คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.อ. ม. 213

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 522 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3087/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประโยชน์จาก พรบ.ล้างมลทิน ทำให้จำเลยไม่ต้องรับโทษเพิ่มจากประวัติอาชญากรรมเดิม
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองฐานชิงทรัพย์ จำคุกคนละ10 ปี เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 หนึ่งในสามเป็นจำคุก 13 ปี 4 เดือน เพิ่มโทษจำเลยที่ 2 ตามมาตรา 93กึ่งหนึ่งเป็นจำคุก 15 ปีจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามมาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 2มีกำหนด 7 ปี 6 เดือนจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 1 ฎีกาปรากฏว่าจำเลยทั้งสองพ้นโทษในคดีก่อนที่เป็นเหตุเพิ่มโทษก่อนวันที่ 6 เมษายน 2525ไปแล้วจึงได้รับประโยชน์จากพระราชบัญญัติล้างมลทินในโอกาสสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์200ปีพ.ศ.2526 ถือว่าจำเลยที่ 1 ไม่เคยถูกลงโทษในความผิดนั้นมาก่อนและเหตุดังกล่าวเป็นเหตุในลักษณะคดีมีผลไปถึงจำเลยที่ 2 ที่ไม่มีฝ่ายใดฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 จึงเพิ่มโทษจำเลยทั้งสองไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3082/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานโจทก์น่าสงสัย ไม่น่าเชื่อถือ คดีชิงทรัพย์ ยกฟ้อง
พยานโจทก์มีเหตุที่สงสัยไม่น่าเชื่อว่าจำเลยทั้งสองจะเป็นคนร้ายชิงทรัพย์ เป็นเหตุในลักษณะคดี แม้จำเลยที่ 2 มิได้อุทธรณ์ฎีกาก็ตามศาลฎีกาก็พิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 2 ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3082/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานโจทก์มีเหตุสงสัย ความน่าเชื่อถือของพยานส่งผลถึงจำเลยทั้งสอง แม้จำเลยบางรายมิได้อุทธรณ์
พยานโจทก์มีเหตุที่สงสัยไม่น่าเชื่อว่าจำเลยทั้งสองจะเป็นคนร้ายชิงทรัพย์เป็นเหตุในลักษณะคดีแม้จำเลยที่2มิได้อุทธรณ์ฎีกาก็ตามศาลฎีกาก็พิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่2ด้วย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3082/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานโจทก์มีเหตุให้สงสัยไม่น่าเชื่อว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดชิงทรัพย์ จึงยกฟ้อง
พยานโจทก์มีเหตุที่สงสัยไม่น่าเชื่อว่าจำเลยทั้งสองจะเป็นคนร้ายชิงทรัพย์ เป็นเหตุในลักษณะคดี แม้จำเลยที่ 2 มิได้อุทธรณ์ฎีกาก็ตามศาลฎีกาก็พิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 2 ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 857/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลฎีกาในการพิพากษาถึงจำเลยที่ไม่ฎีกา กรณีความผิดร่วมกัน
โจทก์แยกฟ้องจำเลย ว.และท. มาเป็นสามสำนวน ข้อหาร่วมกันพยายามปล้นทรัพย์ ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาและพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสามสำนวน โจทก์ทั้งสามสำนวนอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้ลงโทษจำเลยและ ว.ตามฟ้อง ส่วน ท. คดียังเป็นที่สงสัยให้ยกฟ้องยืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยผู้เดียวฎีกา ดังนี้เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์ไม่พอฟังว่าจำเลยพยายามปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย ย่อมมีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึง ว. ซึ่งมิได้ฎีกาได้ เพราะเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ตาม ประมวลวิธีพิจารณาอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 857/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานหลักฐานโจทก์ไม่น่าเชื่อถือ ศาลฎีกายกฟ้อง ปัญหาพยานขัดแย้งกัน
โจทก์มีประจักษ์พยานเพียงปากเดียวที่ยืนยันว่าจำเลยกับพวกทำการปล้นทรัพย์ผู้เสียหายแต่คำเบิกความของประจักษ์พยานดังกล่าวแตกต่างขัดกันกับพยานโจทก์บางปากและขัดต่อเหตุผลคำเบิกความของประจักษ์พยานดังกล่าวจึงเป็นพิรุธน่าระแวงสงสัยไม่น่าเชื่อพยานหลักฐานโจทก์ไม่พอฟังลงโทษจำเลย เมื่อพยานหลักฐานโจทก์ที่ไม่พอฟังลงโทษจำเลยคนที่ฎีกาเป็นข้อเท็จจริงในส่วนลักษณะคดีศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยคนที่มิได้ฎีกาด้วยได้ตามป.วิ.อ.มาตรา213,225.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 680/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประทับตราไม้และการพิสูจน์ความผิดฐานตัดไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลฎีกายกฟ้องจำเลยทั้งหมด
ป่าที่เกิดเหตุเป็นเขตที่ดินจัดสรรซึ่งจะให้ราษฎรเข้าอยู่อาศัยกรมป่าไม้มีหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดให้ดำเนินการอนุญาตให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้เป็นผู้ทำไม้ออกจากป่า.ป่าไม้จังหวัดมีคำสั่งให้จำเลยที่3พนักงานป่าไม้ประจำสำนักงานป่าไม้อำเภอไปดำเนินการตรวจวัดประทับตราอนุญาตชักลากเมื่อจำเลยที่3ประทับตราชักลากที่ไม้ซึ่งมีรอยตราอนุญาตให้ตัดฟันจำเลยจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา157และเป็นเหตุในลักษณะคดีซึ่งต่อเนื่องไปถึงความผิดของจำเลยที่1ซึ่งได้รับอนุญาตจากองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ให้ทำไม้ออกจากป่าและจำเลยที่2พนักงานขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ผู้ควบคุมการทำไม้ให้ไม่มีความผิดไปด้วยศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษายกฟ้องตลอดไปถึงจำเลยที่1ที่2ซึ่งมิได้ฎีกาด้วยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา213,225.(ที่มา-เนติฯ)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4543/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลดโทษฆ่าผู้อื่นโดยไม่มีอาวุธร้ายแรง ศาลฎีกามีอำนาจแก้โทษให้เบาลงได้แม้จำเลยไม่ได้ฎีกา
ฟ้องว่าจำเลยทั้งห้ากับพวกร่วมกันฆ่าผู้อื่น ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น จำเลยที่ 3 คนเดียวฎีกาและศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 3 กับพวกมิได้ใช้อาวุธหรือวิธีการร้ายแรงผิดปกติ การวางโทษถึงประหารชีวิตจำเลยที่ 3 จึงหนักไปสมควรกำหนดโทษให้เบาลงและปรากฏว่าศาลล่างวางโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 มาก็โดยคำนวณโทษมาจากโทษประหารชีวิตเช่นเดียวกัน ข้อนี้เป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดีศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาแก้โทษให้เบาลงตลอดไปถึงจำเลยที่ 1ที่ 2 ที่มิได้ฎีกาด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4374/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์ไม่ชอบ, คดีถึงที่สุด, พยานหลักฐานไม่พอฟัง, การพิพากษาเฉพาะตัว
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ถูกศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษแล้วยื่นอุทธรณ์ย่อโดยมิได้ระบุข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่จำเลยประสงค์จะยกขึ้นอ้างอิงในชั้นอุทธรณ์แต่อย่างใด ทั้งมิได้กล่าวอ้างว่าศาลชั้นต้นพิพากษาคดีนี้ไม่ถูกต้องในข้อใดอย่างไร กลับมีเนื้อความทำนองขอยืดเวลาอุทธรณ์ อุทธรณ์เช่นนี้ไม่เป็นการคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193วรรคสอง แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับเป็นอุทธรณ์ ก็ไม่ทำให้เป็นอุทธรณ์โดยชอบได้ ถือว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3ไม่ได้ยื่นอุทธรณ์ คดีสำหรับจำเลยดังกล่าวถึงที่สุดแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจวินิจฉัยถึงอีก
การที่พยานหลักฐานโจทก์เพียงพอจะรับฟังลงโทษจำเลยคนใดที่ร่วมกันกระทำความผิดได้หรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับจำเลยแต่ละคนเป็นการเฉพาะตัวเป็นรายๆ ไป จำเลยหลายคนที่ต้องหาว่าร่วมกระทำผิดอยู่ด้วยกันโดยตลอดนั้นพยานหลักฐานของโจทก์อาจพาดพิงถึงมากน้อยผิดกันได้ ที่มีน้ำหนักพอก็ลงโทษไปที่เบาบางก็ต้องปล่อยตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากทางนำสืบเป็นรายตัว โดยเฉพาะคดีนี้ จำเลยที่ 4 ต้องหาในการกระทำความผิดเป็นคนละตอนกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3เหตุที่ศาลอุทธรณ์ไม่ลงโทษจำเลยที่ 4 เพราะพยานหลักฐานมีน้ำหนักไม่พอจึงไม่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และไม่ใช่เหตุในส่วนลักษณะคดี ตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ศาลอุทธรณ์ยกเหตุนี้ขึ้นพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 จึงไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3430/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานหลักฐานโจทก์พิรุธและน่าระแวงสงสัย ศาลฎีกายกฟ้องจำเลย
พยานโจทก์รับจ้างมาเบิกความ ควรรับฟังอย่างระมัดระวัง
การที่พยานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิด เช่นนี้เป็นเหตุลักษณะคดีแม้ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของจำเลยบางคน เพราะไม่ยื่นมาภายในกำหนดเวลาศาลฎีกาก็พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ สำหรับจำเลยผู้นั้นได้
of 53