คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.อ. ม. 213

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 522 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 263/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาจากการไล่ผีปอบ ไม่ถึงแก่การกระทำทารุณโหดร้าย
จำเลยที่ 3 และที่ 4 กับพวกต้องการไล่ผีปอบออกจากร่างของผู้ตายได้ใช้ไม้ไผ่ผ่าซีกตีผู้ตายล้มลง แล้วใช้ด้ามมีดตีศีรษะผู้ตาย ด้ามมีดทำด้วยเหล็กขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว ยาว8.5 นิ้ว จำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าถ้าตีศีรษะผู้ตายโดยแรงและตีนาน ๆ ย่อมทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายได้ จำเลยตีผู้ตายนานถึง 2 ชั่วโมง ผู้ตายมีรอยฟกช้ำที่หน้าผาก โหนกแก้ม ศีรษะบวมช้ำแบบศีรษะน่วม ความตายของผู้ตายจึงเป็นผลโดยตรงจากการทำร้ายของจำเลยกับพวก จำเลยที่ 3 และที่ 4 มีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และเมื่อการกระทำดังกล่าวเป็นการไล่ผีปอบตามความเชื่อและตามประเพณีท้องถิ่นที่ปฏิบัติกันมา แม้การทำร้ายใช้เวลานานถึง 2 ชั่วโมงจนผู้ตายถึงแก่ความตาย ก็เป็นเรื่องของการไล่ผีปอบ ไม่ได้เป็นการกระทำที่แสดงถึงความโหดร้ายทารุณเป็นพิเศษจึงถือไม่ได้ว่าเป็นการฆ่าผู้อื่นโดยกระทำทารุณโหดร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(5) กรณีนี้เป็นเหตุในลักษณะคดีศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาไปถึงจำเลยที่ 2 ซึ่งถอนฎีกาไปแล้วด้วย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 263/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาจากการไล่ผีปอบ: ศาลพิจารณาเหตุเชื่อตามประเพณีท้องถิ่น ไม่ถือว่าเป็นการกระทำทารุณโหดร้าย
จำเลยที่ 3 และที่ 4 กับพวกต้องการไล่ผีปอบออกจากร่างของผู้ตายได้ใช้ไม้ไผ่ผ่าซีกตีผู้ตายล้มลง แล้วใช้ด้ามมีดตีศีรษะผู้ตาย ด้ามมีดทำด้วยเหล็กขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว ยาว 8.5 นิ้ว จำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าถ้าตีศีรษะผู้ตายโดยแรงและตีนาน ๆ ย่อมทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายได้ จำเลยตีผู้ตายนานถึง 2 ชั่วโมง ผู้ตายมีรอยฟกช้ำที่หน้าผาก โหนกแก้ม ศีรษะบวมช้ำแบบศีรษะน่วม ความตายของผู้ตายจึงเป็นผลโดยตรงจากการทำร้ายของจำเลยกับพวก จำเลยที่ 3 และที่ 4 มีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และเมื่อการกระทำดังกล่าวเป็นการไล่ผีปอบตามความเชื่อและตามประเพณีท้องถิ่นที่ปฏิบัติกันมา แม้การทำร้ายใช้เวลานานถึง 2 ชั่วโมงจนผู้ตายถึงแก่ความตาย ก็เป็นเรื่องของการไล่ผีปอบ ไม่ได้เป็นการกระทำที่แสดงถึงความโหดร้ายทารุณเป็นพิเศษจึงถือไม่ได้ว่าเป็นการฆ่าผู้อื่นโดยกระทำทารุณโหดร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (5) กรณีนี้เป็นเหตุในลักษณะคดีศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาไปถึงจำเลยที่ 2 ซึ่งถอนฎีกาไปแล้วด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 263/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาจากการไล่ผีปอบ: ศาลฎีกาตัดสินว่าการกระทำเพื่อความเชื่อทางประเพณี ไม่ถือเป็นความโหดร้ายทารุณเป็นพิเศษ
จำเลยที่ 3 และที่ 4 กับพวกต้องการไล่ผีปอบออกจากร่างของผู้ตายได้ใช้ไม้ไผ่ผ่าซีกตีผู้ตายล้มลง แล้วใช้ด้ามมีดตีศีรษะผู้ตาย ด้ามมีดทำด้วยเหล็กขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว ยาว 8.5 นิ้วจำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่า ถ้าตีศีรษะผู้ตายโดยแรงและตีนาน ๆย่อมทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายได้ จำเลยตีผู้ตายนานถึง 2 ชั่วโมงผู้ตายมีรอยฟกช้ำที่หน้าผาก โหนกแก้ม ศีรษะบวมช้ำแบบศีรษะน่วมความตายของผู้ตายจึงเป็นผลโดยตรงจากการทำร้ายของจำเลยกับพวกจำเลยที่ 3 และที่ 4 มีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และเมื่อการกระทำดังกล่าวเป็นการไล่ผีปอบตามความเชื่อและตามประเพณีท้องถิ่นที่ปฏิบัติกันมา แม้การทำร้ายใช้เวลานานถึง 2 ชั่วโมงจนผู้ตายถึงแก่ความตายก็เป็นเรื่องของการไล่ผีปอบ ไม่ได้เป็นการกระทำที่แสดงถึงความโหดร้ายทารุณเป็นพิเศษ จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการฆ่าผู้อื่นโดยกระทำทารุณโหดร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(5)กรณีนี้เป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาไปถึงจำเลยที่ 2ซึ่งถอนฎีกาไปแล้วด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 217/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำความผิดฐานปลอมแปลงเอกสารและสนับสนุนความผิด กรณีโครงการซ่อมทำนบดิน ศาลยกฟ้องเนื่องจากพยานหลักฐานไม่เพียงพอ
จำเลยได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการตรวจรับการจ้างกรรมการควบคุมและดำเนินการจ้างซ่อมทำนบดินตามโครงการสร้างงานในชนบทจำเลยได้ประชุมราษฎรในหมู่บ้านตกลงลดค่าจ้างขุดดินซ่อมทำนบดังกล่าวให้น้อยลงกว่าที่มีการอนุมัติเพื่อให้ได้จำนวนดินมากขึ้นให้ทำนบมีความแข็งแรงเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ต่อมาราษฎรได้รับจ้างขุดดินตามที่ได้มีการตกลงกัน จำเลยได้ร่วมกันทำเอกสารหนังสือขอเบิกเงิน งบใบสำคัญ หนังสือรายงานผลการดำเนินการจ้างแรงงาน ใบตรวจรับการจ้างแรงงาน ระบุรายละเอียดค่าแรงงาน จำนวนดินค่าคุมงานต่าง ๆ ให้ตรงกับที่ได้รับอนุมัติและเป็นหลักฐานว่าได้ดำเนินการแล้วเพื่อขอเบิกเงินจากทางราชการมาจ่ายให้แก่ราษฎรผู้รับจ้าง ดังนี้ เมื่อปรากฏว่ายอดเงินที่ระบุในเอกสารทั้งสี่ฉบับตรงกับยอดเงินที่จำเลยได้จ่ายให้แก่ราษฎรไปแล้ว จำนวนดินที่ไม่ตรงกันนั้นก็ขุดได้มากกว่าที่ระบุไว้ ไม่ปรากฏว่าจำเลยคนใดทุจริตได้ประโยชน์จากโครงการดังกล่าว แม้จำนวนดินและจำนวนเงินที่ระบุในเอกสารจะไม่ตรงกับความจริงไปบ้าง ก็ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ร่วมกันทำเอกสารและรับรองเอกสารอันเป็นเท็จ
เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่ามีการกระทำผิดเกิดขึ้นตามฟ้องจำเลยอื่นซึ่งโจทก์ฟ้องว่าเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดจึงไม่ได้กระทำผิดเช่นกันเพราะเมื่อไม่มีการกระทำผิดจึงไม่อาจเกิดการกระทำที่เป็นการสนับสนุนให้กระทำผิดได้เหตุดังกล่าวเป็นเหตุในลักษณะคดี แม้ศาลฎีกาจะไม่รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลยอื่นเนื่องจากต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แต่ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาตลอดถึงจำเลยอื่นว่าไม่มีความผิดได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 217/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเบิกจ่ายเงินโครงการซ่อมทำนบดิน แม้เอกสารไม่ตรงกับข้อเท็จจริง แต่ไม่มีเจตนาทุจริต ไม่ถือเป็นความผิด
จำเลยได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการตรวจรับการจ้าง กรรมการควบคุมและดำเนินการจ้างซ่อมทำนบดินตามโครงการสร้างงานในชนบทจำเลยได้ประชุมราษฎรในหมู่บ้านตกลงลดค่าจ้างขุดดินซ่อมทำนบดังกล่าวให้น้อยลงกว่าที่มีการอนุมัติเพื่อให้ได้จำนวนดินมากขึ้นให้ทำนบมีความแข็งแรงเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ต่อมาราษฎรได้รับจ้างขุดดินตามที่ได้มีการตกลงกัน จำเลยได้ร่วมกันทำเอกสารหนังสือขอเบิกเงินงบใบสำคัญ หนังสือรายงานผลการดำเนินการจ้างแรงงาน ใบตรวจรับจ้างแรงงาน ระบุรายละเอียดค่าแรงงาน จำนวนดิน ค่าคุมงานต่าง ๆ ให้ตรงกับที่ได้รับอนุมัติและเป็นหลักฐานว่าได้ดำเนินการแล้วเพื่อขอเบิกเงินจากทางราชการมาจ่ายให้แก่ราษฎรผู้รับจ้าง ดังนี้ เมื่อปรากฏว่ายอดเงินที่ระบุในเอกสารทั้งสี่ฉบับตรงกับยอดเงินที่จำเลยได้จ่ายให้แก่ราษฎรไปแล้ว จำนวนดินที่ไม่ตรงกันนั้นก็ขุดได้มากกว่าที่ระบุไว้ ไม่ปรากฏว่าจำเลยคนใดทุจริตได้ประโยชน์จากโครงการดังกล่าว แม้จำนวนดินและจำนวนเงินที่ระบุในเอกสารจะไม่ตรงกับความจริงไปบ้าง ก็ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ร่วมกันทำเอกสารและรับรองเอกสารอันเป็นเท็จ เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่ามีการกระทำผิดเกิดขึ้นตามฟ้องจำเลยอื่นซึ่งโจทก์ฟ้องว่าเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดจึงไม่ได้กระทำผิดเช่นกันเพราะเมื่อไม่มีการกระทำผิดจึงไม่อาจเกิดการกระทำที่เป็นการสนับสนุนให้กระทำผิดได้ เหตุดังกล่าวเป็นเหตุในลักษณะคดีแม้ศาลฎีกาจะไม่รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลยอื่น เนื่องจากต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แต่ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาตลอดถึงจำเลยอื่นว่าไม่มีความผิดได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 213 ประกอบมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 217/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ แม้เอกสารไม่ตรงตามจริง แต่ไม่มีเจตนาทุจริต และไม่มีความผิดฐานสนับสนุน จึงยกฟ้องจำเลยทั้งหมด
จำเลยได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการตรวจรับการจ้างกรรมการควบคุมและดำเนินการจ้างซ่อมทำนบดินตามโครงการสร้างงานในชนบทจำเลยได้ประชุมราษฎรในหมู่บ้านตกลงลดค่าจ้างขุดดินซ่อมทำนบดังกล่าวให้น้อยลงกว่าที่มีการอนุมัติเพื่อให้ได้จำนวนดินมากขึ้นให้ทำนบมีความแข็งแรงเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ต่อมาราษฎรได้รับจ้างขุดดินตามที่ได้มีการตกลงกัน จำเลยได้ร่วมกันทำเอกสารหนังสือขอเบิกเงิน งบใบสำคัญหนังสือรายงานผลการดำเนินการจ้างแรงงาน ใบตรวจรับการจ้างแรงงาน ระบุรายละเอียดค่าแรงงาน จำนวนดินค่าคุมงานต่าง ๆ ให้ตรงกับที่ได้รับอนุมัติและเป็นหลักฐานว่าได้ดำเนินการแล้วเพื่อขอเบิกเงินจากทางราชการมาจ่ายให้แก่ราษฎรผู้รับจ้าง ดังนี้ เมื่อปรากฏว่ายอดเงินที่ระบุในเอกสารทั้งสี่ฉบับตรงกับยอดเงินที่จำเลยได้จ่ายให้แก่ราษฎรไปแล้ว จำนวนดินที่ไม่ตรงกันนั้นก็ขุดได้มากกว่าที่ระบุไว้ ไม่ปรากฏว่าจำเลยคนใดทุจริตได้ประโยชน์จากโครงการดังกล่าว แม้จำนวนดินและจำนวนเงินที่ระบุในเอกสารจะไม่ตรงกับความจริงไปบ้าง ก็ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ร่วมกันทำเอกสารและรับรองเอกสารอันเป็นเท็จ
เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่ามีการกระทำผิดเกิดขึ้นตามฟ้องจำเลยอื่นซึ่งโจทก์ฟ้องว่าเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดจึงไม่ได้กระทำผิดเช่นกันเพราะเมื่อไม่มีการกระทำผิดจึงไม่อาจเกิดการกระทำที่เป็นการสนับสนุนให้กระทำผิดได้เหตุดังกล่าวเป็นเหตุในลักษณะคดี แม้ศาลฎีกาจะไม่รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลยอื่นเนื่องจากต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แต่ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาตลอดถึงจำเลยอื่นว่าไม่มีความผิดได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 112/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ: ศาลฎีกาแก้บทลงโทษจากความผิดฐานใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกในการกระทำผิดเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ธรรมดา
จำเลยที่ 4 นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์คันที่จำเลยที่ 1 ขับขี่มาที่เกิดเหตุขณะจำเลยที่ 1,2 ลักทรัพย์ จำเลยที่ 4 ก็ยืนคอยอยู่แถวนั้น พฤติการณ์ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 4 มีส่วนรู้เห็นในการกระทำผิดด้วย
ขณะจำเลยกระทำผิด รถจักรยานยนต์พาหนะของจำเลยยังจอดอยู่ที่เดิมมิได้ก่อให้เกิดความสะดวกในการลักทรัพย์แต่อย่างใดการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336ทวิ
ศาลล่างพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 336 ทวิ จำเลยที่ 4 ฎีกา เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยที่ 4 มีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(7) ศาลฎีกาย่อมพิพากษาแก้ถึงจำเลยที่มิได้ฎีกาด้วย.(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4093/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลอุทธรณ์ในการพิจารณาคดีอาญาเมื่อจำเลยถอนอุทธรณ์บางส่วน และการรับฟังพยานหลักฐาน
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอถอน อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอนุญาตและให้จำหน่ายคดีเฉพาะ จำเลยที่ 1 โจทก์ไม่อุทธรณ์ คำพิพากษาของศาลชั้นต้นเฉพาะ จำเลยที่ 1 ย่อมเด็ดขาดตาม ป.วิ.อ. มาตรา 202หมายความว่า จำเลยที่ถอน อุทธรณ์แล้วจะยื่นอุทธรณ์อีกไม่ได้ แต่ในการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ หากจำเลยผู้หนึ่งคัดค้านคำพิพากษาซึ่งให้ลงโทษจำเลยหลายคนในความผิดฐานเดียวกัน ถ้า ศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ลงโทษจำเลยและเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดีศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยอื่นที่มิได้อุทธรณ์ด้วยตามที่ ป.วิ.อ. มาตรา 213 บัญญัติให้อำนาจไว้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4093/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลอุทธรณ์พิจารณาคดีจำเลยอื่น แม้จำเลยหนึ่งถอนอุทธรณ์ โดยอาศัยลักษณะคดีตามมาตรา 213
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 2 จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ แต่ต่อมาจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอถอนอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอนุญาตและให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 แล้ว ส่วนโจทก์มิได้อุทธรณ์ แม้คำพิพากษาของศาลชั้นต้นย่อมเด็ดขาดเฉพาะจำเลยที่ 1 ผู้ถอนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 202 ก็ตาม แต่ในการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานเดียวกัน ถ้าศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ลงโทษจำเลยที่ 2 และเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลอุทธรณ์ยังมีอำนาจพิจารณาพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ด้วยตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 213บัญญัติให้อำนาจไว้
คำว่า คำพิพากษาของศาลชั้นต้นย่อมเด็ดขาดเฉพาะผู้ถอนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 202 หมายความเพียงว่าจำเลยที่ถอนอุทธรณ์แล้วจะยื่นอุทธรณ์อีกไม่ได้ หาได้ห้ามศาลอุทธรณ์ใช้อำนาจตามมาตรา 213 ไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4093/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลอุทธรณ์พิจารณาคดีจำเลยอื่น แม้จำเลยหนึ่งถอนอุทธรณ์ โดยอาศัยเหตุในลักษณะคดี
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 2 จำเลยทั้งสองอุทธรณ์แต่ต่อมาจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอถอนอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอนุญาตและให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 แล้ว ส่วนโจทก์มิได้อุทธรณ์ แม้คำพิพากษาของศาลชั้นต้นย่อมเด็ดขาดเฉพาะจำเลยที่ 1 ผู้ถอนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 202ก็ตาม แต่ในการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานเดียวกัน ถ้าศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ลงโทษจำเลยที่ 2 และเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลอุทธรณ์ยังมีอำนาจพิจารณาพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ด้วยตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 213บัญญัติให้อำนาจไว้
คำว่า คำพิพากษาของศาลชั้นต้นย่อมเด็ดขาดเฉพาะผู้ถอนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 202 หมายความเพียงว่าจำเลยที่ถอนอุทธรณ์แล้วจะยื่นอุทธรณ์อีกไม่ได้ หาได้ห้ามศาลอุทธรณ์ใช้อำนาจตามมาตรา213 ไม่.
of 53