พบผลลัพธ์ทั้งหมด 522 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1846/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยประเด็นที่มิได้ยกขึ้นในศาลอุทธรณ์: ป.วิ.อ. มาตรา 245 วรรคสอง และผลกระทบต่อการพิจารณาคดี
ชั้นอุทธรณ์จำเลยที่ 4 อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ลดโทษแก่จำเลยที่ 4เพียงประการเดียว ที่จำเลยที่ 4 ฎีกาว่า พยานหลักฐานของโจทก์ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังและจำเลยที่ 4 ไม่ได้กระทำผิดตามฟ้อง จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ แต่คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 4 ตลอดชีวิต แม้จำเลยที่ 4 จะมิได้อุทธรณ์ในปัญหาว่าจำเลยที่ 4 กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ ศาลอุทธรณ์ก็ต้องวินิจฉัยปัญหานี้อีกครั้งหนึ่งตาม ป.วิ.อ. มาตรา 245 วรรคสอง หากศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้วพิพากษายืน ปัญหานี้จึงจะถึงที่สุด แต่ถ้าศาลอุทธรณ์พิพากษาเป็นอย่างอื่นคดีก็ไม่ถึงที่สุด จำเลยที่ 4 อาจยกปัญหานี้ขึ้นฎีกาได้แม้จะมิได้ยกขึ้นอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยปัญหานี้ จึงเป็นการไม่ชอบ เพราะมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกระบวนพิจารณาดังที่ได้บัญญัติไว้ใน มาตรา 245 วรรคสอง สมควรย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหานี้ก่อน อนึ่ง ปัญหาข้อนี้เป็นเหตุลักษณะคดี จึงให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 3 ที่ถูกศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกตลอดชีวิตอีกคนหนึ่งด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1423/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลฎีกาขยายผลถึงจำเลยไม่ฎีกาในคดีอาญา
ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ในความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา เมื่อศาลฎีกายกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 และฟังว่า การกระทำของจำเลยที่ 3 ไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ แม้จำเลยที่ 3 มิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 3 ได้ เพราะเป็นเหตุในลักษณะคดี ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 213, 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1423/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาลักทรัพย์ไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจน ศาลยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย และพิพากษาแก้ให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ในความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา เมื่อศาลฎีกายกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 และฟังว่า การกระทำของจำเลยที่ 3 ไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ แม้จำเลยที่ 3 มิได้ฎีกาศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 3 ได้ เพราะเป็นเหตุในลักษณะคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213,225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 505/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีอาญา กรณีจำเลยให้ข้อมูลต่อคณะกรรมการเช่าที่ดินฯ ตามขั้นตอนกฎหมาย
การที่คณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลมีมติว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้เช่าที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 2 ทำนา เป็นเพียงความเห็นในการรับฟังถ้อยคำของจำเลยทั้งสี่ว่า ไม่น่าเชื่อถือและการที่คณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัดมีมติว่า จำเลยที่ 1 เช่าที่ดินพิพาทของจำเลยที่ 2 ทำนา ก็เพราะเชื่อถ้อยคำของจำเลยทั้งสี่ กรณีจึงถือไม่ได้ว่า จำเลยทั้งสี่แจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อคณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบล โจทก์อุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจังหวัดต่อศาล เพื่อให้พิจารณาคำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตามที่กฎหมายให้สิทธิไว้แม้จำเลยที่ 1 จะคัดค้านการที่จำเลยที่ 2 จะโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัด เป็นเหตุให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรสาครไม่ยอมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในที่ดินพิพาทให้โจทก์ตามที่จำเลยที่ 1 คัดค้านไว้ การกระทำของจำเลยที่ 1 ก็เป็นการใช้สิทธิเพื่อจะดำเนินตามขั้นตอนตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4)ไม่มีอำนาจฟ้องในความผิดฐานแจ้งความเท็จ แม้จำเลยที่ 1 และที่ 4 จะได้ฎีกาและขอถอนฎีกาไปแล้ว แต่การกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นการกระทำร่วมกัน ซึ่งเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 และที่ 4ให้ได้รับผลตามคำพิพากษาด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 213 ประกอบด้วย มาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5646/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงฐานความผิดจากตัวการเป็นผู้สนับสนุน และการกำหนดโทษที่เหมาะสมในคดีไม้หวงห้าม
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสิบเอ็ดได้ร่วมกันทำไม้พยุงอันเป็นไม้หวงห้ามโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย หรือมิฉะนั้นจำเลยทั้งสิบเอ็ดกับพวกได้รับไว้โดยประการใด ซ่อนเร้น จำหน่ายหรือพาเอาไปเสียให้พ้นซึ่งไม้หวงห้ามของกลางดังกล่าว โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นไม้ที่ได้มาโดยการกระทำผิดตาม พ.ร.บ. ป่าไม้ พ.ศ.2484 เป็นคำฟ้องที่บรรยายครบองค์ประกอบความผิดแล้วหาเป็นคำฟ้องที่ขัดกันเองอันจะทำให้เป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่
เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานเป็นตัวการในความผิดฐานใด และทางพิจารณาปรากฏว่าจำเลยได้กระทำผิดเพียงฐานเป็นผู้สนับสนุนในความผิดนั้น ศาลก็ย่อมลงโทษจำเลยฐานเป็นผู้สนับสนุนได้ หาจำต้องบรรยายฟ้องว่าเป็นผู้สนับสนุนไม่ และบทบัญญัติแห่ง ป.อ.มาตรา 86 ก็มิใช่บทมาตราที่บัญญัติว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิด จึงหาจำต้องระบุอ้างมาในคำฟ้องไม่
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสิบเอ็ดคนร่วมกันมีไม้พยุงเกินกว่า4 ลูกบาศก์เมตร โดยไม้ดังกล่าวยังมิได้แปรรูป อันเป็นข้อหาฐานความผิดตามพ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 69 วรรคสอง แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 6 และที่ 7 มีความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484มาตรา 69 วรรคหนึ่ง ประกอบกับ ป.อ. มาตรา 86 ตามข้อเท็จจริงที่ฟังได้ในทางพิจารณาซึ่งเป็นความผิดอันรวมอยู่ในความผิดที่โจทก์ขอให้ลงโทษ แต่มีโทษเบากว่า ย่อมเป็นการชอบด้วยกฎหมายแล้ว แต่ที่ศาลอุทธรณ์ยังคงวางโทษเท่ากับโทษที่ศาลชั้นต้นวางมาในฐานเป็นตัวการในความผิดทั้งสองกระทง โดยมิได้กำหนดโทษให้น้อยลงในฐานเป็นผู้สนับสนุน จึงเป็นการวางโทษที่หนักเกินไปศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดโทษเสียใหม่ให้เหมาะสมและเหตุดังกล่าวเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 8 ที่มิได้อุทธรณ์และฎีกา และจำเลยที่ 3 ที่ถอนฎีกาให้ได้ลดโทษดุจจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 6 และที่ 7ที่ฎีกาได้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 6 และที่ 7มีความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 69 วรรคหนึ่ง และมาตรา73 วรรคสอง จำคุกคนละ 2 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1ที่ 2 ที่ 6 และที่ 7 มีความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 69วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย ป.อ.มาตรา 86 และมาตรา 73 วรรคสอง ประกอบด้วย ป.อ. มาตรา 86 ส่วนอัตราโทษยังคงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นการแก้ไขเล็กน้อย จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ.มาตรา 218 วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 6 และที่ 7 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1ที่ 2 ที่ 6 และที่ 7 เป็นเพียงลูกจ้างขนไม้ไปตามคำสั่งของนายจ้าง โดยเฉพาะจำเลยที่ 1 เป็นข้าราชการหากต้องคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจะต้องออกจากราชการ จึงมีเหตุที่ศาลจะรอการลงโทษนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานเป็นตัวการในความผิดฐานใด และทางพิจารณาปรากฏว่าจำเลยได้กระทำผิดเพียงฐานเป็นผู้สนับสนุนในความผิดนั้น ศาลก็ย่อมลงโทษจำเลยฐานเป็นผู้สนับสนุนได้ หาจำต้องบรรยายฟ้องว่าเป็นผู้สนับสนุนไม่ และบทบัญญัติแห่ง ป.อ.มาตรา 86 ก็มิใช่บทมาตราที่บัญญัติว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิด จึงหาจำต้องระบุอ้างมาในคำฟ้องไม่
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสิบเอ็ดคนร่วมกันมีไม้พยุงเกินกว่า4 ลูกบาศก์เมตร โดยไม้ดังกล่าวยังมิได้แปรรูป อันเป็นข้อหาฐานความผิดตามพ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 69 วรรคสอง แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 6 และที่ 7 มีความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484มาตรา 69 วรรคหนึ่ง ประกอบกับ ป.อ. มาตรา 86 ตามข้อเท็จจริงที่ฟังได้ในทางพิจารณาซึ่งเป็นความผิดอันรวมอยู่ในความผิดที่โจทก์ขอให้ลงโทษ แต่มีโทษเบากว่า ย่อมเป็นการชอบด้วยกฎหมายแล้ว แต่ที่ศาลอุทธรณ์ยังคงวางโทษเท่ากับโทษที่ศาลชั้นต้นวางมาในฐานเป็นตัวการในความผิดทั้งสองกระทง โดยมิได้กำหนดโทษให้น้อยลงในฐานเป็นผู้สนับสนุน จึงเป็นการวางโทษที่หนักเกินไปศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดโทษเสียใหม่ให้เหมาะสมและเหตุดังกล่าวเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 8 ที่มิได้อุทธรณ์และฎีกา และจำเลยที่ 3 ที่ถอนฎีกาให้ได้ลดโทษดุจจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 6 และที่ 7ที่ฎีกาได้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 6 และที่ 7มีความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 69 วรรคหนึ่ง และมาตรา73 วรรคสอง จำคุกคนละ 2 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1ที่ 2 ที่ 6 และที่ 7 มีความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 69วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย ป.อ.มาตรา 86 และมาตรา 73 วรรคสอง ประกอบด้วย ป.อ. มาตรา 86 ส่วนอัตราโทษยังคงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นการแก้ไขเล็กน้อย จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ.มาตรา 218 วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 6 และที่ 7 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1ที่ 2 ที่ 6 และที่ 7 เป็นเพียงลูกจ้างขนไม้ไปตามคำสั่งของนายจ้าง โดยเฉพาะจำเลยที่ 1 เป็นข้าราชการหากต้องคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจะต้องออกจากราชการ จึงมีเหตุที่ศาลจะรอการลงโทษนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5646/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานมีไม้หวงห้าม การร่วมกระทำผิด การวางโทษ และการลดโทษ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสิบเอ็ดได้ร่วมกันทำไม้พยุงอันเป็นไม้หวงห้ามโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย หรือมิฉะนั้นจำเลยทั้งสิบเอ็ดกับพวกได้รับไว้โดยประการใด ซ่อนเร้น จำหน่ายหรือพาเอาไปเสียให้พ้นซึ่งไม้หวงห้ามของกลางดังกล่าว โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นไม้ที่ได้มาโดยการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ.2484 เป็นคำฟ้องที่บรรยายครบองค์ประกอบความผิดแล้วหาเป็นคำฟ้องที่ขัดกันเองอันจะทำให้เป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่ เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานเป็นตัวการในความผิดฐานใด และทางพิจารณาปรากฎว่าจำเลยได้กระทำผิดเพียงฐานเป็นผู้สนับสนุนในความผิดนั้น ศาลก็ย่อมลงโทษจำเลยฐานเป็นผู้สนับสนุนได้ หาจำต้องบรรยายฟ้องว่าเป็นผู้สนับสนุนไม่และบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 ก็มิใช่บทมาตราที่บัญญัติว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิด จึงหาจำต้องระบุอ้างมาในคำฟ้องไม่ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสิบเอ็ดคนร่วมกันมีไม้พยุงเกินกว่า 4 ลูกบาศก์เมตร โดยไม้ดังกล่าวยังมิได้แปรรูปอันเป็นข้อหาฐานความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484มาตรา 69 วรรคสอง แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยที่ 1ที่ 2 ที่ 6 และที่ 7 มีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2484 มาตรา 69 วรรคหนึ่ง ประกอบกับประมวลกฎหมายอาญามาตรา 86 ตามข้อเท็จจริงที่ฟังได้ในทางพิจารณาซึ่งเป็นความผิดอันรวมอยู่ในความผิดที่โจทก์ขอให้ลงโทษ แต่มีโทษเบากว่า ย่อมเป็นการชอบด้วยกฎหมายแล้ว แต่ที่ศาลอุทธรณ์ยังคงวางโทษเท่ากับโทษที่ศาลชั้นต้นวางมาในฐานเป็นตัวการในความผิดทั้งสองกระทง โดยมิได้กำหนดโทษให้น้อยลงในฐานเป็นผู้สนับสนุน จึงเป็นการวางโทษที่หนักเกินไปศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดโทษเสียใหม่ให้เหมาะสมและเหตุดังกล่าวเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 8ที่มิได้อุทธรณ์และฎีกา และจำเลยที่ 3 ที่ถอนฎีกาให้ได้ลดโทษดุจจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 6 และที่ 7 ที่ฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 6 และที่ 7มีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 69วรรคหนึ่ง และมาตรา 73 วรรคสอง จำคุกคนละ 2 ปีศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 6 และที่ 7 มีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 69วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 และมาตรา 73 วรรคสอง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86ส่วนอัตราโทษยังคงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นการแก้ไขเล็กน้อย จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 6 และที่ 7 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2ที่ 6 และที่ 7 เป็นเพียงลูกจ้างขนไม้ไปตามคำสั่งของนายจ้างโดยเฉพาะจำเลยที่ 1 เป็นข้าราชการหากต้องคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจะต้องออกจากราชการ จึงมีเหตุที่ศาลจะรอการลงโทษนั้นเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5414/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาเรื่องการออกเช็คไม่มีมูลหนี้ การยอมความ และขอบเขตการพิจารณาคดีอาญา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 ลงโทษปรับ10,000 บาท แม้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่ามีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 4 ลงโทษปรับ 4,000 บาท ก็ตาม ก็คงเป็นการปรับบทกฎหมายที่ใช้ในภายหลังในส่วนที่เป็นคุณแก่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นการแก้ไขเล็กน้อย คดีสำหรับจำเลยที่ 2 จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก คดีนี้เดิมศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่ามีการยอมความกันแล้ว โดยไม่วินิจฉัยปัญหาอื่น โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีถือไม่ได้ว่าเป็นการยอมความโดยถูกต้องตามกฎหมายสิทธินำคดีอาญาฟ้องไม่ระงับ พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี จำเลยไม่ฎีกาฉะนั้นปัญหาเรื่องการยอมความจึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่แล้ว จำเลยทั้งสองจะหยิบยกปัญหาดังกล่าวนี้ขึ้นอุทธรณ์อีกหาได้ไม่ เพราะเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 144 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้นั้นชอบแล้ว และจำเลยทั้งสองหามีสิทธิฎีกาต่อมาอีกไม่ แม้คดีสำหรับจำเลยที่ 2 จะต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเช็คที่จำเลยที่ 1 ออกไม่มีมูลหนี้ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวเนื่องกับจำเลยที่ 2ผู้ร่วมออกเช็ค อันเป็นเหตุในลักษณะคดี จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2กระทำผิดฐานออกเช็คโดยเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงิน ศาลฎีกามีอำนาจยกฟ้องตลอดไปถึงจำเลยที่ 2 ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 213 ประกอบด้วยมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5414/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปรับบทกฎหมายที่ใช้ในภายหลัง, การห้ามฎีกา, และอำนาจศาลในการยกฟ้องตลอดไปถึงจำเลยร่วม
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 2 มีความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 มาตรา 3 ลงโทษปรับ 10,000 บาทแม้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 ลงโทษปรับ 4,000 บาท ก็ตาม ก็คงเป็นการปรับบทกฎหมายที่ใช้ในภายหลังในส่วนที่เป็นคุณแก่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นการแก้ไขเล็กน้อย คดีสำหรับจำเลยที่ 2 จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 218 วรรคแรก
คดีนี้เดิมศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่ามีการยอมความกันแล้วโดยไม่วินิจฉัยปัญหาอื่น โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีถือไม่ได้ว่าเป็นการยอม-ความโดยถูกต้องตามกฎหมาย สิทธินำคดีอาญาฟ้องไม่ระงับ พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี จำเลยไม่ฎีกา ฉะนั้นปัญหาเรื่องการยอมความจึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่แล้ว จำเลยทั้งสองจะหยิบยกปัญหาดังกล่าวนี้ขึ้นอุทธรณ์อีกหาได้ไม่ เพราะเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144 ประกอบป.วิ.อ. มาตรา 15 ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้นั้นชอบแล้ว และจำเลยทั้งสองหามีสิทธิฎีกาต่อมาอีกไม่
แม้คดีสำหรับจำเลยที่ 2 จะต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเช็คที่จำเลยที่ 1 ออกไม่มีมูลหนี้ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวเนื่องกับจำเลยที่ 2 ผู้ร่วมออกเช็ค อันเป็นเหตุในลักษณะคดี จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2กระทำผิดฐานออกเช็คโดยเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงิน ศาลฎีกามีอำนาจยกฟ้องตลอดไปถึงจำเลยที่ 2 ได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 213 ประกอบด้วยมาตรา 225
คดีนี้เดิมศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่ามีการยอมความกันแล้วโดยไม่วินิจฉัยปัญหาอื่น โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีถือไม่ได้ว่าเป็นการยอม-ความโดยถูกต้องตามกฎหมาย สิทธินำคดีอาญาฟ้องไม่ระงับ พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี จำเลยไม่ฎีกา ฉะนั้นปัญหาเรื่องการยอมความจึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่แล้ว จำเลยทั้งสองจะหยิบยกปัญหาดังกล่าวนี้ขึ้นอุทธรณ์อีกหาได้ไม่ เพราะเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144 ประกอบป.วิ.อ. มาตรา 15 ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้นั้นชอบแล้ว และจำเลยทั้งสองหามีสิทธิฎีกาต่อมาอีกไม่
แม้คดีสำหรับจำเลยที่ 2 จะต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเช็คที่จำเลยที่ 1 ออกไม่มีมูลหนี้ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวเนื่องกับจำเลยที่ 2 ผู้ร่วมออกเช็ค อันเป็นเหตุในลักษณะคดี จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2กระทำผิดฐานออกเช็คโดยเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงิน ศาลฎีกามีอำนาจยกฟ้องตลอดไปถึงจำเลยที่ 2 ได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 213 ประกอบด้วยมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4739/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตอำนาจศาลอุทธรณ์ในคดีที่ศาลชั้นต้นลดโทษจำเลย และการพิจารณาคดีนอกเหนือจากการอุทธรณ์
ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 245 วรรคสองที่บัญญัติว่าคดีที่พิพากษาให้ลงโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิตนั้น หมายถึงโทษประหารชีวิตหรือโทษจำคุกตลอดชีวิตที่ศาลชั้นต้นลงจริง ๆ แก่จำเลย หาใช่โทษที่ศาลชั้นต้นวางไว้ก่อนลดโทษให้แก่จำเลยไม่
ศาลชั้นต้นวางโทษประหารชีวิตจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 5แต่ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 78 และ 52 (2) คงให้จำคุกจำเลยที่ 1ที่ 3 และที่ 5 คนละ 30 ปี เมื่อโจทก์ จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 5 ไม่อุทธรณ์คงมีแต่จำเลยที่ 2 ที่ 4 และ ที่ 6 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจหยิบยกคดีของจำเลยดังกล่าวขึ้นพิจารณาตามบทกฎหมายดังกล่าว แต่หากศาลอุทธรณ์พิจารณาพยานหลักฐานโจทก์แล้วเห็นว่าจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 5 มิได้กระทำความผิดซึ่งเป็นเหตุลักษณะคดีแล้ว ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจพิพากษาไปถึงจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 5 ได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 213
ศาลชั้นต้นวางโทษประหารชีวิตจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 5แต่ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 78 และ 52 (2) คงให้จำคุกจำเลยที่ 1ที่ 3 และที่ 5 คนละ 30 ปี เมื่อโจทก์ จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 5 ไม่อุทธรณ์คงมีแต่จำเลยที่ 2 ที่ 4 และ ที่ 6 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจหยิบยกคดีของจำเลยดังกล่าวขึ้นพิจารณาตามบทกฎหมายดังกล่าว แต่หากศาลอุทธรณ์พิจารณาพยานหลักฐานโจทก์แล้วเห็นว่าจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 5 มิได้กระทำความผิดซึ่งเป็นเหตุลักษณะคดีแล้ว ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจพิพากษาไปถึงจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 5 ได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 213
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4739/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลอุทธรณ์เมื่อจำเลยไม่อุทธรณ์ และการลดโทษตามกฎหมายอาญา
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245 วรรคสองที่บัญญัติว่าคดีที่พิพากษาให้ลงโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิตนั้น หมายถึงโทษประหารชีวิตหรือโทษจำคุกตลอดชีวิตที่ศาลชั้นต้นลงจริง ๆ แก่จำเลย หาใช่โทษที่ศาลชั้นต้นวางไว้ก่อนลดโทษให้แก่จำเลยไม่ ศาลชั้นต้นวางโทษประหารชีวิตจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 5แต่ละโทษให้กึ่งหนึ่งตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 และ 52(2)คงให้จำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 5 คนละ 30 ปี เมื่อโจทก์จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 5 ไม่อุทธรณ์คงมีแต่จำเลยที่ 2 ที่ 4และที่ 6 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจหยิบยกคดีของจำเลยดังกล่าวขึ้นพิจารณาตามบทกฎหมายดังกล่าว แต่หากศาลอุทธรณ์พิจารณาพยานหลักฐานโจทก์แล้วเห็นว่าจำเลยที่ 1 ที่ 3และที่ 5 มิได้กระทำความผิดซึ่งเป็นเหตุลักษณะคดีแล้วศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจพิพากษาไปถึงจำเลยที่ 1 ที่ 3 และ ที่ 5ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213