไม่สูงมาก จึงมีเหตุผลอันสมควร ไม่อาจถือว่าโจทก์ยึดทรัพย์สินเกินกว่าที่พอชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาพร้อมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมในคดีและค่าธรรมเนียมในการบังคับคดี ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 284 วรรคหนึ่ง
การที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาจะวางเงินหรือหาประกันมาให้ไว้ต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำสั่งถอนหรืองดการบังคับคดีนั้น ลูกหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องวางเงินหรือหาประกันมาให้เป็นจำนวนเพียงพอชำระหนี้ตามคำพิพากษาพร้อมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมแห่งคดีหรือค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีด้วย ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 295 (1) คดีนี้ศาลฎีกามีคำพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นรายเดือน นับแต่เดือนตุลาคม 2527 จนกว่าจะส่งมอบอาคารพาณิชย์พร้อมที่ดินตามฟ้องให้แก่โจทก์ ในการคำนวณยอดหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าว จำต้องรู้วันเวลาที่จำเลยส่งมอบอาคารพาณิชย์พร้อมที่ดินตามฟ้องให้แก่โจทก์ จึงจะคิดคำนวณจำนวนค่าเสียหายตามคำพิพากษาศาลฎีกาได้ แต่เมื่อจำเลยยังมิได้ส่งมอบอาคารพาณิชย์พร้อมที่ดินตามคำพิพากษาศาลฎีกาให้แก่โจทก์ จำนวนค่าเสียหายย่อมจะต้องทวีเพิ่มขึ้นทุกเดือนจนกว่าจำเลยจะปฏิบัติตามคำพิพากษาดังกล่าว ทำให้ไม่สามารถคำนวณยอดหนี้ให้เป็นการแน่นอนได้ และเมื่อไม่รู้จำนวนหนี้ที่จำเลยจะต้องรับผิดตามคำพิพากษาก็ย่อมไม่สามารถกำหนดจำนวนเงินที่จะให้จำเลยนำมาวางต่อศาลหรือพิจารณาประกันที่จำเลยจะหามาให้ไว้ต่อศาลว่าเป็นจำนวนเพียงพอชำระหนี้ตามคำพิพากษาพร้อมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมแห่งคดีหรือค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีหรือไม่เพื่อที่จะมีคำสั่งให้ถอนการยึดทรัพย์หรืองดการบังคับคดีต่อไปได้ ดังนั้น การที่ศาลล่างทั้งสองปฏิเสธที่จะกำหนดจำนวนเงินที่จำเลยประสงค์จะขอวางต่อศาลเพื่อให้ถอนการยึดทรัพย์หรืองดการบังคับคดี จึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4944/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกำหนดกรรมและโทษฐานครอบครองและจำหน่ายยาเสพติด ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการจำหน่ายยาเสพติดหลายครั้งเป็นคนละกรรม
การที่จำเลยมีเมทแอมเฟตามีน 62 เม็ด น้ำหนัก 5.6625 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 1.5562 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายในคราวเดียว แม้จำเลยได้จำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 50 เม็ด ไปก่อน และยังคงมีเมทแอมเฟตามีน 12 เม็ด เหลืออยู่ในครอบครองเพื่อจำหน่ายอันเป็นความผิดอีกกรรมหนึ่ง แต่หลังจากนั้นจำเลยก็ได้จำหน่ายหมดไปในครั้งที่ 2 โดยไม่มีเมทแอมเฟตามีนเหลืออยู่ในครอบครองของจำเลยอีกต่อไป การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทในแต่ละครั้งรวม 2 กรรม เท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4817/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องร้องหนี้สินที่ไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ แม้มีการฟ้องร้องคู่กัน เนื่องจากข้อหาและประเด็นข้อพิพาทแตกต่างกัน
แม้โจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างก็ฟ้องขอให้บังคับอีกฝ่ายหนึ่งรับผิดชำระหนี้โดยอ้างสัญญากู้ยืมเงิน และบันทึกข้อตกลงปลอดจำนองที่ดินหลักประกันก็ตาม แต่ในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 26197/2541 นั้น โจทก์ (จำเลยที่ 1 ในคดีนี้) ยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า จำเลย (โจทก์ในคดีนี้) ผิดข้อตกลงที่ระบุไว้ในบันทึกข้อตกลงปลอดจำนองที่ดินหลักประกันทำให้โจทก์ (จำเลยที่ 1 ในคดีนี้) ไม่สามารถนำโฉนดที่ดินไปให้เจ้าพนักงานที่ดินตรวจสอบประทับตราอนุญาตให้จัดสรรที่ดินและโอนให้แก่ผู้ซื้อได้ ส่วนในคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 กับพวก รับผิดชำระเงินที่กู้ยืมคืนโจทก์โดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าจำเลยที่ 1 กับพวกไม่ชำระเงินที่กู้ยืมคืนภายในกำหนดระยะเวลาที่ระบุไว้ในสัญญากู้ยืมเงิน ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในคดีนี้จึงแตกต่างกับในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 26197/2541 กรณีจึงมิใช่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับคดีหรือประเด็นที่วินิจฉัยชี้ขาดมาแล้ว การที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 กับพวกในคดีนี้จึงไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4781/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทิ้งอุทธรณ์เนื่องจากไม่ชำระค่าขึ้นศาล และผลกระทบต่อการขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นเรียกโจทก์ให้ชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เพิ่มตามจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทให้ครบถ้วนภายใน 15 วัน นับแต่ทราบคำสั่ง และศาลชั้นต้นส่งหมายนัดแจ้งคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้โจทก์ทราบโดยชอบแล้ว โดยวิธีรับหมายเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2548 แต่โจทก์มิได้ดำเนินการชำระค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์ให้ครบถ้วนภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าวจึงถือว่า โจทก์ทิ้งอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 174 (2) ประกอบมาตรา 246 และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความตาม ป.วิ.พ. 132 (1) นั้น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งว่า โจทก์ทิ้งอุทธรณ์และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความเท่ากับเป็นคำสั่งไม่รับอุทธรณ์นั่นเอง ดังนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่รับอุทธรณ์แล้วโจทก์จะร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์โดยขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องของโจทก์อีกไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4597/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด: การกระทำร่วมกัน, การลดโทษ, พยานหลักฐาน, เหตุบรรเทาโทษ
ป.อ. มาตรา 78 บัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่า เมื่อปรากฏว่ามีเหตุบรรเทาโทษถ้าศาลเห็นสมควรจะลดโทษไม่เกินกึ่งหนึ่งของโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดนั้นก็ได้ ทั้งเมื่อพิจารณาตามบทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 100/2 ก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาแต่อย่างใดว่าจำเลยที่ 2 ได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจหรือพนักงานสอบสวน อันจะเป็นเหตุให้ศาลลงโทษจำเลยที่ 2 น้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นได้ เพราะจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพแต่เพียงว่ามีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยซื้อจากชาวม้งในเขตจังหวัดตากแล้วจะนำลักลอบเข้าไปยังกรุงเทพมหานครเท่านั้น ซึ่งก็เป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไปแล้วว่าชาวเขาที่อยู่ในเขตหลายจังหวัดบริเวณภาคเหนือของประเทศรวมทั้งจังหวัดตากเป็นแหล่งค้าส่งยาเสพติดให้โทษรายใหญ่และจำนวนมาก คำรับสารภาพของจำเลยที่ 2 จึงมิใช่ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ ข้ออ้างของจำเลยที่ 2 จึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ตามบทบัญญัติมาตรา 100/2 แห่ง พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4479/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นความรับผิดเมื่อเจ้าหนี้ปฏิเสธการชำระหนี้โดยไม่มีเหตุผลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 701
บทบัญญัติของกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องการวางทรัพย์ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้เพื่อที่ลูกหนี้จะได้หลุดพ้นจากความรับผิดเป็นคนละเรื่องกับการที่ผู้ค้ำประกันขอชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ตั้งแต่เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระและเจ้าหนี้ปฏิเสธไม่ยอมรับชำระหนี้อันเป็นเหตุให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 701 โดยไม่ต้องมีการวางทรัพย์
การที่จำเลยที่ 3 นำแคชเชียรเช็คพร้อมเงินสดตามจำนวนที่ได้รับแจ้งจากพนักงานของธนาคารโจทก์ไปชำระ ณ สาขาของโจทก์ที่รับผิดชอบเรื่องหนี้สินรายพิพาท จึงเป็นการขอชำระหนี้แก่เจ้าหนี้เมื่อหนี้ของจำเลยที่ 3 ผู้ค้ำประกันถึงกำหนดโดยชอบ เมื่อพนักงานของโจทก์ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องปฏิเสธไม่ยอมชำระหนี้ จำเลยที่ 3 เป็นอันหลุดพ้นจากความรับผิดชอบตาม ป.พ.พ. มาตรา 701 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3552/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พินัยกรรมที่ทำขึ้นโดยคนไร้ความสามารถเป็นโมฆะ แม้ต่อมาศาลมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงสถานภาพ
จ. เจ้ามรดกถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน 2532 ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้เพิกถอนคำสั่งที่สั่งให้เจ้ามรดกเป็นคนไร้ความสามารถแต่ศาลฎีกาพิพากษากลับเป็นให้ยกคำร้อง ซึ่งเป็นผลให้ จ. ยังคงเป็นคนไร้ความสามารถอยู่ตามเดิม แม้ในระหว่างที่คดีดังกล่าวยังไม่ถึงที่สุดศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้ จ. เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ คำสั่งที่ให้ จ. เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถดังกล่าวก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงยกเลิก เพิกถอนหรือลบล้างคำสั่งศาลชั้นต้นศาลเดียวกันที่ได้สั่งให้ จ. เป็นคนไร้ความสามารถมาก่อน ทั้งไม่มีผลทำให้สถานภาพการเป็นคนไร้ความสามารถตามคำสั่งศาลต้องขาดช่วงไปหรือสะดุดหยุดชั่วคราวในระหว่างที่คดียังไม่ถึงที่สุด การที่ จ. โดยความยินยอมของผู้พิทักษ์ได้ทำพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2535 ซึ่งอยู่ในช่วงเวลาที่ จ. ตกเป็นคนไร้ความสามารถพินัยกรรมดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1704

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2871/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีละเมิดจากการเดินรถโดยสาร: จำเป็นต้องมีสิทธิโดยตรงตามกฎหมายหรือสัญญาหรือไม่
พ.ร.บ.การขนส่งทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 6 วรรคสอง บัญญัติให้นายทะเบียนกลางเป็นนายทะเบียนประจำกรุงเทพมหานคร เมื่อตามคำฟ้องของโจทก์ได้ความแต่เพียงว่าโจทก์ได้ทำสัญญานำรถโดยสารขนาดเล็กเข้าร่วมเดินรถโดยสารประจำทางกับองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ โดยโจทก์ไม่ได้เป็นผู้รับสัมปทานกับรัฐโดยตรงหรือมีอำนาจใด ๆ ตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก หรือได้รับมอบอำนาจจากนายทะเบียนกลางให้ฟ้องหรือดำเนินคดีแก่ผู้ที่กระทำการฝ่าฝืนต่อ พ.ร.บ.การขนส่งทางบกที่เกิดขึ้นในเขตกรุงเทพมหานคร โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยซึ่งโจทก์อ้างว่าได้กระทำการฝ่าฝืนต่อ พ.ร.บ.การขนส่งทางบก
โจทก์เป็นเพียงผู้หนึ่งที่ได้รับอนุญาตให้นำรถโดยสารขนาดเล็กเข้าร่วมเดินรถโดยสารกับองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพเท่านั้น สิทธิในการเดินรถโดยสารในเส้นทางพิพาทยังคงเป็นขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ แม้การที่จำเลยนำรถยนต์ที่สี่ล้อเล็กออกแล่นรับผู้โดยสารทับเส้นทางที่โจทก์ได้รับอนุญาตจากองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพจะเป็นการกระทำละเมิดก็เป็นการละเมิดต่อสิทธิขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายโดยตรงแก่โจทก์ ส่วนสิทธิที่โจทก์มีอยู่ตามสัญญากับองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพอย่างไรก็เป็นเรื่องที่โจทก์ต้องไปว่ากล่าวเอาแก่องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2562/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในการบังคับคดีสงวนเฉพาะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ผู้มีสิทธิอื่นไม่อาจสวมสิทธิได้
การบังคับคดีนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 บัญญัติให้บุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะเท่านั้นที่จะต้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง ผู้ร้องไม่ใช่บุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะจึงไม่มีสิทธิตามกฎหมายดังกล่าว ทั้งไม่ใช่กรณีที่เจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 233 ซึ่งหมายถึง การใช้สิทธิฟ้องคดีต่อศาลโดยให้เจ้าหนี้เป็นโจทก์ฟ้องในนามของเจ้าหนี้แทนลูกหนี้ได้ รวมทั้งเรียกลูกหนี้ให้เข้ามาในคดีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 234 มิใช่เข้าสวมสิทธิในการบังคับคดีของลูกหนี้ซึ่งเป็นสิทธิที่กฎหมายกำหนดให้เป็นสิทธิแก่บุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะดังกล่าวมาแล้ว
of 51